"โหย่วเผิงได้เขียนหนังสือเล่าถึงเรื่องราวอดีต ปีนั้นเกือนจะไปตายต่างแดน"
โหย่วเผิง : ใช่ ตอนเรียนยังง่วงนอนเลย เสี่ยวหู่ตุ้ยมีคอนเสิร์ดทัวร์ทั่วไต้หวัน ทุกเสาร์ 1 รอบ อาทิตย์ 2 รอบ เสาร์เลิกเรียนปุ๊ป ก็จะมีรถบริษัทมารอรับไปขึ้นเครื่อง เ มื่อเสร็จคอนเสิร์ดคืนวันอาทิตย์ก็กลับบ้าน จากนั้นผมก็ได้มาพักผ่อนหลับในห้องทั้งอาทิตย์เลย เหตุเพราะร่างกายไม่สามารถฟื้นได้
นักข่าว : การเรียนย่ำแย่ตลอด แต่กลับสอบเข้ามหาลัยได้ มันเป็นเรื่องปฏิหาริย์เปล่า?
โหย่วเผิง : ตอนนั้นเครียดกับการสอบเข้ามหาลัยมากๆ สายตาทุกดวงจะจ้องที่ผม ผมเป็นไกวไกวหู่ นี่ ภาพลักษณ์ดีมาก ผมก็ได้ไปคุยกับบริษัท สุดท้ายหยุดงานทุกอย่าง พัก 1 ปี ตั้งใจเตรียมสอบเข้ามหาลัย
นักข่าว : งั้นคุณหยุดพัก เสี่ยวหู่ตุ้ยก็ต้องหยุดหมดซิ?
โหย่วเผิง : ใช่ ทางบริษัทนั้นมีเงื่อนไขอยู่ว่า เสี่ยวหู่ตุ้ยจะต้องแสดงนั้นจะต้องครบทั้ง 3 คน ถึงจะได้ ไม่เหมือน F4 ที่ไม่ครบหรือแยกกันออกงานก็ได้ ทางบอสนั้นได้เข้มงวดกับเรื่องนี้มาก ฉะนั้นตอนนั้นพวกเขา 2 คนก็หันไปเล่นละคร
นักข่าว : แล้วพวกเขา 2 คนโทษคุณไหม?
โหย่วเผิง : เป็นพี่น้องกันนี่ พวกเขาก็เข้าใจผมว่ามันไม่มีทางอื่น
เกือบจะเป็นวิศวะช่างกลแล้ว
นักข่าว : ตอนหลังคุณลาออก ไปอังกฤษทำอะไร?
โหย่วเผิง : ไม่ได้ทำอะไร ปลดปล่อยตัวเอง หาทิศทางชีวิต ตลอดเวลาของปีนั้น สิ่งที่ไกวไกวหู่ให้กับผมนั้นมันหนักมาก ทุกคนก็จ้องมองแต่ไกวไกวหู่ที่เก่งทั้งเรียนทั้งแสดง แรงปะทะที่ผมตัดสินใจลาออกนั้นแรงมาก จนผมไม่แรงที่จะไปเผชิญกับสายตาของทุกคน หนักหน่วงมาก และจะขอพูดตรงๆ ตอนนั้นผมเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะทำอะไร ขวัญใจที่เข้าสู่วงการกว่า 6 ปีนั้น ความตื่นเต้นกับวงการนั้นหายไปแล้ว ตอนนั้นสับสนมาก ฉะนั้นเลยตัดสินใจไปอังกฤษ
นักข่าว : จริงๆแล้วคุณเรียนถึงปี 3 แล้ว ทำไมไม่ต่อสู้ไปอีกนิดล่ะ
โหย่วเผิง : ตอนนั้นคณะที่ผมสอบได้คือ ช่างกล เพราะผมคิดว่าผมจะต้องสอบเข้าคณะที่ดังๆอันดับต้นๆ ถึงจะเป็นที่พอใจของทุกคนได้ สุดท้าย ก็สามารถสอบเข้าคณะช่างกลได้ แต่ว่าตอนหลัง ผมถึงรู้สึกว่าวิชาเหล่านี้กลับเป็นวิชาที่ผมไม่ชอบในสมัยนักเรียน เช่น ศิลปแบบ ช่างฝีมือ เขียนแผน เทอม 2 ของปี 1 ผมกับเพื่อนๆ อีกหลายคนย้ายไปเรียนคณะบริหารธุรกิจ เป็นคณะที่ฮิตเหมือนกัน สุดท้ายพวกเราก็ได้ไปลงเรียนวิชาของคณะนี้ แต่วิชาของคณะช่างกลนั้นไม่ลงเรียนเลย แต่ตอนหลังพยายามทำเรื่องเปลี่ยนก็ไม่สามารถเปลี่ยนคณะได้ แล้วคณะช่างกลก็ไม่สามารถจะจบได้ เพราะหลายๆวิชาไม่ได้ลงเลย
นักข่าว : ทำไมไม่เอาความฮึกเหิมตอนจะสอบเข้าอย่างนั้นมาสู้
โหย่วเผิง : ก็สู้นะ ผมสู้มาตลอด สู้มา 2 ปี จนรู้สึกว่ายิ่งเรียนยิ่งทรมาน คนอื่นมองผมว่าเป็นซุเปอร์แมน แต่ว่ามีเพียงผมเท่านั้นที่รู้จักตัวเองดี ความเครียดผมนั้นหนักหน่วงมาก สุดท้ายผมคิดว่า หากจะปากกัดตีนถีบอย่างนี้ต่อไป แม้จะได้ใบปริญญา ก็ใช่ว่าอนาคตผมจะไปเป็นช่าง คงไม่ใช่ ผมทำไปก็เพื่อจะทำให้เป็นที่ชื่นชอบของทุกสายตาที่จ้องผมเท่านั้นเอง เพื่อจะเอาใบปริญญาให้กับทุกคนดู แต่ว่าตัวเองต้องทรมานมาก สุดท้าย ก็ได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ตอนนั้นดูเหมือนเป็นเด็กดื้อมากๆ
อยู่อังกฤษคนเดียว ไข้ขึ้นตั้ง 3-4 วัน
นักข่าว : ไปอยู่อังกฤษกี่เดือน รู้สึกปรับตัวได้ดีไหม?
โหย่วเผิง : ตอนนั้นสนุกมากๆ เพราะดังแต่อายุยังน้อย ถูกปกป้องมาตลอด คนรอบข้างก็จะรู้สึกว่าผมยังไม่เป็นผู้ใหญ่ ผมเลยไม่พอใจ ผมตัดสินใจที่จะไปคนเดียว หลังจากที่ผมกลับจากอังกฤษผม ได้ออกอัลบั้มหนึ่ง “โจ่ว- เดิน” เนื้อเพลงได้บรรยายว่า “รองเท้าขาดก็เปลี่ยนใหม่” นั่นเป็นประสบการณ์ของผมจริงๆ แบกเป้คนเดียว และไม่ไปหาซื้อแผนที่ด้วย ไปท่องเที่ยวสถาที่ที่ไม่เคยไป เดินจนรองเท้าขาดไปแล้วเปลี่ยนคู่ใหม่
นักข่าว : คงจะเจอปัญหามากมาย?
โหย่วเผิง : ก็เจอเรื่องทุกข์ไม่น้อยเหมือนกัน ต่อมทอนซิลอักเสบ ไข้ขึ้นหลายวันไม่ลด ก็ไม่รู้จะทำไง ภาษาอังกฤษของผมก็ยังไม่ดี ไปโรงพยาบาลพูดครึ่งวันก็ไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นคอเจ็บมากขนาดกลืนน้ำลายก็ยาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องกินอาหาร ตอนนั้นได้นอนที่เตียงแล้วคิด ตายแน่ คงต้องตายต่างแดนแน่
นักข่าว : ไม่ได้โทรให้เพื่อนมาช่วย?
โหย่วเผิง : ไม่เคยคิด ตอนหลังไข้ 3-4 วันก็หาย ในคืนหนึ่ง ดึกๆ ก็รู้สึกว่าตัวมีแต่เหงื่อ แล้วก็หายเลย
นักข่าว : ระหว่างเดินทางท่องเที่ยวยังมีอะไรน่าสนุกบ้าง?
โหย่วเผิง : มีเยอะ ผมไปป้อมอ้ายติง สำเนียงภาษาที่นั่นฟังยาก ฟังไม่รู้เรื่องเลย ตัวเองก็เดินมั่วๆ ยังได้ถ่ายรูปสุสานของพวกเขาเลย
นักข่าว : คุณไม่รู้หรือว่าสุสานนั้นจะถ่ายรูปมั่วๆไม่ได้?
โหย่วเผิง : ผมเพิ่งรู้ ตอนนั้นไม่รู้ ก็คือเดินไปมั่ว ยังไปตลาดมือสองของพวกเขา แล้วไปหาซื้อของ ซื้อของมือสองมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ซีดี สนุกมากๆ เรื่องราวประสบการณ์เหล่านี้ล้วนเขียนไว้ในอัลบั้ม “โจ่ว” ยังได้วาดภาพด้วย
นักข่าว : แล้วตอนนี้ทำไมไม่จดเขียนเรื่องราวเหล่านี้ออกมาล่ะ?
โหย่วเผิง : อายุยิ่งเยอะก็ยิ่งไม่กล้าเขียน ตอนนั้นผมคิดว่า ว้าว ผมได้ทำสิ่งที่เจ๋งมากๆ รู้สึกถึงตัวเองเป็นผู้ใหญ่แล้ว ตอนนี้โตแล้ว ผมจะรู้สึกว่า ไม่มีอะไรเลย เขียนแล้วมันอายคนอื่น
นักข่าว : เด็กหนุ่มสาวทั้งแฟนคลับคุณ ได้ยินประสบการณ์นี้ของคุณ จะต้องประทับใจแน่ๆ และประสบการณ์นี้สำหรับคุณแล้ว มันมีความหมายมิใช่หรือ?
โหย่วเผิง : ผมคิดว่าการออกไปเดินเที่ยวก็ดีนะ ได้รับหลายอย่าง ตอนนั้นย้ายคณะไม่ได้ ผมคิดว่าทั้งชีวิตผมคงต้องจบลง ไม่รู้ว่าหนทางอนาคตจะเดินต่อไปอย่างไร แต่ว่าได้ออกมาแล้วถึงจะรู้ว่า มีหนุ่มสาวหลายคนได้หยุดการเรียนแล้วออกมาท่องเที่ยว หาความรู้ ประสบการณ์เหล่านี้เมื่อเขาไปเรียนแล้วจะมีการเพิ่มคะแนนให้ด้วย ระบบการเรียนของพวกเขานั้นดีมากๆ พวกเขาสนับสนุนให้นักศึกษาออกไปมองดูต่างประเทศ ไปหาประสบการณ์ชีวิต แต่พวกเราไม่ใช่อย่างนั้น หลังจากที่กลับมาจากครั้งนั้น ผมรู้สึกว่า ชีวิตคนมีความเป็นไปได้หลายอย่าง ใช่ว่ามีแต่สังคมเล็กๆ อย่างที่เราคิด ความคิดของผมก็ได้เปิดออก ฉะนั้นผมคิดว่าวัยหนุ่มควรออกไปเที่ยวเดิน ไปดูว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไร เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ