[Alecsu magazines_2015] 旅伴2015-04
สู่การเป็นผู้กำกับ
เมื่อดูจากรายชื่อ “ผู้กำกับคนดัง” ของค่าย กวางเสี้ยนมีเดียแล้ว แน่นอนหนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ ซูโหย่วเผิง แน่นอน วันหนึ่งเมื่อสองปีที่แล้ว เอกสารเชิญเป็นผู้กำกับฉบับหนึ่งได้ส่งถึงมือ ซูโหย่วเผิง เขาดูตกใจกว่าทุกคน “ให้ผมเป็นผู้กำกับ? มีอะไรผิดพลาดรึเปล่า ปฏิเสธไปๆ”
“อย่างน้อยๆก็นัดเจอกันก่อนค่อยปฏิเสธสิ” ภายใต้แรงยุของผู้จัดการ สุดท้ายแล้วเขายอมนัดเจอทางค่าย และตั้งใจว่าจะไม่ว่าอย่างไรก็จะปฎิเสธงานนี้ “แน่นอนว่าอายุของผมตอนนี้ เป็นเวลาที่ควรจะลดงานบ้างได้แล้ว”เขาพูด อีกอย่าง ทั้งชีวิตของเขา ไม่เคยคิดว่าจะเป็นผู้กำกับเลย
หลังจากได้คุยกับทางค่ายครั้งนั้น ทำให้ ซูโหย่วเผิง รู้สึกว่า มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฎิเสธโอกาสดีๆอย่างนี้เลย
“การเข้ามาเป็นเด็กใหม่ในวงการผู้กำกับนั้น แต่ทางค่ายบอกผมว่าไม่ต้องกังวล เพราะว่าทางเขาเตรียมทุกอย่างไว้ให้แล้ว ราวกับว่า ผมมีหน้าที่แค่ดูจากหน้ากล้อง ก็แค่นั้น” ซูโหย่วเผิงพูด หลังจากวันนั้น ซูโหย่วเผิง ก็เริ่มสร้างพิมพ์เขียวของหนังในหัว และในประชุมกับนักลงทุนครั้งที่ 2 นั้น หลังจากที่เขาได้อธิบายความคิดของเขาแล้ว แต่โครงการนี้กลับมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา-----โครงการเดิมถูกยกเลิกและแทนที่ด้วยการทำหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายที่ชื่อว่า โจวเอ่อ และ โจวเอ่อ คืออะไร? สำหรับนักอ่านยุค 85 คงจะคุ้นเคยกับนิยายเรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่สำหรับ ซูโหย่วเผิง แล้ว เขาไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย “ผมเคยได้ยินนิยายเรื่องนี้ พอพวกเขาคุยกันถึงตรงนี้ ผมคิดว่านี่เป็นโอกาสดีเหมือนกัน” ---ผู้จัดการของ ซูโหย่วเผิง ให้สัมภาษณ์นักข่าว ทั้งจำนวนยอดวิว แฟนคลับ และยอดขายที่ประเมินไว้.........ทุกอย่างมันมหาศาลมากเมื่อฟังจากปากนักลงทุน ทำให้ ซูโหย่วเผิง ที่นั่งฟังอยู่ข้างๆต้องตะลึง ฟังดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเขาซะเท่าไหร่ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเรื่องของเขาเต็มๆ และนี่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งในรอบเกือบ 30 ที่เข้าวงการ
ตอนนั้น ซูโหย่วเผิง ได้เข้าร่วมเป็นกรรมการรายการ <Talent Show> พร้อมกับ จ้าวเวย และมีโอกาสได้ปรึกษาเพื่อนเก่าคนนี้เรื่อง โจวเอ่อ ในคืนนั้น จ้าวเวย นั่งอ่านนิยาย โจวเอ่อ จนจบ แล้วเล่าความคิดของตนให้ โหย่วเผิง ฟังในวันต่อมา
“เธอบอกว่าตามประสบการณ์ของเธอแล้ว นิยายเรื่องนี้ดัดแปลงค่อนข้างยาก” เจอคำตอบมาแบบนี้ ผมก็แอบท้อบ้างเหมือนกัน “แต่ว่าไหนๆก็ตกลงรับงานแล้ว ยังไงก็ต้องตั้งใจทำให้ดีที่สุดครับ”ซูโหย่วเผิง กล่าว
ใช้เวลาไม่นาน ซูโหย่วเผิง ก็เตรียมทีมงานของตนเองพร้อม “แต่พอได้ลองปฎิบัติจริงแล้วถึงรู้ว่ามันไม่ได้เหมือนที่เคยคุยกันไว้ก่อนหน้านี้ว่า ‘ก็แค่นั่งดูอยู่หน้ากล้องเท่านั้น’ ทุกรายละเอียดเล็กๆต้องสามารถถ่ายทอดความคิดของผู้กำกับได้อย่างชัดเจน ถึงจะสามารถขับเคลื่อนไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ การปฎิบัติจริงเป็นหลักฐานแสดงให้เห็นอีกครั้งว่า จุดไหนที่คุณละเลย จุดนั้นก็จะมีปัญหา” พูดจบ ซูโหย่วเผิง หัวเราะแล้วพูดต่อว่า “คุณก็รู้ว่าผมชาวราศีกันย์“
ลิ้มลองรสชาติของ “สิ่งที่ค้านกับเส้นทางของตน”
หลายคนพยายามเพื่อจะเข้าวงการบันเทิง และมีหลายคนที่พยายามจะออกจากวงการนี้ แน่นอนว่า ซูโหย่วเผิง เป็นจำพวกหลัง
เข้าวงการมา 27 ปี คำว่า “ไอดอล“ทำให้เขาต้องทุกข์ใจมานับครั้งไม่ถ้วน การแสดงแย่ ร้องเพลงผิดคีย์ตลอด มีดีแค่หน้าตา-----นี่ไม่เป็นเพียงคำที่คนส่วนมากใช้วิจารณ์ไอดอลสมัยนี้เท่านั้น ในศตวรรษ 20 ทศวรรษที่ 90 ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน “คุณรู้ไหมว่า ทำไมตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผมถึงทำเรื่องที่ค้านกับสิ่งที่ควรทำ ก็เพราะอยากแสดงให้เห็นว่า ผมไม่ใช่พวกมีดีแค่หน้าตา” ซูโหย่วเผิง ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ”เหมือนว่าตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีคนเรียกผมว่าไอดอลแล้ว“
การเป็นผู้กำกับทำให้ ซูโหย่วเผิง มีโอกาสได้ลองสิ่งใหม่ๆอีกครั้งในวงการบันเทิง ทัศนคติและความคิดที่เขาสั่งสมมานานได้เวลานำเสนอซักที อีกด้านหนึ่งในฐานะที่เป็นนักแสดง “ค้านกับเส้นทาง”ที่เขาพูดนั้น หมายความว่า ผลงานการแสดงช่วงหลังๆนั้น ภาพลักษณ์อาจจะไม่ได้เป็นสุภาพบุรุษหนุ่มหล่อเท่ แต่กลับได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก-----เช่น ไป๋เสี่ยวเหนียงในเรื่อง《ฟงเซิน》บท ลี่ซูเจี่ยจากเรื่อง《คังติ้งฉิงเกอ》บทคุณหมอหนิวในเรื่อง《Design of Death》และบทหนุ่มใหญ่ขี้ขลาด หวังจื้อยี่ ในเรื่อง《Sweet Alibis》เป็นต้น
จากหนังทั้งหมดนี้ เรื่องที่ไม่พูดไม่ได้เลยคือ ไป๋เสี่ยวเหนียงในเรื่อง 《ฟงเซิน》ในปี 2009 ที่เขาสามารถตีบทแตกจนคว้ารางวัลมาได้ อีกทั้งยังทำให้ผู้ชมยอมรับในฝีมือการแสดงของเขา ซูโหย่วเผิง เองก็ยอมรับว่า ถ้าหากไม่ใช่เพราะบท ไป๋เสี่ยวเหนียง “ผมคงไม่มีโอกาสได้ลองแสดงหนังแนวศิลป์ หรือแม้แต่การเป็นผู้กำกับ พวกเขาก็คงไม่คิดว่าผมจะทำอะไรแบบนี้ได้ ฉะนั้นผมรู้สึกขอบคุณบท ไป๋เสี่ยวเหนียงมากนะ ที่เบิกเส้นทางใหม่ให้ผม“
ถึงแม้ว่าจะผ่านไปนานมาแล้ว แต่ทว่า แม้กระทั่งตอนที่ให้สัมภาษณ์ในงานโปรโมทหนังเรื่อง โจวเอ่อ “รื้อฟื้นความหลัง” เหมือนจะเป็นประเด็นโปรดของสื่อ “สองสามวันก่อน ผมยังคุยกับเพื่อนร่วมงานผมอยู่ว่า จนทุกวันนี้ยังมีนักข่าวถามผมเรื่อง เสี่ยวหู่ตุ้ย อยู่เลย ถามซ้ำๆอย่างนี้ ผู้ชมไม่เบื่อบ้างเหรอ? ผู้ชมไม่สงสัยบ้างเหรอครับว่า ทำไม ซูโหย่วเผิง มีเรื่องที่คุยได้แค่นี้?” แต่ว่า เมื่อคนรอบตัวบอกเขาว่า เมื่อใดที่ได้ยินเสียงดนตรีดังขึ้นหัวใจยังคงเต้นแรงเหมือนเดิม ซูโหย่วเผิง อึ้ง สำหรับเขาแล้ว เขาคิดเสมอว่า แค่ทำหน้าที่ของตนให้ดีก็พอแล้ว เขาไม่เคยสนใจผลลัพธ์ว่าจะเป็นอย่างไร และไม่เคยรู้ด้วยว่า สำหรับหลายคนแล้ว เขาเป็นเหมือนตัวแทนวัยรุ่นของพวกเขา ถึงแม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เรื่องราวตอนวัยรุ่นยังคงชัดเจนในใจของพวกเขาเสมอ
ช่วงที่ผ่านมา ซูโหย่วเผิง ได้เข้าร่วมรายการ《Voice》การเผชิญกับรายการกล่าวสุนทรพจน์แบบนี้ ทำให้ ซูโหย่วเผิง ที่ “จริงจังกับงาน”กังวลไม่น้อยเลย “ผมในวัยนี้ อาจจะผ่านอะไรมาเยอะ ผมมีความเชื่อของผม แต่ว่าความคิด ทัศนคติในแต่ละช่วงวัยชีวิตของคนเราอาจจะต่างกันไปตามบุคคล ภายใต้เวลาที่จำกัดนั้น ผมจะพูดแต่ความคิดของผมหมดเลยก็คงไม่ได้ ผมควรจะถ่ายทอดทัศนคติแบบไหนให้เหล่าวัยรุ่นที่อยู่ตรงหน้าผม? ” ซูโหย่วเผิง ส่ายหัว เขาดูไม่พอใจกับการแสดงออกในวันนั้นของตนเอง ภาพนี้ ทำให้คนดูเหมือนได้นั่งไทม์แมชชีนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว หนุ่มน้อย ไกวไกวหู่ ที่เสียความมั่นใจเพราะมักผิดจังหวะเวลาซ้อมเต้น
ปัจจุบันนี้ ซูโหย่วเผิง เลยอายุ 40 มาแล้ว ในบางครั้งเขาอาจจะรู้สึกว่าชีวิตน่าเบื่อไปบ้าง ไม่ได้ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งใหม่ๆเหมือนเมื่อก่อน แต่เขายังคงฝึกจิตอยู่เสมอ ฝึกให้รู้จักปล่อยว่าง ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข