( ชีวิตที่มั่นคง เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด )
ตอนนี่ที่ตาเห็นคือ40ไม่ต้องสงสัย,ซูโหย่วเผิงไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกตกใจความผันแปรของวัยหนุ่ม,แต่กลับเข้าใจและรู้ซึ้งถึงการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข.อาจจะเป็นเพราะผ่านร้อนหนาวมามาก,แล้วด้วยอิทธิพลของราศีกันย์,ถึงทำให้ทุกวันนี้มีความสุขกว่าก่อนก่อน. “ผมรู้สึกดีมากมากเลยครับ.ถ้าเทียบกับที่ผ่านมา,ไม่ว่าจะต้องตายดูตัวเองหรือว่าดูสภาพแวดล้อม,จะเป็นช่วงเวลาที่เข้าใจอะไรที่สุด.”
จากเสี่ยวไกวจนมาเป็นผู้ชายที่เจนจบ,ผู้ชมยังไม่รู้และทราบว่าซูโหย่วเผิงนั้นกำลังก้าวผ่านช่วงการเปลี่ยนแปลงตัวเอง. “แสดงบทหนุ่มสดใสในละครโทรทัศน์มันเป็นสิ่งที่ต้องใช้แรงกาย,งานแสดงภาพยนตร์ต้องใช้สติปัญญากำลังสมองและการฝึกฝน.ทั้งหมดนี้ก็คือการสั่งสมประสบการณ์,แล้วหนทางงานของเราก็จะกว้างมากขึ้น. “เพื่อจะได้เป็นหนึ่งในนักแสดงยอดเยี่ยม,ซูโหย่วเผิงนั้นได้เลือกแล้วอย่างเด็ดขาด,แต่มันอาจเป็นทางเลือกที่ต้องเสี่ยง,ลองเลือกบทสองบุคลิกกับบทด้านมืดมาฝึกฝนตนเอง.ถึงแม้ว่าเวลาเค้ายิ้มออกมานั้นเหมือนแสงสว่างที่สดใส,แต่เมื่อม่านฉากนั้นถูกเปิดออก,เล่นบทตามตัวละคร,ทุกบทสะกดใจคนดู. ( เฟิงเซิง ) จากบท ป๋ายเสี่ยวเหนี๋ยนบทเพลง “ เหนี่ยวชิงซือ” ชีวิตดุจสายพิณ,เป็นบทบาทนางเอกชายที่หาได้ยากในรอบ10ปี; ( โจโฉ ) จากบทพระเจ้าเหี้ยนเต้ขับร้องบทเพลง,ซึ่งบทเพลงนั้นบนความเศร้าและความอ่อนแอของที่สุดแห่งการดิ้นรน ; จนมาถึงเรื่อง ( ซาเซิง ) กับบทผู้ล้างแค้น,ความรู้สึกลางๆของวัยเยาว์บนใบหน้าในอดีตแปรเปลี่ยนเป็นมือสังหารที่โหดเหี้ยมได้,ทำเอาใครต่อใครกลัวจนตัวสั่น...................
เค้าก็เหมือนที่จะชอบความรู้สึกที่สอดคล้องกับความเป็นจริงในการถ่ายทำ,ไม่ชอบที่จะเป็นดั่งผ้าขาวที่จินตนาการเพ้อฝันหรือทำบทแกล้งโง่,ในบางเวลาเค้าก็มักจะคิดถึงวันวานไม่ก็มีโลกแห่งจินตนาการเพ้อฝัน.
( การฝึกฌาน )
ทำอย่างไรที่จะเอาความสดใสในวัยเยาว์ไม่เอาไปใช้ล่วงหน้า,ก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาทองนี้แต่เดิมเป็นหัวข้อสำคัญที่ดาราซูปเปอร์รุ่นเยาว์ต้องการที่จะหาคำตอบ.ในศตวรรษที่ 20 ยุคปี 90 ของไต้หวัน.พวกเขาเชื่อว่าทุกคนล้วนแล้วแต่มี “ เทพเจ้าคุ้มครอง ” ปกป้องตัว______หลินจื้ออิ่งมีทั้งรถแข่งและความสามารถด้านหน้าที่การงาน; อู๋ฉีหลงมีทั้งงานละครและภาพยนตร์และยังมีธุรกิจร้านอาหาร ; จินเฉิงอู๋มีบัตรประชาชนของญี่ปุ่น ; และซูโหย่วเผิงล่ะ? ฝึกฌาน.
เอาความที่เป็นคนที่ถูกกักขัง,ไม่อาจที่จะบู่มป่ามตัดสินการเข้าถึงโลกแห่งการฝึกฌาน.แต่เอาการนั่งสมาธิและศรัทธามาเป็นกิจกรรมที่ทันสมัย,เค้าก็คือหนึ่งในคนหมู่น้อยของพุทธศาสนิกชนที่จะบรรลุศรัทธาเลื่อมใส,วัฒนธรรมไต้หวันความยากของความเข้าใจวัฒนธรรมของธรรมชาติความรู้สึกใกล้ชิดและความตื่นตัวอยู่เสมอ.มีส่วนช่วยให้เค้าเอาแรงศรัทธาที่จะเข้าถึงการมองชีวิตทุกวินาที.
“ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของความสุขของชีวิตเราก็คือการฝึกจิต.จากภายนอกสู่ภายในจิตใจ,ทำให้คุณไดด้กลับไปสู่จุดเริ่มต้นของความสุขสงบ ”. “ สุขสงบ” เป็นสิ่งที่ซูโหย่วเผิงไม่เคยสนใจและพูดถึงที่สุดคำหนึ่ง.แต่มันก็เป็นเพียงแค่นามธรรมเท่านั้น,ที่ทำให้เค้าเปลี่ยนไปจากไกวไกวหู่ที่คุ้นเคย, 20ปีก่อนชื่นชอบในตัวของมาดอนนาร์,ตามหาแรงบันดาลใจของเด็กหนุ่ม,แล้วในวันนี้ยิ่งชื่นชอบเพลงที่สงบสดชื่น,ค้นหาความคาดหวังในตัวของซูปเปอร์สตาร์,แต่ก็ยังคงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อความแข็งแกร่งของกำลังกาย. “ผมไม่ใช่พี่ชายที่เป็นคนมีจิตใจที่ละโมบ,หลายปีมานี้, ทั้ง95%ของการใช้ชีวิตผม,แล้วยิ่งไปกว่านั้น 98%ของกำลังผมนั้นเอาไปใช้ในการทำงานและการดำเนินชีวิต,การใช้ชีวิตแบบนี้ยังถือว่าไม่สมบูรณ์แบบ.ไม่กี่ปีมานี้ที่เริ่มผมพยายามปรับเปลี่ยนสัดส่วนของการดำเนินชีวิต,ซึ่งตอนนี้เริ่มรู้จักพอเพียง.”
( ศิลปิน )
ปี2012.การทำงานของซูโหย่วเผิงถือว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก,จนสามารถที่จะมีห้องทำงานเป็นของตัวเอง,ผลงานเรื่องแรก ( ไม่รักก็อย่ามากวนใจ ) ซึ่งเค้าเป็นทั้งนักแสดงและผู้จัดในคราวเดียวกัน,สิ่งที่แสดงให้เห็น,ทั้งอู๋ฉีหลงและหลินซินหลู๋,วงการบันเทิงของจีนแผ่นดินใหญ่ได้เพิ่มนักแสดงชายไต้หวันที่มีปณิธานอันแน่วแน่และนี่ถือเป็นเรื่องดียิ่งกว่า,ที่ทำ
ให้เสือน้อยตัวนี้ต้องเข้าการต่อสู้ในชีวิต,หรือว่าผลงานเรื่อง ( ปู้ปู้เหลียงซิน ) ของอู๋ฉีหลงจะกลับมาดังอีกครั้ง, นี่จะเป็นความกดดันให้กับซูโหย่วเผิง? แต่ทางซูโหย่วเผิงคิดว่า,นี่ “มันเป็นพรหมลิขิตอย่างหนึ่ง”, มีทางเลือกให้เลือกสู่หนทางสงบ.แล้วหนึ่งปีก่อนหน้านี้,เค้าก็ไม่เคยมีความคิดแบบนี้มาก่อน. จนเมื่อปี2011 ภาพยนตร์ ( โจโฉ ) ได้ถ่ายทำเสร็จ,บทบาทของพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่แสดงได้ค่อนข้างยาก,เค้าจึงอยากจะหาบทชายหนุ่มที่แสดงแล้วรู้สึกผ่อนคลายบ้าง,ทางผู้กำกับล่ายสุ่ยจิงที่ได้ร่วมงานกันมานาน.ผู้กำกับล่ายสุ่ยจิงเห็นว่าควรที่จะลองมาทำงานด้านเบื้องหลังเองดูจะดีกว่า,ด้วยเหตุนี้เค้าจึงเป็นทั้งนักแสดงและทั้งผู้จัดในเวลาเดียวกัน,ความสับสนวุ่นวายกับการเข้าสู่งานเบื้องหลัง.อาจด้วยเหตุนี้,ด้านผู้จัดการซูโหย่วเผิงยังเปิดเผยอีกว่าเค้าไม่เคยที่จะแยกตัวออกจากสัญชาตญาณเลย. “พวกเราต้องรับผิดชอบสร้างผลงานเป็นสำคัญ,งานด้านนี้มีเพื่อนมากมายคอยช่วยเหลือ. แต่ก็อย่าเอาเรื่องเงินมาเป็นเรื่องใหญ่ , ผมไม่ได้เป็นนักธุรกิจการค้า,ผมยังอยากที่จะเป็นนักแสดง,ยังอยากที่จะเป็นศิลปินนะ.” จิตใจต้องเอาชนะทุกสิ่ง,ถึงจะสามารถที่จะเอาสิ่งที่ถือว่าหนักให้เหมือนเบาได้? เป็น “ศิลปิน” คำคำนี้เมื่อพูดมันออกมา,มันทำให้เราเข้าใจถือความหิว,เสี่ยวไกวที่แท้ก็ยังเป็นเสี่ยวไกว.ซึ่งก่อนหน้านี้อาจจะไม่ค่อยเชื่อฟังสมชื่อเท่าไร,จึงถูกขนานว่าเป็นผู้ที่ต่อต้านอายุวันเวลาด้วยการบำเพ็ญจากภายใน.ถ้าหากจะพูดว่าการฝึกบำเพ็ญตนเป็นเพียงบันไดขั้นหนึ่ง,มองไปข้างบน,ไม่เห็นทิศไม่เห็นทางแห่งอนาคต,มองกลับมา,บนโลกนั้นเต็มไปด้วยความรักและความสดใสอ่อนเยาว์ที่ไม่มีวันตาย.