หน้าแรก
ช่วยเหลือ
ค้นหา
เข้าสู่ระบบ
สมัครสมาชิก
1 ชั่วโมง
1 วัน
1 สัปดาห์
1 เดือน
ตลอดกาล
Alec Su Youpeng fanclub in Thailand
»
Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน
»
SCOOPS & SPECIALS
»
[2015-05-29] ซูโหย่วเผิง: สิ่งล้ำค่าสุดท้ายของผม
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
พิมพ์
หน้า: [
1
]
ผู้เขียน
หัวข้อ: [2015-05-29] ซูโหย่วเผิง: สิ่งล้ำค่าสุดท้ายของผม (อ่าน 7965 ครั้ง)
prattana
Administrator
Hero Member
กระทู้: 4549
[2015-05-29] ซูโหย่วเผิง: สิ่งล้ำค่าสุดท้ายของผม
«
เมื่อ:
มิถุนายน 09, 2015, 12:56:39 PM »
ที่มา
http://www.ledu365.com/a/renwu/48705.html
ซูโหย่วเผิง: สิ่งล้ำค่าสุดท้ายของผม
เขาชอบ
มาดอนน่า บริทนีย์สเปียร์ บียอนเซ่
คนเหล่านี้ไม่ใช่ศิลปินรุ่นใหม่ เขาชอบความสนุก แต่ก็ไม่ได้ไม่แสวงหาความก้าวหน้า เขาคิดไปข้างหน้า แต่ก็ไม่ได้ไม่เป็นอนุรักษ์นิยม เขาแสวงหาความสุนทรีย์ แต่ก็ไม่ได้ไม่ชอบความสงบ ความเร่าร้อนในการเต้นเสา(Pole dance)ที่น่าหลงใหลของเขา แต่ก็ไม่ได้แสดงว่าไม่เป็นชายหนุ่มที่ดีงามที่อบอุ่นและหัวโบราณ เขาแค่ใช้ศิลปะและความบันเทิงก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไป แต่กลับเติบโตและก้าวต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง…….
ในความทรงจำของวัยรุ่นยุคหนึ่ง
ซูโหย่วเผิง
เคยนับว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นของอารมณ์เลยทีเดียว มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุน้อย โด่งดังไปทั่วประเทศ และมันก็มาพร้อมกับความกดดันที่จะไม่ทำให้แฟนคลับผิดหวัง ความต้องการเป็นตัวของตัวเอง เมื่อพบความสงบหลังจากผ่านจุดตกต่ำในชีวิต เมื่อผ่านการพิจารณาตนอย่างดีแล้ว ก็ยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยว จากเด็กหนุ่มที่แสนบริสุทธิ์สู่ชายหนุ่มผู้สง่างาม เป็นทั้งจุดเริ่มต้นของความทรงจำ และบทสรุปของความทรงจำ ถ้าจะรู้จักเขาถึงแค่สิ่งที่เขาเคยเป็น และเคยผ่านมานั้น นับว่าไม่ยุติธรรมมากนัก
เมื่อก่อนเขาได้สร้างกระแส
“ไอดอล”
ในเด็กหนุ่มสาวสมัยนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ยได้มอบวันคืนอันงดงามให้กับพวกเรา ในขณะเดียวกันก็ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของ
ซูโหย่วเผิง
ที่ในขณะนั้นมีอายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น เด็กชายคนนั้นที่กระโดดโลดเต้นบนเวทีที่พวกเราเห็นนั้น รอยยิ้มที่งดงาม ของเขา เกือบจะเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของ
ซูโหย่วเผิง
ไปแล้ว ในขณะนั้น เขาได้กลายเป็น
“ไกวไกวหู่”
ที่ชวนให้หลงใหล เป็นความทรงจำอันงดงามที่พวกเรารอคอย และเป็นภาพแห่งความประทับใจไม่รู้ลืม
บางทีชื่อ
ซูโหย่วเผิง
นี้ สามารถนิยามได้ว่าเป็น
“ชายหนุ่มที่บริสุทธิ์และงดงาม”
ตลอดไป แต่กลับไม่มีใครใส่ใจ ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เป็นนักร้อง ความใฝ่ฝันของเขาก็คือการเป็นนักแต่งเพลง ถ้าหากว่าไม่ถูกเรียกว่าเป็นไกวไกวหู่ เขาก็มีการต่อต้านในช่วงวัยรุ่น ถ้าหากไม่ถูกขอให้ร้องแต่เพลง ชิงผิงกว่อเล่อหยวน (青苹果乐园) นักร้องที่เขาชอบที่สุดก็คือ มาดอนน่า และ Jenet Jackson…
ซูโหย่วเผิง
ไม่ใช่ปีเตอร์แพนที่ไม่มีวันโต เด็กหนุ่มที่โด่งดังเพียงชั่วข้ามคืน มาพร้อมกับความถูกบีบบังคับจากรอบข้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความปรารถนามีเพียงแค่ต้องการโบยบินออกไปสู่ท้องฟ้าอันกว้างใหญ่
“ฉันรักเสี่ยวหู่ตุ้ยมาก ว่ากันแล้วนี่เป็นสิ่งที่ฉันทุ่มทั้งใจเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงมีเพลงที่ชื่นชอบ และเพื่อนๆ……” ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ และยังมีแฟนคลับมากมายที่ทำให้เขาซาบซึ้ง และประทับใจ ในช่วงที่
ซูโหย่วเผิง
เผชิญกับความขัดแย้งระหว่างความกดดันและความรักเป็นเวลานาน เมื่อมีรุ่งเรืองก็ต้องมีเสื่อมโทรม เหล่าสมาชิกวงเสี่ยวหู่ตุ้ยก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะแยกย้ายกันโบยบิน ตอนที่ยังไม่มีที่พักพิง
ซูโหย่วเผิง
ต้องการเพียงแค่พักซักครู่ เก็บข้าวของสัมภาระไปพักผ่อนที่ราชอาณาจักร
รับมือกับกาลเวลา
เห็นศิลปินมามากที่อยากเก็บรักษาชีวิตวัยรุ่นของตัวเองไว้ตลอดไป ไม่สามารถไม่ชื่นชม
ซูโหย่วเผิง
ที่รับมือกับกาลเวลาได้
“ตอนที่ภาพลักษณ์เก้าปีแห่งการเป็นนักร้องไอดอลยอดนิยมค่อยๆห่างไปจากพวกเรา หลังจากที่กลิ่นอายของมันค่อยๆเลือนหายไป ฉผมคิดว่ากาลเวลาได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้แล้ว นี่เป็นความจริงที่พวกเราต้องยอมรับมัน พอดีกับที่มีองค์หญิงกำมะลอ ผมก็เลยตกลง และทดลองชิมลางงานแสดงละครโทรทัศน์ ถ้าหากไม่มีโอกาสครั้งนี้ บางทีอาจไม่มีชื่อซูโหย่วเผิงในวงการการแสดง”
ถือผลประโยชน์จากโอกาสที่เข้ามา เป็นทัศนคติของผู้มีความสนใจด้านวัฒนธรรมของจีนเป็นพิเศษอย่าง
ซูโหย่วเผิง
มาตลอด ในช่วงของการสัมภาษณ์ ตั้งแต่ต้นจนจบ
ซูโหย่วเผิง
ไม่ได้กล่าวประโยคที่แสดงความทะเยอทยานออกมาแม้แต่ประโยคเดียว และก็ไม่มีการแสดงออกที่ชัดเจนที่แสดงถึงความทะเยอทะยานอีกด้วย
“ประเด็นเรื่องการถ่ายละครยอดนิยมนี้ เป็นประเด็นที่ถูกถามมามากจริงๆ นี่เป็นช่วงๆหนึ่งที่ผ่านไป เป็นช่วงหนึ่งในวงการบันเทิงของผม ผมตั้งใจทำสิ่งที่ได้รับผิดชอบให้ดีที่สุด เรียนรู้ที่จะทำมันออกมาให้ดีที่สุด”
“สุดท้ายก็เบื่อใช่มั๊ย?”
ค่อยๆถามคำถามนี้ออกไปอย่างระมัดระวัง และเขาก็ไม่ได้รีบปฏิเสธกลับมาทันที
“อันที่จริงก็ผ่านมาแล้วหลายครั้ง มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า สร้างตัวละครและสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันออกมาไม่หยุด สุดท้ายก็สามารถเดาได้ว่าตอนจบจะเกิดอะไรขึ้น แล้วก็จะไม่มีความสุขไปกับมันอย่างช้าๆ อยากได้อะไรที่ใหม่ๆ เริ่มการแสดงแนวใหม่ๆ ตอนนี้ ผมคิดว่าเป็นอีกหนึ่งช่วงของชีวิตแล้ว ดังนั้น ก็เลยลองสัมผัสกับภาพยนตร์และละครเวที ภาพยนตร์ก็เป็นศิลปะประเภทหนึ่งซึ่งเป็นมากกว่าละคร ไม่ได้เกินความเป็นจริง และก็ไม่ได้จานด่วนขนาดนั้น รายละเอียดข้างในนั้นมันทำให้ผมหลงใหลมาก”
จาก
”ไกวไกวหู่” สู่ “องค์ชายห้า”
เป็นการปรากฏตัวบนจอเงินอีกครั้งด้วยภาพลักษณ์ที่แตกต่าง
“อนาคต?
ในอนาคตผมอยากมีให้มีโอกาสดีๆเข้ามาให้ผมได้ไปทดลอง มีหลายครั้งต้องปล่อยให้มันผ่านไปตามโชคชะตา ทุกช่วงของชีวิตจะมีหัวข้อหลักของมันเสมอ ขึ้นอยู่กับโอกาสและความเป็นไปได้ที่ไม่เหมือนกัน” เขาที่ผ่านมาทั้งจุดสูงสุดและต่ำสุดของชีวิตการทำงาน ชีวิตขึ้นๆลงๆมาตลอด 20 ปี ก็สามารถทำใจยอมรับและรับมือการผ่านไปของกาลเวลาได้นานแล้ว คว้าทุกโอกาสที่เข้ามา เพลินเพลินไปกับทุกๆสถานการณ์ที่เข้ามา
“ตอนนี้อยากถ่ายภาพยนตร์หลายๆเรื่อง เพราะผมเพิ่งเริ่มเดินถนนสายนี้”
“ยังร้องเพลงอยู่มั๊ย?”
ได้ยินคำร่ำลือมาตลอดสำหรับ “คอนเสิร์ต 20 ปีเสี่ยวหู่ตุ้ย” เพราะว่ามีกระแสข่าวลือมาก็เลยเกิดความสงสัย สำหรับ
ซูโหย่วเผิง
แล้ว เสี่ยวหู่ตุ้ยเป็นความทรงจำที่ถูกฝังลึกไว้ในใจ “ผมคิดว่าผมจะใช้วิธีเฉพาะของผมมารำลึกและจดจำ ก็เหมือนกับความรักครั้งแรกที่ผ่านไป ปกติแล้วมักจะงดงามเสมอ และก็จะมีความหมายที่ยากที่จะลบเลือนได้ ความทรงจำเกี่ยวกับเสี่ยวหู่ตุ้ย เป็นสิ่งประดับตัวเท่านั้น ไม่ได้มีความทรงจำอะไรเป็นพิเศษ และก็ไม่ได้ต้องการมัน เพราะว่าไม่สามารถลบมันออกไปได้อยู่แล้ว” กาลเวลาได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้
ซูโหย่วเผิง
บอกว่าสิ่งที่เขาต้องทำก็แค่ยอมรับมัน นี่เป็นสัจธรรม เพราะว่าความรักที่ลึกซึ้ง มันถูกซ่อนไว้ในความปล่อยวาง ไม่ไปยุ่งกับมัน และไม่ไปรบกวนมัน
รักคนอื่น ให้มีความสุขมากกว่าได้รับ
ตัวตนของ
ซูโหย่วเผิง
เบื้องหลังแสงสปอร์ทไลท์ แท้จริงแล้วยังมีอีกหนึ่งตัวตนที่ไม่มีใครรู้มาก่อน เขาเป็นคนใจบุญสุนทาน เขาได้รับอิทธิพลของศาสนาพุทธมาอย่างลึกซึ้ง ทำกิจการการกุศลมาตลอด เขาแตกต่างจากศิลปินส่วนใหญ่ เขาเลือกที่จะให้โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ
น้อยคนนักที่จะรู้ว่าประเทศจีนมีโรงเรียนหนึ่งชื่อ “โรงเรียนปฐมแห่งความหวังซูโหย่วเผิง” (苏有朋希望小学) เขาดำรงตำแหน่งทูตของโรงเรียนแห่งความหวังโรงเรียนแรกในประเทศจีนของกองทุนเพื่อการพัฒนาเยาวชนประเทศจีน หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวที่เวิ่นชวน (汶川) เขาไม่เพียงแต่บริจาคเงิน ทั้งยังซื้อสิ่งของเพื่อส่งให้ผู้ประสบภัยด้วยตัวเอง เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็ดูปกติ ไม่มีสีหน้าแห่งความพอใจใดๆ
“ผมเพียงแค่คิดว่าทุกคนล้วนมีความสุขได้กับการช่วยเหลือคนอื่น สำหรับการให้ คนที่โชคดีก็คือตัวเอง คนที่รู้สึกมีความสุขก็เป็นตัวเอง เพียงแค่ทุกคนมีชีวิตที่ดี ก็สามารถมีหนึ่งเสียงที่จะไปรักคนอื่น นี่เป็นเรื่องธรรมชาติ ผมคิดว่าคุณก็มี เขาก็มี เมื่อคุณทำดีกับคนอื่นแล้ว ลองดูนะ คุณจะรู้สึกได้ว่าตอนนั้นคุณมีความสุขมาก” วันที่โรงเรียนที่ใช้ชื่อของเขาทำพิธีเปิด เขาได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากชาวบ้าน ครูใหญ่พูดกับเขาด้วยนัยน์ตาที่มีน้ำตาคลอว่า
“ขอบคุณคุณมาก พวกเราจะจดจำคุณไว้ตลอดไป”
ณ ตอนนั้น เขาเผยว่าตนรู้สึกมีความสุขอย่างไม่เคยมีมาก่อน การให้มีความสุขมากกว่าการได้รับ หลังจากที่ชีวิตผ่านช่วงขึ้นๆลงแล้ว ถือโอกาสช่วงที่ตนยังมีไฟอยู่ มาทำเรื่องเล็กๆน้อยๆ สำหรับชายคนนี้แล้ว บางทีอาจจะทำให้มีเสน่ห์มากขึ้น จิตใจดีมีเมตตาไม่จำเป็นให้จนหมดตัว ยิ่งไม่จำเป็นต้องแต่งเสริมประดิษฐ์เพิ่ม
“รักคนอื่น”
เริ่มจากที่ตัวเอง ก็เพียงพอแล้ว
ชีวิตก็คือความสมดุล
ซูโหย่วเผิง
30ปีก่อนหน้านี้ เป็นคนที่มีมาตรฐานในการทำงานสูงมากคนหนึ่ง ปัจจุบัน เห็นท่าทีที่มีต่อการแก้ทรงผมกว่าสองชั่วโมงของเขาแล้ว ก็รู้ได้เลยว่าปีนั้นต้องยิ่งกว่านี้แน่ๆ
“คนทำครั้งแรกไง ก็เลยต้องการความสมบูรณ์แบบมากเป็นพิเศษ ชอบกดดันตัวเอง มันมีความกดดันหลังจากเสี่ยวหู่ตุ้ยแยกวง ผมไปอังกฤษ คือว่าอยากไปตามหาบางอย่างในที่ที่ไม่มีใครรู้จักผม”
วันคืนที่ปลดปล่อยตัวเองอยู่นั้น การท่องเที่ยวและศาสนาพุทธได้กลายเป็นทางออกของจิตวิญญาณ
“เมื่อศึกษาพระธรรมคำสอน ศาสนาพุทธจะบอกคุณว่าต้องทำอย่างไรถึงจะมองเห็นแก่นแท้ของตัวเอง สอนคุณว่าจะข้ามจากฝั่งหนึ่งไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้อย่างไร เดินๆไป จะมองเห็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือนกัน วัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ก็จะทำให้จิตใจใหญ่ขึ้น และกว้างขึ้น จะเข้าใจอย่างช้าๆว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของสรรพสิ่งก็คือปล่อยให้มันเป็นไปตามชะตา”
ซูโหย่วเผิง
ในตอนนี้ ไม่ได้รู้สึกว่าความหมายของการทำงานคือหาเงิน ไม่ได้คาดหวังกับผลที่ได้มากมาย อีกต่อไปแล้ว “คุณถามผมว่าจะพักตอนไหน ที่จริงแล้วตอนนี้ผมก็อยากพักอยู่ ถ้างานต่อไปกับทริปของผมเกิดขัดกันขึ้นมา เช่นความฝันจะไปเกาะเล็กๆของผม นอกจากว่างานนั้นจะสำคัญอย่างยิ่งแล้ว ไม่เช่นนั้นผมแล้วก็จะต้องบินไปเกาะนั้นไปอาบแดดพักผ่อนแน่นอน”
“ผมคิดว่าตนเองก็ผ่านอายุเลขสามมาแล้ว ก็เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง และตั้งใจทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ ใช้ใจที่กว้าง และมีอารมณ์ขันไปเผชิญหน้ากับปัญหา ผมคิดว่าสามารถปล่อยให้มันเป็นไปตามชะตากรรม ไม่ต้องไปบิดเบือนมันขนาดนั้น ทุกๆสิ่งล้วนมีค่าในตัวของมันเสมอ มุมมองที่แตกต่างก็มีผลลัพธ์ที่แตกต่าง คุณคิดว่าการปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมก่อให้เกิดผลเสีย? ที่จริงแล้วไม่ใช่นะ ที่ผมพูดไปเป็นแค่ภาพที่งดงาม ทุ่มเทตั้งใจ แต่กลับไม่เรียกร้องต้องการอะไร ชีวิตก็คือความสมดุล จากที่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคเสี่ยวหู่ตุ้ย จนถึงช่วงที่ต้องปลีกวิเวก ล้วนแต่เริ่มจากจุดๆหนึ่งไปถึงอีกจุดๆหนึ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกันอย่างสุดขั้ว เขาในปัจจุบันนี้ สิ่งที่ต้องการมากที่สุดก็คือความสมดุล สมดุลในด้านการงานและชีวิต มีความสุขและกำไรพร้อมๆกัน ไม่ต้องมากนักแค่พอเหมาะพอควร ไปพักผ่อนอาบแดดที่เกาะเล็กๆ มีความสุขมากกว่าสิ่งภายนอกที่ไม่สำคัญ บนเส้นทางขึ้นๆลงๆตลอด 20 ปีมานี้ ท้ายที่สุดแล้ว
“สมดุล”
คำๆนี้คือสิ่งที่มีค่าที่สุด
บันทึกการเข้า
Web Site
www.baansuyoupeng.com
FB
www.facebook.com/AlecfanclubinThailand
WB
http://www.weibo.com/AlecSuThaiFC
aueyeua
Global Moderator
Newbie
กระทู้: 40
Re: [2015-05-29] ซูโหย่วเผิง: สิ่งล้ำค่าสุดท้ายของผม
«
ตอบกลับ #1 เมื่อ:
มิถุนายน 09, 2015, 04:26:18 PM »
ถ้าต้องเลือกแค่อย่างเดียวว่า
รัก
คน ๆ นี้ที่ตรงไหน...
ตอบได้อย่างไม่ลังเลเลย ว่า
รัก
ความคิด
ของผู้ชายชื่อ
ซูโหย่วเผิง
มากที่สุด
บันทึกการเข้า
Web Site
www.baansuyoupeng.com
prattana
Administrator
Hero Member
กระทู้: 4549
Re: [2015-05-29] ซูโหย่วเผิง: สิ่งล้ำค่าสุดท้ายของผม
«
ตอบกลับ #2 เมื่อ:
มิถุนายน 11, 2015, 11:07:22 AM »
19 พฤษภาคม 2558 weibo/suyoupeng
"พระพุทธศาสนาเป็นการว่าด้วยกฎเกณฑ์ธรรมชาติของจักรวาล การศึกษาพระธรรมและวิปัสนา เป็นวิธีที่จะเข้าใจจักรวาล ไม่ว่าจะเชื่อถือศาสนาใด เผ่าพันธุ์ใด เพศใด ก็ล้วนสามารถศึกษาเพื่อค้นพบสัจธรรม เข้าใจและสัมผัสถึงกฎแห่งจักรวาลได้ หลังจากที่เรียนรู้วิถีนี้แล้ว จะพบว่าจะมีความรักและความเมตตาเกิดขึ้นในใจทุกวัน ความทะเยอทยานลดลง อยู่กับปัจจุบัน มีชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุข" สู้ๆ!
บันทึกการเข้า
Web Site
www.baansuyoupeng.com
FB
www.facebook.com/AlecfanclubinThailand
WB
http://www.weibo.com/AlecSuThaiFC
prattana
Administrator
Hero Member
กระทู้: 4549
Re: [2015-05-29] ซูโหย่วเผิง: สิ่งล้ำค่าสุดท้ายของผม
«
ตอบกลับ #3 เมื่อ:
มิถุนายน 11, 2015, 11:09:44 AM »
20 พฤษภาคม 2558 weibo/suyoupeng
ได้กลิ่นชื้นๆลอยมา ทำงานหนักมาตลอดหนึ่งปี ถึงเวลาต้องกลับไปซ่อมแซมร่างกายแล้วล่ะ กฎเดิม ภายในสิบวันห้ามพูด แล้วเจอกันนะ ยังมี สุขสันต์วันแห่งความรัก (จีน)
บันทึกการเข้า
Web Site
www.baansuyoupeng.com
FB
www.facebook.com/AlecfanclubinThailand
WB
http://www.weibo.com/AlecSuThaiFC
prattana
Administrator
Hero Member
กระทู้: 4549
Re: [2015-05-29] ซูโหย่วเผิง: สิ่งล้ำค่าสุดท้ายของผม
«
ตอบกลับ #4 เมื่อ:
มิถุนายน 11, 2015, 11:13:21 AM »
31 พฤษภาคม 2558 weibo/suyoupeng
เงียบสงบ ง่วงมาก ออกแล้วนะ...การวิปัสนาครั้งนี้มีความก้าวหน้ามาก ตอนที่กำลังจะยอมแพ้ วันที่สิบ รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวของทุกอนุภาคในร่างกาย ไม่เจอกันสิบวัน ทุกคนสบายดีใช่มั๊ย
บันทึกการเข้า
Web Site
www.baansuyoupeng.com
FB
www.facebook.com/AlecfanclubinThailand
WB
http://www.weibo.com/AlecSuThaiFC
prattana
Administrator
Hero Member
กระทู้: 4549
Re: [2015-05-29] ซูโหย่วเผิง: สิ่งล้ำค่าสุดท้ายของผม
«
ตอบกลับ #5 เมื่อ:
มิถุนายน 11, 2015, 11:17:19 AM »
บันทึกการเข้า
Web Site
www.baansuyoupeng.com
FB
www.facebook.com/AlecfanclubinThailand
WB
http://www.weibo.com/AlecSuThaiFC
พิมพ์
หน้า: [
1
]
« หน้าที่แล้ว
ต่อไป »
Alec Su Youpeng fanclub in Thailand
»
Interviews [Thai Translation] | ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณอยากจะรู้ ซึ่งไม่เคยอ่านที่ไหนมาก่อน
»
SCOOPS & SPECIALS
»
[2015-05-29] ซูโหย่วเผิง: สิ่งล้ำค่าสุดท้ายของผม