นักใช้ชีวิต|ซูโหย่วเผิง : ปรากฏตัวในหนังรักวัยรุ่น กับบท “ครูฝ่ายปกครอง”
ซูโหย่วเผิง เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกแฟนคลับตั้งฉายาให้มากมาย ฉายาเหล่านี้สามารถจำแนกยุคสมัยและอายุของแฟนคลับได้อย่างชัดเจน เช่น รัก “องค์ชายห้า” เป็นพลังที่เกิดขึ้นจากแฟนคลับรุ่น 1985 รัก “ไกวไกวหู่” เป็นฉายาจากรุ่น 1980 และปัจจุบันนี้ ซูโหย่วเผิง กลับมาอีกครั้งในฐานะผู้กำกับกับผลงานกำกับหนังเรื่องแรกของเขา “จั๋วเอ่อ” ที่หวังสร้างภาพลักษณ์ใหม่ในฐานะผู้กำกับซู ในใจของรุ่น 90 ทุกคน และมอบผลงานจากความตั้งใจ อีกทั้งเป็นการชดเชยความรักความเจ็บปวดเมื่อครั้งวัยรุ่นของตัวเอง
หนังเรื่องแรกกับตำแหน่งผู้กำกับครั้งแรก
"ตอนที่ Enlight ชวนผมมาทำหนังเรื่องนี้ ตอนแรกเลยผมปฏิเสธไปครับ" คำพูดนี้คุ้นๆ แต่ไม่ใช่ว่า ซูโหย่วเผิง ตอบรับด้วยการพูดอ้อมๆนะครับ ช่วงสี่สิบปีของชีวิตที่ผ่านมา เขาได้สร้างฉายาของตนมากมาย "เด็กเรียน" "นักร้อง" "ไอดอล" "ทีมความสามารถ" ย้อนกลับไปดูตอนนี้ ทั้งการงานและชีวิตก็ถือว่าไม่เลวเหมือนกัน การที่เริ่มอยากใช้ชีวิตแบบนับถอยหลัง ก็เป็นทางเลือกที่เข้าใจได้ "ผมนับถือพุทธมาตั้งแต่เด็ก การปฏิเสธมากเกินไป ถือเป็นการขัดค้านต่อโชคชะตา เพราะฉะนั้น หากมันเกิดขึ้นแล้ว มาดูว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไปไม่ดีกว่าหรอกครับ"
สัญญาที่มีต่อพระองค์เจ้านี้ ทำให้ ซูโหย่วเผิง ผ่านความลำบากมามากมาย เขาพูดเล่นในงานโปรโมทหนังว่า “ผมอยู่บนเรือโจรแล้ว…..”แต่ถือเป็นการศึกษาในแวดวงใหม่ๆ ก็น่าตื่นเต้นไม่น้อยเลยเหมือนกัน “นอกจากทุ่มเรื่องการเรียนแบบเอาเป็นเอาตายครั้นตอน ม.6 แล้ว ผมก็ไม่เคยมีประสบการณ์ใช้เวลาทั้งปี ในการตั้งใจทำเรื่องๆหนึ่งอีกเลย” ประสบการณ์การเป็นผู้กำกับที่มาตามโชคชะตา ไม่ได้หมายความว่าจะทำยังไงก็ได้ เพื่อที่จะกู้ชื่อเสียงผลงานชิ้นแรก ซูโหย่วเผิง ในกองถ่ายนั้นทั้งอ่อนน้อม เข้าถึงง่าย อีกมุมนึงเขาเข้มงวดกับงานเอาการเลย ทำให้เขาได้รับฉายาเพิ่มอีกหนึ่งฉายาว่า “พ่อเผิง” การทำงานรวมกับนักแสดงหน้าใหม่ แม้หนังจะถ่ายไปยี่สิบสามสิบฉาก แต่ ซูโหย่วเผิง กลับแนะนำอย่างสรุปง่ายดายว่า เป็นหนังรักเจ็บปวดของวัยรุ่น คิดว่านักแสดงหน้าใหม่ที่ยังคงวัยรุ่นนั้น คงเคยผ่านประสบการณ์ความรักมาแล้ว
“อยากถ่ายทำออกมาให้ดี ต้องเสร็จในระยะเวลาที่กำหนดไว้ เพราะยังไม่อยากใช้งบประมาณเกิน ”เหมือนว่าต้องผ่านความกดแรงและเข้มงวดกับตนเองก่อน ซูโหย่วเผิง ถึงจะสามารถแสดงศักยภาพด้านบวกออกมา ในบ้างครั้ง งานหยิบย่อยในฉากแม้กระทั้งหนังสือเล่มหนึ่ง เขายังต้องจัดด้วยตนเอง “บางครั้ง เรื่องหยิบย่อยเหล่านี้ที่เรามองข้าม จะสะสมจนกลับเป็นความแตกต่างที่ใหญ่โตก็ได้ ตัวอย่างเช่นโปสเตอร์รูปหนึ่งในห้องของ เสี่ยวเอ่อตัว (นางเอกในเรื่อง) เป็นรูปของ Nirvana…. ได้โปรดเถอะ สาวน้อยในเมืองเล็กๆส่วนน้อยมั้งครับที่จะรูปนี้”
ระหว่างการถ่ายทำนั้น ซูโหย่วเผิง ก็มีบางมุมที่ค้านกับการเป็นสิทธิสมบรูณ์ของราศีกันย์เหมือนกัน เช่น การแต่งตัวของเขาในกองถ่าย---หนวดเคราที่ไม่ได้โกนมาหลายวัน กางเกงขาสั้น เสื้อยืด และมีผ้าเช็ดตัวพาดบนไหล่ ถึงจะเข้าไปอยู่ไหนทีมแม่บ้านก็ไม่มีใครสังเกต “ต้องแต่งตัวในดูดีทุกวันเลยหรอ ใครจะไปมีเวลาล่ะ” แต่งตัวสบายๆในหน้าร้อนแล้ว ผู้กำกับซูดื่มยาจีนซะราวกับจิบค๊อกเทล “ตอนนี้ผมไม่ได้เป็นนักแสดงซักหน่อย แค่ทำตามหน้าที่ในกองถ่ายให้ดีก็พอแล้ว”
จั๋วเอ่อ กำหนดเข้าฉายวันที่ 1 พฤษภาคม งานตัดต่อเบื้องหลังก็ใกล้เสร็จแล้ว เหมือนดั่ง“ตั้งครรภ์มาเก้าเดือนในที่สุดก็จะได้เจอหน้าลูกซักที”แต่ ซูโหย่วเผิง กลับไม่ได้โล่งใจเลย เพราะผลงานครั้งแรกของเขา มีเพื่อนพ้องซึ่งเป็นดาราดังๆมาให้กำลังใจและสนับสนุนมากมาย ผู้กำกับซูต้องทำยอดขายและชื่อเสียงให้ได้ถึงจะไม่เสียแรงที่เพื่อนๆรอคอย
หนังเรื่องแรกก็เข้าคอนเซ็ปหนังรักวัยรุ่น สำหรับ ซูโหย่วเผิง แล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะความบังเอิญ ไม่ได้หมายถึงบังเอิญได้คอนเซ็ปที่ตรงต่อความต้องการของตลาดนะ แต่มันทำให้นึกถึง จ้าวเว่ย ที่มีผลงานกำกับเรื่องแรกและโด่งดัง ซึ่งก็เป็นหนังรักวัยรุ่นเช่นกัน เสี่ยวเยี่ยนจือ และ องค์ชายห้า ย้อนรอยกำกับหนังรักวัยรุ่น ก็ถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจพอแล้ว “หลังจากที่ตกลงรับหน้าที่ผู้กำกับแล้ว ผมได้คุยกับ จ้าวเว่ย อยู่เหมือนกัน ตอนนั้นเราถ่าย ก็ทาบทามเล้นด้วยกัน กว่าจะเลิกงานก็เที่ยงคืนแล้ว จ้าวเว่ยกลับถึงโรงแรม ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าในการอ่านนิยายต้นฉบับ…..ช่างเป็นจอมยุทธหญิงจ้าวเว่ยจริง ๆ ครับ” นอกจากจะบอกตามตรงว่าปรับเปลี่ยนบทค่อนข้างเป็นไปได้ยากแล้ว จ้าวเว่ย ยังให้แนะนำและให้เบอร์โทรศัพท์ของคนเบื้องหลังที่คิดว่าน่าจะช่วย ซูโหย่วเผิง ได้ สุดท้ายได้ ฮวางจื้อหมิง โปรดิวเซอร์ผู้มีผลงานคว้ารางวัลม้าทองคำมาแล้ว 2 เรื่อง ได้แก่เรื่อง“Cape no.7”และ “Seediq Bale” การเข้าร่วมของโปรดิวเซอร์มากประสบการณ์อย่าง ฮวางจื้อหมิง ทำให้ ซูโหย่วเผิง โล่งใจไปไม่น้อยเลยทีเดียว “พี่จื้อหมิง เป็นอีกหนึ่งคนที่ผมต้องขอบคุณมากๆ เพราะตลอดการถ่ายทำนั้น เราต้องหาฉาก 6 โมงเช้าทุกวัน ถ้าหากว่าไม่ได้เขามาช่วย ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน”
จุดที่ทำให้ ซูโหย่วเผิง อินที่สุดในนิยายต้นฉบับของ เหยาเสี่ยหม่าน คือการถ่ายทอดความจริงที่ค่อนข้างโหดร้าย “จั๋วเอ่อ ไม่เหมือนกับนิวยายวัยรุ่นทั่วไปที่มีเพียงแค่ความรักใสๆ เรื่องราวที่เริ่มต้นขึ้นจากปริศนา ช่วงชีวิตวัยรุ่นนั้นมีความเจ็บปวดแฝงอยู่ แบบนี้ถึงใกล้เคียงกับความเป็นจริง” สำหรับผู้กำกับซูแล้ว วัยรุ่นเป็นเพียงเปลือกน้ำตาล ภายในนั้นแฝงข้อคิดหลายอย่าง เมื่อบรรลุนิติภาวะแล้วจะสามารถเข้าใจได้เอง เพราะฉะนั้นระหว่างที่สื่อสารกับนักแสดงที่กำลังเป็นวัยรุ่น ซูโหย่วเผิง จึงต้องพยายามอธิบายให้ทุกคน เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบทบาทได้อย่างแท้จริง ถึงขนาดว่าให้ใส่ความรู้สึก และประสบการณ์ส่วนตัวเข้าไปด้วย ถึงจะสามารถถ่ายทอดความเป็นวัยรุ่นออกมาได้ดีที่สุด พอพูดถึงชีวิตวัยรุ่นของ ซูโหย่วเผิง แล้ว เรื่องหนึ่งที่ไม่แปลกใจเลยคือ หากย้อนกลับไปเป็น ไกวไกวหู่ อายุ 17 สิ่งที่อยู่รอบตัวเขาคือแรงกดดัน
ตอนแรกนั้น ประโยคโปรโมทหนังเรื่อง จั๋วเอ่อ คือ “อายุ 17 ควรรักได้แล้ว” ย้อนคิดถึง ซูโหย่วเผิง ตอนที่ยังเป็นไกวไกวหู่อายุ 17 แล้ว เขาทำอะไรบ้างนะ? คงมีแต่คำตอบน่าเบื่ออย่าง----เขาเรียนหนังสืออยู่ ตอน ซูโหย่วเผิง อายุ 17 นั้น เสี่ยวหู่ตุ้ย ดังไปค่อนจักรวาล แต่ในขณะเดียวกัน นักเรียนดีเด่นที่เคยสอบเข้าโรงเรียนเจียนจงด้วยคะแนนสูงสุด งานอีเว้นท์แน่นเอียดเต็มตารางแทนที่การเรียน ทำให้การเรียนของเขาทิ้งห่างจากนักเรียนดีเด่นไปไกล “ตอนนั้นผมรู้สึกกดดันมากจริงๆ ผมต้องมีภาพลักษณ์นักเรียนดีเด่นในวงเสี่ยวหู่ตุ้ย หากว่าผลสอบเอนทรานส์ของผมไม่ดีละก็ ผมคิดว่าผมต้องเสียทุกอย่างแน่ ทั้งชีวิตของผมก็คงจบ” ด้วยเหตุนี้ เขายกเลิกงานอีเว้นท์ทุกอย่างตอน ม.6 ตั้งใจเรียนหนังสือ ไต้หวันมีถนนชื่อดังชื่อ “ถนนเรียนพิเศษ” ซูโหย่วเผิง เรียนตั้งแต่ต้นซอยยันท้ายซอย ไม่เพียงแค่ต้องเรียนวิชา ม.4-5 ที่ตนไม่ได้เรียน ยังต้องเรียนวิชาสำหรับ ม.6 ล่วงหน้าด้วย สุดท้ายแล้วก็สอบติดคณะ วิศวกรรมเครื่องกล ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวันสมดั่งใจหวัง National Taiwan University (NTU)
สมัยที่เสี่ยวหู่ตุ้ยกำลังดังเป็นพลูแตกนั้น ถูกพิธีกรสัมภาษณ์ในรายการหนึ่งว่า “เคยจูบผู้หญิงกันหรือยัง” เฉินจื้อหมิงและ อู๋ฉีหลง ยอมรับว่าเคยแล้ว ไกวไกวหู่ ตอบอย่างมึนๆว่า “ไม่เคยมีครับ….ไม่กล้าคิดเลยด้วยซ้ำ” “ผมคิดว่าอายุ17 ควรโฟกัสเรื่องการเรียน ส่วนความรักนั้นจะมีเมื่อไหร่ก็ได้…” หลังจากพูดจบ ผู้กำกับเหมือนจะรู้สึกว่าสิ่งที่ตนเพิ่งพูดไปนั้นค้านกับประโยคโปรโมทหนัง เลยรีบพูดต่อว่า “แน่นอนว่า อายุ 17 ก็เป็นอายุที่มีความรักได้แล้ว ยังไงก็ตามตอนที่ได้ยินประโยคนี้ครั้งแรก ก็ทำให้คนแก่อย่างผมซึ้งเหมือนกัน” เนื่องจากตอนมัธยมนั้น ซูโหย่วเผิง เรียนโรงเรียนชายล้วน เพราะฉะนั้นเขาไม่มีโอกาสในการใช้ชื่อเสียงในเรื่องความรักเลย อีกทั้งยังถูกเด็กผู้ชายที่อยากเอาชนะหยอกล้อ
ตอนอายุ 17 ไม่ว่าคุณจะเลือกความรักที่สดใส หรือทุ่มเทกับการเรียน อย่างน้อยนี่ก็เป็นอายุที่อยู่บนทางเลือก เลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง เช่นเดียวกับ ซูโหย่วเผิง ที่เลือกเดินเส้นทางนี้ และไม่เคยหยุดที่จะลองสิ่งใหม่ ยอมเรียนงิ้ว ฝึกเพลงพื้นบ้านเพียงเพื่อแสดงหนังเรื่องเดียว คล้ายกับการทุ่มเทกับการเรียนตอน ม.6 ถึงหากว่าจะสามารถย้อนเวลาไปตอนอายุ 17 ได้ ก็ไม่แน่ว่าเขาจะสามารถเลือกเส้นทางใหม่ให้ตนเองได้ “ตอนนั้นมีชื่อเสียงแล้ว ไม่สามารถกลับไปเป็นคนธรรมดาได้อีก เหมือนกับ ฉวีฮวานยี่ ที่อยากเป็นแค่คนธรรมดา แต่ผ่านไปแล้วหลายปี นักข่าวก็ยังคงนำเรื่องราวของเธอลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งอยู่ดี” ผู้กำกับซู นิ่งไปซักพัก “เหมือนกับ เฮยเหริ่น ในเรื่องนี้ หลังจากที่ปาลา (นางเอกหนึ่งในเรื่อง) ตายไป เขารู้สึกผิดมากจนตัดนิ้วมือตัวเอง ทุบโต๊ะตะโกน ‘กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว’ ผมก็กลับไปไม่ได้แล้วเหมือนกัน….” เพราะฉะนั้น หากว่าคุณโชคดีพอ ได้พบกับ จั๋วเอ่อ ของซูโหย่วเผิง ในขณะที่คุณยังคงเป็นวัยรุ่น ผู้กำกับหวังว่าหนังเรื่องนี้จะสามารถกลายเป็นคำแนะนำให้คุณว่า----ชีวิตวัยรุ่นคือตั๋วรถเที่ยวเดียว ใช้ให้คุ้มนะครับ
ถามตอบ
To:สมัยนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ยประสบความสำเร็จมากเลย แต่หลังจากที่คุณเข้าวงการการแสดง ทุกอย่างกลับไม่ได้ราบรื่นนัก?
ตอนนั้นเสี่ยวหู่ตุ้ยเข้าสู่ปีที่สิบ ผมมาเข้ามาในประเทศจีน ไม่ว่าจะใช้คำที่สวยหรูขนาดไหน ตั้งสิบปีแล้ว ยุคของคุณหมดแล้วก็คือหมดแล้ว ตอนนั้นผมเองก็แสดงไม่เก่ง ผมยังรู้ตัวเลยว่าแสดงแย่ เพราะตอนเด็กผมเป็นเด็กเรียน คุณแม่ผมไม่อนุญาตให้ดูโทรทัศน์ด้วย หลังจากนั้นผมก็สังเกตคนอื่นแสดง แล้วฝึกฝนด้วยตนเอง
To: ก่อนที่จะมาพัฒนาในจีน เคยผ่านช่วงเวลาที่มืดมนด้วยใช่ไหมครับ
ตอนนั้นชอบไปดื่มเหล้าในบาร์ ฉะนั้นชีวิตของเด็กเกเรในหนังเรื่องนี้ ผมได้ลองตอนนั้นแหล่ะครับ
To: ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในการแสดงละครคืออะไรครับ
สิ่งที่ลำบากที่สุดในการแสดงหนังก็วนกันอยู่ไม่กี่เรื่อง ผมยังจำได้ ตอนที่ถ่าย “ดาบมังกรหยก” อากาศร้อนมาก ชุดที่ต้องใส่ก็ค่อนข้างหนา ผมยิ่งเป็นคนเหงื่อออกง่ายด้วย ต้องค่อยเติมหน้าตลอด บางที่ก็น่าเบื่อ นอนทั้งวันก็ไม่เคยพอ รำไทเก๊กไม่เป็น ฝึกตอนนั้นแล้วก็แสดงเลย
To: ตอนที่คุณประสบความสำเร็จด้านการแสดงขนาดนั้น ทำไมยังรับบทเล็กๆอย่าง ไป๋เสี่ยวเหนียน ในเรื่อง “ฟงเซิน” ไม่กลัวแฟนคลับหญิงตกใจหรอครับ
ที่จริงแล้วในชีวิตของผมมักจะเลือกเส้นทางที่ยากที่สุดให้ตนเอง เหมือนตอนที่ประสบความสำเร็จในวงการเพลง แต่กลับย้ายมาแสดงหนัง พอมาแสดงแล้วก็อยากเป็นนักแสดงที่มีฝีมือ ที่จริงก่อนหน้าที่จะได้รับบท ไป๋เสี่ยวเหนียน ผมพยายามหาโอกาสอย่างนี้มาตลอด ผมเคยแสดงละครเวที ผมยังจำได้ว่าผมแสดงเรื่อง “หอมกลิ่นดอกเบญจมาศ” ที่โรงละครเซี่ยงไฮ้ หลังจากนั้นก็ถูกนักวิจารณ์วิจารณ์ยับเลย ตอนนั้นผมโกรธมากเหมือนกัน
To: เป็นผู้กำกับครั้งนี้ ต้องค่อยสื่อสารกับเด็กวัยรุ่น เจอใครที่รู้สึกว่าเหมือนกับเราตอนวัยรุ่นรึเปล่าครับ
มีครับ โอวฮาว หยางหยาง รวมถึงหูเซีย คนรุ่นใหม่พวกนี้มีความตั้งใจและพยายามมาก นางเอกของเราครั้งนี้ เป็นนักแสดงใหม่ ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการแสดงมาก่อน ถ่ายทำยี่สิบกว่ารอบท่ามกลางอากาศร้อน ก็ไม่เคยบ่นเลย ถือว่าความอดทนสูงมากครับ
To: หากย้อนกลับไปตอนอายุ 17 คุณอยากทำอะไรมากที่สุดครับ
ก็คงออกไปเล่นและใช้เวลากับเพื่อนให้มากครับ