5/1 เกินคำบรรยายจากใจนักประพันธ์>>ฉงเหยาและสถานีโทรทัศน์จง ได้ร่วมมือกันทำละครเรื่อง "ฉิงเซินเซิน หวี่หมงหมง" และตอนนี้ในบ้านเราก็กำลังถ่ายทอดละครเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ ได้ชมกันอยู่ด้วย โดยปกติฉงเหยาเองก็เป็นคนที่มักจะดึงดูดความสนใจจากวัยรุ่นได้เป็นอย่างดี และมาคราวนี้ฉงเหยานักปั้นมือทองก็ตั้งใจที่จะสร้างความประหลาดใจและความประทับใจให้กับแฟนๆ ละครเหมือนอย่างที่เคยทำมาแล้วในละครเรื่อง "องค์หญิงกำมะลอ" แต่ส่วนจะทำได้หรือไม่นั้นเชื่อว่าคนที่จะบอกได้ก็คงต้องเป็นเพื่อนๆ ที่กำลังติดตามละครเรื่องนี้กันอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ถ้าจะให้ดูแต่ผลงานที่ถ่ายทอดออกมาก็ดูจะกระไรอยู่ มาคราวนี้พวกเราทีมงาน Special mini mag. ก็ขอเอาใจเพื่อนๆ ด้วยการลงบทความเบื้องหลังการแสดงที่เขียนจากปลายปากกาของนักประพันธ์ชื่อดังที่มีนามว่าฉงเหยาคนนี้กันดีกว่า...>>จำได้ว่าเมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว ฉันไปทำงานที่เซี่ยงไฮ้ และได้เห็นกับตาของตัวเองว่านักแสดงที่แสดงละครเรื่องนี้ต่างก็ทำงานกันหามรุ่งหามค่ำไม่ได้หลับไม่ได้นอน เนื่องจากว่าตารางเวลาการทำงานในแต่ละวันก็มักจะต้องเปลี่ยนสถานที่กันบ่อยๆ จึงทำให้นักแสดงทุกๆ คนในละครเรื่องนี้ต้องเสียเวลาไปกับการจัดฉากและการเดินทาง เป็นผลให้นักแสดงสำคัญหลายคนเช่น จ้าวเวย,หลินซินหยู,ซูโหย่วเผิงและกู่จีจี้ทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนโดยไม่ได้พักผ่อน ฉันเองก็เคยพูดคุยเรื่องการแบ่งเวลาพักผ่อนให้กับนักแสดงกับทีมงานของกองละครหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผลเพราะมันเป็นเรื่องที่สุดวิสัยโดยที่ทางทีมงานเองก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างถูกตระเตรียมและกำหนดเวลาไว้อย่างลงตัวและเหมาะสมที่สุดแล้ว ตัวฉันเองก็รู้สึกเป็นห่วงสุขภาพของพวกเขามากพอๆ กับเป็นห่วงประสิทธิภาพของการถ่ายละครเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่ทว่าทุกครั้งที่เห็นพวกเค้าถ่ายละคร ทุกคนต่างก็ดูมีชีวิตชีวาทำงานกันอย่างสุดความสามารถไม่มีการบ่นกันเลยสักครั้งเดียว ทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมากเลย
5/2>>โหย่วเผิงผู้ลำบาก หลังจากที่โหย่วเผิงได้รับบาดเจ็บจากการตกม้าได้ไม่นาน เขามีฉากต้องแสดงฉากทะเลาะวิวาทบนถนนที่เซี่ยงไฮ้ ฉากนั้นเป็นฉากสำคัญในตอนที่ 1 ของบทละครเรื่องนี้โดยในฉากเขาและกู้จีจี้ต้องพลิกตัวออกมาจากรถทางหลังคารถที่ด้านล่างของรถ จากถนนใหญ่ถึงซอยเล็กๆ พวกเขาทั้ง 2 ยังต้องล้มลุกคลุกคลานวิ่งตามรถกันอย่างบ้าคลั่ง เฉพาะฉากนี้ฉากเดียวต้องใช้เวลาถ่ายทำกันถึง 4 วันเต็มๆ ถึงจะเสร็จ เมื่อทุกคนได้ชมละครก็คงต้องคิดไม่ถึงแน่ๆ ว่าขณะที่โหย่วเผิงกำลังถ่ายทำฉากนี้อยู่นั้นมือของเขายังไม่หายดีเลย เดิมทีในตอนแรกฉันคิดว่าจะสามารถเลื่อนการถ่ายทำฉากนี้ไปวันอื่น รอจนกว่าอาการบาดเจ็บที่มือของโหย่วเผิงจะหายดีเสียก่อนจึงค่อยมาถ่ายทำฉากนี้กันต่อ แต่ก็อีกนั่นแหละในฉากนี้จำเป็นต้องใช้ตัวประกอบเยอะมากอีกทั้งยังต้องจัดเตรียมรถไฟฟ้า รถเมล์ และอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญคือทางทีมงานได้เซ็ทฉากนี้และได้กำหนดวันถ่ายทำฉากนี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้ โหย่วเผิงจึงต้องกัดฟันถ่ายทำฉากนี้ให้เสร็จเรียบร้อย จนทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งน้ำใจในความอดทนของเขามากเหลือเกิน เพราะละครเรื่องนี้นอกจากจะถ่ายทำกันด้วยความยากลำบากที่สุดแล้ว ยังมีทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ฉันไม่อาจที่จะไม่ยอมรับได้ว่าการแสดงของเขาดีกว่าเรื่ององค์หญิงกำมะลอมาก มิน่าล่ะคนที่ได้ดูละครเรื่องนี้ต่างก็ชมเชยเขาเป็นเสียงเดียวกันว่าโหย่วเผิงแสดงได้เป็นธรรมชาติมาก>>เจ้าเหวยที่ป่วย ผิวหนังของเจ้าเหวยระคายเคืองได้ง่าย จำได้ว่าครั้งที่ถ่ายเรื่ององค์หญิงกำมะลอเธอไม่สามารถใส่ต่างหูได้ เพียงแค่ใส่ต่างหูเธอก็แพ้จนหูเป็นหนอง การถ่ายทำครั้งนั้นพวกเราก็พยายามให้เธอใส่ต่างหูแค่ไม่กี่ครั้งเพราะกลัวว่าเธอจะมีอาการแพ้ขึ้นมาอีก แต่พอมาถ่ายทำละครเรื่องนี้ปัญหาอาการแพ้ของเจ้าเหวยก็เกิดขึ้นมาอีก
5/3ในกลางดึกของคืนวันหนึ่ง วันนั้นฉันพึ่งกลับมาถึงไทเปก็ได้รับโทรศัพท์จากทีมงานที่ถ่ายละครบอกฉันว่า "น้าฉงเหยาตาขวาของเจ้าเหวยเนี่ยบวมอีกแล้ว เจ็บจนน้ำตาไหลออกมาตลอดเลย คืนนี้ก็ยังมีอีกฉากที่ต้องถ่ายทำ หลังจากนั้นถึงจะพักได้ เหวยเหวยเองก็บอกว่าจนทนถ่ายต่อจนเสร็จ แต่ว่าถ่ายออกมาแล้วภาพที่ออกมาจ่าเกลียดจะทำยังไงดี" ฉันได้ฟังแล้วก็รู้สึกวิตกกังวลรีบขอพูดโทรศัพท์กับผู้กำกับหลี่ผิงทันที ฉันถามเขาว่า"ตาของเหวยเหวยเป็นยังไงบ้าง" ผู้กำกับหลี่ผิงบอกฉันว่า "ที่จริงบนหน้าของเหวยเหวยมีผดผื่นขึ้นมาตั้งหลายวันแล้ว เพราะทำงานตั้งแต่เช้าและยังต้องถ่ายทำล่วงเวลาถึงกลางคืน เธอก็เลยไม่ได้มีเวลาพัก หน้ามันก็เลยเกิดผื่นแดงและกลายเป็นหนอง แต่พอตอนนี้ผื่นแดงมันแตกและก็มีเลือดไหลออกมาจนทำให้ไม่สามารถแต่งหน้าได้" พอฉันได้ฟังก็คิดว่าทำไมถึงปล่อยให้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้ ฉันก็รีบพูดกับผู้กำกับหลี่ทันทีว่า "อย่าถ่ายทำอีกเลย เก็บของเถอะ" ผู้กำกับหลี่ก็ถามฉันทันทีว่า "จะเลิกงานเลยจริงๆ เหรอ เพราะถ้าเราไม่ถ่ายทำฉากนี้ให้เสร็จในคืนนี้ พรุ่งนี้ฉากนี้ก็จะถูกทำลายแล้วนะ แล้วเราก็จำเป็นที่จะต้องถ่ายฉากนี้ให้เสร็จภายในคืนนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ก็ต้องเริ่มทำฉากและเก็บฉากใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้น"
5/4>>ถึงฉันจะได้ฟังผู้กำกับหลี่พูดอย่างนั้นก็เถอะ ฉันก็ยังยืนกรานที่จะให้เขาล้มเลิกงานทั้งหมด และพอได้ยินผู้กำกับหลี่พูดกับทางทีมงานว่าให้เก็บของและวางหูโทรศัพท์ฉันลง ฉันก็พึ่งจะมารู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปจริงๆ อาศัยตำแหน่งผู้เรียบเรียงบทละครสั่งเลิกงานกลางคัน ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรพวกเค้าเลย แล้วยังกลับมาอยู่บ้านพักผ่อน ดูแล้วช่างเป็นเรื่องที่ไม่สมควรเสียจริงๆ และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ผู้ดูแลการผลิตภาพยนตร์ก็โทรศัพท์มาหาฉันทันที แล้วเขาก็พูดกับฉันว่า "เจ้าเหวยควรจะถ่ายฉากนี้ให้เสร็จ มิฉะนั้นคิวถ่ายทำจะหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วค่าเช่าสถานที่และฉากของการถ่ายทำก็จะสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ" ฉันถอนหายใจแล้วพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ให้เธอถ่ายทำต่อเถอะ" ตอนที่พูดอย่างนั้นออกไป ฉันรู้สึกละอายใจตัวเองมาก อยากพูดว่าเธอเจ็บอยู่ถึงแม้ว่าเหวยเหวยจะพูดว่าไม่เป็นไร ไม่เจ็บ ฉันสามารถแสดงต่อได้ก็เถอะ แต่ผู้หญิงคนไหนที่จะไม่รักสวยรักงามบ้างล่ะ? แล้วถ้าขืนถ่ายทำสภาพแบบนี้ของเหวยเหวยออกไป บนตาของเธอมีผื่นแดงเม็ดเล็กๆ แต่ในใจของเธอต้องคิดว่ามีผื่นเม็ดใหญ่ๆ อยู่แน่ๆ ดังนั้นฉันก็เลยพูดออกไปว่า "แล้วไปเถอะ ถ้ามันสิ้นเปลืองนิดหน่อยก็ปล่อยให้สิ้นเปลืองไปเถอะ"