Alec Su Youpeng fanclub in Thailand
Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน => Magazine Interviews-Thai => ข้อความที่เริ่มโดย: Chomnath ที่ กรกฎาคม 26, 2010, 11:44:20 am
-
(http://i184.photobucket.com/albums/x178/alec_002/Image0020.jpg)
(http://i184.photobucket.com/albums/x178/alec_002/Image0021.jpg)
-
ซูโหย่วเผิง...อยากเล่าสู่กันฟัง
เห็นนักแสดงหนุ่มชาวไต้หวัน ซูโหย่วเผิง เล่นละครด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส แต่แท้จริง ชีวิตนอกจอกลับครุ่นคิดและมีความกังวลต่างๆ นานา เช่น มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาตกอับ งานไม่มีทำ แต่กลับมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ จนเวลานั้นไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร ยังดีที่ซูโหย่วเผิงนับถือศาสนาพุทธเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้เข้มแข็ง ครั้งนี้เขามาเปิดอกให้เราถามทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องหัวใจ แฟนๆไม่ควรพลาด
1.เซ็นสัญญากับบริษัทต้นสังกัดใหม่เพื่อหวังตีตลาดเมืองจีน
เมื่อเดือนมกราคม ปี 2006 ซูโหย่วเผิงและเพื่อนสนิทในวงการอย่างหลินซินหยูได้เซ็นสัญญากับต้นสังกัดใหมที่มีชื่อว่า “หัวอี้ซงตี้ “ โดยสัญญาฉบับบนี้มีอายุยาวนานหลายปี เจ้าของบริษัทรับปากกับโหย่วเผิงว่า จะปั้นให้ดังกว่าเมื่อก่อนแน่นอน เขาจึงไม่ลังเล รีบเซ็นสัญญาทันที “ ผมกับหลินซินหยูเซ็นสัญญากับบริษัทหัวอี้ซงตี้ เนื่องจากสัญญามีข้อผูกมัดไม่มากเหมือนบริษัทอื่น ทางเจ้าของเอเจนซี่แห่งนี้เน้นให้นักแสดงในสังกัดตีตลาดที่เมืองจีนแผ่นดินใหญ่ ผมคิดว่าเป็นความคิดที่ดีมาก เพราะวงการบันเทิงที่เมืองจีนค่อนข้างกว้างขวาง มีอาณาเขตหลายแห่ง พวกเราสามารถมีผลงานทั้งในเมืองหลวงและเมืองรอบข้างได้ครับ
-บอกได้ไหม ผู้จัดการบริษัทให้ความมั่นใจอะไรกับคุณบ้าง?
“ เท่าที่ได้คุยกัน เขาการันตีว่าหลังจากเซ็นสัญญากันเรียบร้อยจะป้อนงานให้ตลอด ไม่ว่าจะเป็นงานละคร โฆษณา ละครเวที ภาพยนตร์ รวมถึงให้ออกอัลบั้มเพลง โอเค. สำหรับผมมากๆ “
-คุณเล่นละครมาหลายเรื่องไม่เคยมีผลงานภาพยนตร์สักครั้ง หนนี้คงได้แสดงฝีมือให้แฟนๆชื่นชมแล้วสิ?
“ งานถ่ายภาพยนตร์ลำบากกว่าละครหลายสิบเท่า แต่เมื่อผมตัดสินใจมายืน ณ จุดนี้ บวกกับทางผู้ใหญ่ให้การสนับสนุนและมั่นใจในฝีมือผมว่าต้องทำได้ ผมก็จะทำให้ถึงที่สุด
-หลังจากมีบริษัทคอยดูแลคิวงานให้ คุณคงเหนื่อยน้อยลง?
“ผมหวังให้เป็นแบบนั้นเช่นกัน เนื่องจากในอดีตผมดูแลตัวเองมาเสมอ ไปไหนมาไหนต้องหาหนทางเอง รับละครก็ไม่มีผู้ช่วยคอยสกรีนให้เหนื่อยมากครับ ไม่อยากเป็นเช่นนั้นอีกเลย ค่อยยังช่วย มีบริษัทดีๆ ยื่นมือมาช่วย พอหายห่วงได้บ้าง
2.เข้าประกวดทั้งร้องและเต้นจนชนะใจกรรมการ
ซูโหย่วเผิงเข้าวงการบันเทิงใต้หวันร่วม 17 ปี หลายปีที่ผ่านมา ฝีมือด้านการแสดงเป็นที่จับตามองของผู้กำกับและผู้ชมไม่น้อย ซูโหย่วเผิงเล่าให้ฟังถึงสมัยวัยรุ่น
“ช่วงเป็นนักเรียน ผมชอบเข้ากลุ่มเพื่อนที่เล่นดนตรี มีวงเล็กๆ ตั้งขึ้นเฉพาะที่โรงเรียน ความฝันสูงสุดคือ อยากเข้าวงการบันเทิงให้ได้แต่โอกาสนั้นริบหรี่เหลือเกิน เบิกทางให้ตัวเองไม่ถูก พอเรียนมัธยมปลายเห็นทีวีโฆษณาเปิดรับนักแสดงและนักร้องหน้าใหม่ ขณะนั้นอายุแค่ 15 ปี ผมเดินหน้าลุยไปสมัครกับเพื่อนด้วยความมั่นใจสุดๆ (หัวเราะ)”
-ผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง ?
“ผมกับเพื่อนที่ชื่อเฉินจื้อหมิง และอู๋ฉีหลงเรารวมกลุ่มตั้งชื่อวงว่า “ทีมเสือน้อย” ทั้งร้องและเต้นบนเวทีอย่างสุดแรงเกิด จนกรรมการประทับใจในการแสดงของพวกเรามั่กมาก คิดไม่ถึงสุดท้ายจะได้รางวัลชนะเลิศมาครอง เซอร์ไพรส์ จริงๆครับ “
-มีบริษัทมาขอเซ็นสัญญาเพื่อเป็นนักร้องหรือเปล่า?
“ มีครับ แต่ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งค้านผม เนื่องจากผมกำลังเรียนหนังสืออยู่ กลัวเรื่องงานจะสะดุด แต่สุดท้ายก็ได้ออกอัลบั้มเพลงจนได้ ระหว่างนั้นมีเล่นละครเช่นกันครับ “
-
3.ออกจาก มหา’ ลัย ชีวิตยิ่งตกต่ำลง
ชีวิตของซูโหย่วเผิงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ครอบครัวเขามีทั้งหมดสี่คน พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่เขายังเด็กๆ โตมาต้องทำงานหาเงินเลี้ยงดูตัวเอง จนบางครั้งท้อแท้กับชีวิต สมัยสอบมหาวิทยาลัย เขาเอ็นทรานซ์ตืดคณะวิศวะ เมื่อเรียนไปเรียนมา กลับรู้สึกว่าไม่ใช่คณะที่ต้องการ “ ผมเรียนในคณะวิศวะได้สองปี ก็อยากลาออกและเปลี่ยนคณะเป็นด้านบริหาร แต่อาจารย์บอกว่าให้ทนๆเรียนไปก่อน เผื่อจะชอบก็เป็นได้ ผมทนเรียนถึงปีสาม รู้สึกมันไม่ใช่กับตัวเองแน่ๆ จึงตัดสินใจลาออกมาถ่ายละครเต็มตัวดีกว่า “
-ออกจากมหาวิทยาลัยกลางคัน มีผลกระทบต่อชีวิตบ้างไหม?
“ผมบอกจริงๆว่า เป็นช่วงที่ชีวิตตกอับสุดๆ งานแสดงแทบไม่มี แต่ผมยังต้องใช้เงินหาเลี้ยงครอบครัว ไหนจะค่าผ่อนรถ ผ่อนบ้านและค่าใช้จ่ายทั่วไป เวลานั้นคิดอะไรไม่ออกสักทาง แทบสิ้นเนื้อประดาตัวก็พูดได้”
-คนเราต้องมีขึ้นและมีลง มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือบ้างไหม?
“ หลังจากลำบากมานาน ในที่สุดสวรรค์ก็เมตตา ผมได้รับเล่นละครแนวพีเรียด “องค์หญิงกำมะลอ “ แสดงคู่กับเจ้าเหว่ย และ หลินซินหยู พวกเราสนิทกันมาก พอมีปัญหามักปรึกษากันเสมอ ผมแสดงเป็นองค์ชายห้า ซึ่งมีบทบาทไม่มากนักในแต่ละซีน จึงมีเวลารับเล่นละครอื่นถึงสองสามเรื่อง ยอมรับช่วงนั้นร่างกายทรุดโทรมมาก เพราะต้องวิ่งรอกทำงานหาเงินจุนเจือครอบครัวและตัวเอง คุณรู้ไหม? บางวันผมต้องนั่งรถไปถ่ายละครเรื่องหนึ่งถึงนอกเมือง เมื่อถ่ายเสร็จต้องรีบนั่งรถไฟกลับมาถ่ายองค์หญิงกำมะลอในตัวเมือง ขณะนั่งรถไฟนั้น ในสมองคิดอะไรมากมาย เหงาและว้าเหว่มากเมื่อต้องรับผิดชอบตัวเอง โดยปราศจากผู้จัดการส่วนตัว ปัจจุบันนี้ภาพผมบนรถไฟยังคงอยู่ในความทรงจำไม่มีลืมเลือน” โห...ยิ่งฟังก็ยิ่งน่าสงสาร เล่าจนนึกภาพออกเลยว่าเคว้งคว้างภายในจิตใจมากแค่ไหน
4.ใช้ศาสนาพุทธเพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ
ใครที่ชื่นชอบซูโหย่วเผิง ขอบอกว่าคุณรักได้ถูกคนแล้ว เพราะพ่อหนุ่มคนนี้มีจิตใจที่เมตตาธรรม ไม่ชอบอวดเบ่งว่าข้าเก่งเหมือนผู้ชายบางคน ไม่รับประทานเนื้อวัว ขนาดมดตัวเล็กๆ ยังไม่กล้าบี้ให้ตายเลย ถือว่าเป็นมนุษย์ที่มีคุณธรรมจริงๆ “ผมนับถือศาสนาพุทธ ทุกครั้งที่ผมท้อแท้กับชีวิต มักสวดมนต์ไหว้พระและขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นประจำ ช่วยจรรโลงจิตใจได้ดีมากครับ พุทธศาสนาทำให้ผมมีจิตใจที่เป็นกลาง สงบนิ่ง และมีความมั่นใจในตัวเอง เช่นตอนอยู่มัธยมปลายชื่อเสียงผมดังพอสมควร ถึงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัย มีหลายคนคอยจับตามองว่าคงสอบไม่ติดแน่ๆ ผมเครียดพอสมควรแต่เมื่อได้เรียนรู้รสพระธรรม ความรู้สึกภายในจิตใจกลับดีขึ้นและปล่อยวางได้เยอะถึงผ่านมาได้จนบัดนี้ไงครับ“
5.มีเพื่อนสาวเป็นคนนอกวงการแต่ไม่ขอเปิดเผยชื่อ
พูดถึงเรื่องความรักของซูโหย่วเผิง เขายอมเปิดอก ปัจจุบันมีเพื่อนสาวที่กำลังคบหาดูใจกันแล้ว “ เมื่อก่อนผมเคยมีแฟนอยู่ในวงการบันเทิง แต่เพราะเรื่องงานทำให้ความสัมพันธ์ต้องสิ้นสุดลง ผมถ่ายละครอยู่ที่เมืองจีน ส่วนเธอถ่ายละครในไต้หวัน สองฝ่ายไม่ค่อยมีเวลาได้เจอกัน จึงห่างๆ ไปโดยปริยายครับ ผมยอมรับว่าตอนนี้กำลังคบหากับเพื่อนสาวนอกวงการคนหนึ่ง แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดมากไปกว่านี้ ผมไม่ชอบให้สัมภาษณ์เรื่องหัวใจ เพราะถือว่าเป็นเรื่องของคนสองคนเท่านั้น บอกได้แค่เธอน่ารักมาก จิตใจดี และมีเหตุผลครับ ส่วนอนาคตจะเป็นคนที่ผมแต่งงานด้วยหรือไม่ ยังบอกไม่ได้หรอก มันอีกยาวไกลจริงๆ (ยิ้ม)”
พูดเพียงเท่านี้ก็เปิดเผยให้มากพอแล้ว สาวๆอย่าพึ่งเสียน้ำตาไป ซูโหย่วเผิงบอกแล้วไงว่ายังอีกไกล แต่ก็ไม่แน่นะ! อาจประกาศหมั้นและแต่งสายฟ้าแลบเหมือนดาราบ้านเราก็เป็นได้