ผู้เขียน หัวข้อ: [2017.03.31] ซูโหย่วเผิง:ไม่มีคนเรียกผมว่า "เสี่ยวไกว" อีกแล้ว  (อ่าน 5070 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด

http://ent.sina.com.cn/m/c/2017-03-31/doc-ifycwymx3006900.shtml

[2017.03.31] 苏有朋:没有人再叫我"小乖"了 过了被束缚的年纪
https://www.facebook.com/AlecfanclubinThailand/posts/1426443280727494

ซูโหย่วเผิง:ไม่มีคนเรียกผมว่า “เสี่ยวไกว(เทวดาน้อย/เด็กดีเชื่อฟัง)” อีกแล้ว ผมผ่านวัยที่จะถูกสิ่งเหล่านั้นผูกมัดไปแล้ว
ตอนนี่เขาไม่ถือสาที่สาธารณะชนเรียกเขาว่า “เสือเชื่องๆ” และ ”องค์ชายห้า” ในใจของเขาได้ผ่านวัยที่ถูกรัศมีเหล่านั้นผูกมัดผ่านพ้นไปแล้ว
ซูโหย่วเผิง ซูโหย่วเผิง

ในตอนนี้ภาพยนตร์เรื่อง 《การปรากฎตัวของผู้ต้องสงสัยX The Devotion Of Suspect X》ผลงานชิ้นที่สองของผู้กำกับซูโหย่วเผิง กำลังเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ การสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้บางคนก็บอกว่าเป็นการเลือกที่ฉลาด  เนื่องจากอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะซึ่งเป็นผู้ประพันธ์มีแฟนหนังสือมากมาย พวกเขาจะกลายเป็นผู้ชมของภาพยนตร์อย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้ยังมีญี่ปุ่นและเกาหลีต่างก็เคยทำนวนิยายเรื่องนี้มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์มาแล้ว ดังนั้นผู้ชมจึงคุ้นเคยกับภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างดี แน่นว่ามีบางคนคิดว่า มันเป็นเพราะนวนิยายและ ภาพยนตร์ในเวอร์ชั่นก่อนต่างได้รับความชื่นชมมากมาย ซูโหย่วเผิงจึงอยากที่จะท้าทายต่อข้อจำกัดเหล่านี้

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตามแต่ ผลงานที่ซูโหย่วเผิงกำกับก็ได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจน นอกจากฉายา ”เสือเชื่องๆ” และ  “องค์ชายห้า” แล้ว เขายังสามารถแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาและความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่อย่างไรก็ดีการผันตัวมาเป็นผู้กำกับในครั้งนี้ที่จริงแล้วเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงภายนอก ประสบการณ์ที่เขาเก็บสะสมมาตลอดหลายปียังคงอยู่ภายในใจของเขา ก็เหมือนกับคำพูดที่เขาได้กล่าวเอาไว้ ตอนที่เขาไม่ถือสาที่สาธารณะชนเรียกเขาว่า “เสือเชื่องๆ”และ”องค์ชายห้า” ในใจของเขาได้ผ่านวัยที่ถูกรัศมีเหล่านั้นผูกมัดไปแล้ว

“ถ้าตัวคุณไม่ชอบนวนิยายเรื่องนี้ คุณก็คงไม่อดทนต่อความยากลำบากที่จะถ่ายทำภาพยนตร์ต่อไป”

นักข่าว:เดิมที่ต้นฉบับนวนิยายเรื่อง 《การปรากฎตัวของผู้ต้องสงสัยX The Devotion of Suspect X 》ของอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะก็มีชื่อเสียงมากมายอยู่แล้ว และยังมีภาพยนตร์ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเกาหลีอีก ทำไมคุณยังเลือกผลงานเรื่องนี้มารีเมคอีกครั้ง

ซูโหย่วเผิง:ผมคิดว่าตัวผมไม่ใช่องค์กรสร้างหนังเพื่อการเชิงพาณิชย์ ผู้กำกับโดยทั่วไปอาจจะมีรูปแบบในการสร้างหนังเพียงหนึ่งอย่าง ในขณะเดียวกันทีมงานของเขาอาจจะผ่านการศึกษาหรือป่มเพาะมาเพื่อทำงานในด้านนี้ แต่ผมไม่ใช่ แรกเริ่มผมไม่ได้มีความคิดที่จะเป็นผู้กำกับ ทั้งหมดนี้มันไม่ได้อยู่ในแผนการชีวิตของผม

เมื่อง 2 ปีก่อนตอนที่เราถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "หูข้างซ้าย "The Left Ear"" ผมนำเทคนิคเกี่ยวกับวรรณกรรมและศิลปะมาใช้ในการถ่ายทำมากพอสมควร ในตอนนั้นทุกคนตีความหมายของภาพยนตร์แนววัยรุ่นไว้ค่อนข้างแคบ ดังนั้นจึงเกิดการถกเถียงกันเกี่ยวกับผลงานเรื่องนี้ ซึ่งมันเป็นบทเรียนราคาแพงมากสำหรับผม คนแต่ละคนมาดูหนังด้วยวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน บางคนมาเพื่อพิจารณา บางคนมาเพื่อเสพความบรรเทิง ดังนั้นผมที่เป็นผู้กำกับต้องหาความสมดุลจากความต้องการของตลาดและสิ่งที่ตัวผมต้องการถ่ายทอด ผมเชื่อว่าผู้กำกับหลายท่านต่างก็พยายามมองหาจุดสมดุลที่ว่านี้

หลังจากถ่ายทำภาพยนตร์ ”หูข้างซ้าย” "The Left Ear" ผลงานชิ้นถัดมาผมไม่ได้มีการวางแผนอะไรไว้เป็นพิเศษ แรกเริ่มมีคนสนับสนุน IP ขนาดใหญ่ให้กับผม แต่ผมคิดว่าเวลาแค่ 2 ชั่วโมงของภาพยนตร์หนึ่งเรื่อง ผมตัดแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งมาก็คงไม่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ  และเรื่องงที่ถ่ายทอดคงไม่มีคุณค่ามากพอ ผมคิดว่าภาพยนตร์เรื่องหนึ่งถ้าหากการถ่ายทอดไม่มีคุณค่ามากพอก็เสี่ยงเกินไป มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้ยินว่าผลงานนวนิยายเรื่องนี้ของอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะสามารถนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ได้  ที่จริงแล้วมีคนมากมายให้ความสนใจอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะ รวมถึงตัวผมเองก็เป็นแฟนหนังสือของท่านเช่นกัน แต่ลิขสิทธิ์ผลงานของอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะค่อนข้างซับซ้อน เมื่อก่อนไม่มีใครสามารถแตะต้องผลงานของท่านได้  ในตอนนั้นมีคนบอกผมว่าเรื่องนี้สามารถสร้างเป็นภาพยนตร์ได้ นั่นทำให้ผมมีความสนใจเป็นอย่างมาก ผมคิดว่าสำหรับคนที่เป็นผู้กำกับแล้ว ถ้าหากคนที่เป็นผู้กำกับไม่ได้มีความชอบเรื่องนั้นจริงๆแล้ว มันก็จะทำให้คุณไม่อยากที่จะอดทนต่อความยากลำบากในการถ่ายทำต่อไป

นักข่าว:สิ่งที่ทำให้คุณประทับใจนวนิยายเรื่องนี้ที่สุดคืออะไร?

ซูโหย่วเผิง:ความซับซ้อนของมัน มันไม่สามารถพูดออกมาได้เพียงจุดเดียว ไม่ว่าคุณจะไปดูหนังเพื่อเสพความบรรเทิง หรือเพื่อให้ได้แง่คิดใหม่ๆ ผู้ชมสามารถหาสิ่งที่ตัวเองต้องการได้จากภาพยนตร์เรื่องเดียวกัน ความสำเร็จของการดัดแปลงบทภาพยนตร์คือการที่ผู้ชมรู้สึกว่าคุณไม่ได้มีการดัดแปลงมัน

นักข่าว:ความยากของการดัดแปลงบทภายตร์คืออะไรค่ะ?

ซูโหย่วเผิง:ตอนที่ตัดสินใจทำภาพยนตร์เรื่องนี้ นักลงทุนต่างมีข้อสงสัยต่อการตัดสินใจของผม  ในเวลานั้นผมไม่ได้คิดอะไรมากมาย จนกระทั่งเรื่องนี้ได้แพร่ออกไป ถึงได้พบว่าในประเทศจีนมีแฟนหนังสือของอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะมากมาย ในโซเชียลต่างมีแกระแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมถึงได้เข้าใจว่าที่จริงแล้วเรื่องนี้ได้รับความสนใจมากกว่าที่ผมคิด ผมต้องจัดการกับเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวังและรอบคอบ

ความยากที่สุดคือกลิ่นไอของท้องถิ่นที่สอดแทรกอยู่   เนื้อเรื่องในต้นฉบับเกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น มีบางสิ่งบางอย่างที่ถ้าหากไม่จัดการให้ดี อาจทำให้ผู้ชมรู้สึกต่อต้าน ดังนั้นต้องทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีการแก้ไขดัดแปลงใดๆทั้งสิ้น แบบนี้ถึงจะเรียกได้ว่าการดัดแปลงบทภาพยนตร์ของคุณประสบความสำเร็จ แต่ทำให้ผู้ชมรู้สึกติดขัด แก้ไขในบ้างในบางจุด ทำแบบนั้นการแก้ไขบทก็จะมีเกิดปัญหาตามามา

นอกจากนี้ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือการถ่ายทอดเรื่องราว มันไม่ใช่คำพูดทั่วไปหรือบทละคร มันคือส่วนสำคัญต่อการกำหนดตรรกะความสามารถและอารมณ์ของผู้กำกับ ดังนั้นการถ่ายทอดเรื่องราวให้กับผู้ชมจึงไม่ใช่เรื่องง่าย

นักข่าว:ในช่วงหลายปีมานี้ภาพยนตร์ที่สอดแทรกกลิ่นไอความเป็นท้องถิ่นเอาไว้ ในตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นหัวข้อที่ผู้สร้างหนังของทั้งฮ่องกงและไต้หวันต่างก็พยายามศึกษา คุณเป็นผู้กำกับชาวไต้หวันคนหนึ่ง การนำผลงานที่สอดแทรกกลิ่นไอความเป็นท้องถิ่นเอาไว้เข้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่ คุณจะทำได้อย่างไร?

ซูโหย่วเผิง:ผมใช้ชีวิตอยู่ในจีนแผ่นดินใหญ่มานานแล้ว นอกจากนี้ผมยังมีทีมงานผู้สร้างของตัวเองให้ความร่วมมือด้วย แต่อย่างไรก็ดีชาวเน็ตต่างก็ชอบที่จะวิพากษ์วิจารณ์ พวกเราก็ต้องเสียดทานให้มากกว่าชาวเน็ต เราต้องมีเป้าหมายของตัวเอง ในทีมงานของผมมีคนไต้หวัน เช่น การดัดแปลงบทมี 6 คน มี 1 คนเป็นคนไต้หวัน  บทภาพยนตร์ของจีนแผ่นดินใหญ่สามารถให้ภูมิปัญญาและประสบการณ์แก่ภาพยนตร์ที่สอดแทรกกลิ่นไอความเป็นท้องถิ่นของเราได้ เพียงเพื่อให้ได้คำเสียดทางภาษาใต้หวัน พวกเราต้องอดหลับอดนอนมาหลายคืน

นักข่าว:ในขั้นการดัดแปลงแก้ไขบทคุณได้มีการปรึกษาอาจารย์ฮิงาชิโนะ เคโงะมั๊ย?

ซูโหย่วเผิง:ปรึกษาบ้างครับ ท่านเป็นนักเขียนที่โลกส่วนตัวสูงมาก ดังนั้นช่องทางการติดต่อค่อนข้างยาก แต่ท่านก็มีเงื่อนไขว่าในตอนที่เราแก้ไขเรียบร้อยแล้วต้องนำบทละครไปให้ท่านดูก่อน ซึ่งในตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว เงื่อนไขของท่านไม่ใช่ต้องการแทรกแซงการทำงานของพวกเรา เพียงแต่ต้องการเตือนพวกเราอย่างหวังดีว่าไม่ควรละเมิดลิขสิทธิ์ เพราะสิทธิของท่านคือเนื้อหาในนวนิยาย เวอร์ชั่นญี่ปุ่นก็มีการเปลี่ยนแปลงของเขา รวมถึงเวอร์ชั่นเกาหลีเองก็มีการเปลี่ยนแปลงของตัวเองเช่นกัน  ถ้าเรามีส่วนที่ซ้ำกับพวกเขา อาจารย์ก็จะเตือนพวกเรา แต่ท่านก็เคารพการสร้างสรรค์ของพวกเรา ซึ่งในครั้งนี้เป็นการสร้างสรรค์ของพวกเราคนจีนทั้งหมด และอาจารย์เองก็รู้สึกว่าบทภาพยนตร์ที่เราแก้ไขทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมาก และหวังว่าจะได้เห็นภาพยนตร์ที่เสร็จสมบูรณ์โดยเร็ว

“ถ้าคุณไม่เคารพตลาดนี้ ผู้ชมก็จะต่อต้านคุณ”

นักข่าว:เคยมีผู้กำกับท่านหนึ่งบอกกับฉันว่า ความยากของภาพยนตร์แนวลึกลับคือความซับซ้อนของตรรกะและเงื่อนงำ เช่นถ้าในตอนต้นเรื่องนำเสนอเงื่อนงำมากเกินไป สุดท้ายก็ไม่สร้างความประหลาดใจอะไรให้แก่ผู้ชม หรือถ้าทิ้งเงื่อนงำไว้น้อยเกินไป คนดูก็จะไม่เข้าใจ มันเป็นแบบนี้ใช่มั๊ยค่ะ?

ซูโหย่วเผิง:ที่จริงแล้วการเปลี่ยนบทบาทจากผู้อ่านมาเป็นผู้กำกับนับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี  การเป็นผู้อ่าน คุณไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ว่านักเขียนใช้เทคนิคอะไรที่ทำให้ในตอนท้ายของเรื่องตรึงใจนักอ่านอย่างเราได้ แค่เพลิดเพลินไปกับการอ่านก็พอ แต่ว่าผมในตอนนี้กลายเป็นผู้กำกับคนหนึ่ง จำเป็นต้องเข้าใจถึงโครงสร้างต่างๆของเรื่องราว ต้องวิเคราะห์เทคนิคในการถ่ายทอดเนื้อเรื่องออกมาว่าที่จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น คุณใช้วิธีการอะไรมาทำเรื่องนี้ ตอนแรกคุณอธิบายถึงอะไรและตอนท้ายพูดถึงอะไร และต้องกำหนดความรู้สึกของผู้ชมว่าจะอยู่ในจุดไหน

ประเด็นสำคัญของเรื่อง《การปรากฎตัวของผู้ต้องสงสัย X》(The Devotion of Suspect X) คือเรื่อง “ปรัชญา” เฉินในนวนิยาย(สือหงในภาพยนตร์) คนนี้เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่แสนจะบริสุทธิ์ของตัวเอง เขายอมใช้วิธีการผิดๆ นี่คือต้นเหตุของเรื่องนี้ ในฐานะผู้กำกับ ตอนที่ดัดแปลงบทภาพยนตร์ ใจความสำคัญของเรื่องคือสิ่งที่ห้ามแตะต้อง การถ่ายทอดเรื่องราวของคุณจะแสดงถึงมุมมองที่คุณใช้ตัดสินเรื่องนี้ แต่มุมมองที่ใช้ตัดสินต้องไม่เด่นชัดจนเกินไป มิฉะนั้นมันจะส่งผลกระทบต่ออรรถรสในการับชมของผู้ชม ดังนั้นผู้กำกับมุมการตัดสินของผู้กำกับต้องแอบๆสอดแทรกอยู่ภายใน ผมหวังจะนำเสนอมุมมองที่ค่อนข้างครอบคลุม ให้ผู้ชมเป็นผู้ตัดสินด้วยตัวเอง นี่คือจุดที่แตกต่างจากเวอร์ชั่นก่อนๆ

นักข่าว:ในช่วงหลายปีมานี่ตลาดภาพยนตร์ของจีนแผ่นดินใหญ่เติบโตเร็วมาก ผู้สร้างภาพยนตร์ชาวฮ่องกงและไต้หวันนับวันยิ่งต้องการเข้าตลาดแห่งนี้มากขึ้น แต่เพราะต้องเผชิญกับอุปสรรคจากความแตกต่างด้านวัฒนธรรม ในเรื่องนี้คุณจะได้รับผลกระทบด้วยมั๊ยค่ะ?

ซูโหย่วเผิง:ในตอนนี้ทุกคนต่างเห็นว่าตลาดของจีนแผ่นดินใหญ่มีการเติบโตอย่างมั่นคง ผมคิดว่าการจะสร้างภาพยนตร์เรื่องหนึ่งถ้าคุณยังมีความกลัวอยู่ คุณก็ไม่สามารถคิดถึงเรื่องที่จะสร้างเงินได้ นอกจากนี้ผมคิดว่าถ้าคุณต้องการที่จะเติบโตในตลาดนี้ คุณต้องเคารพมัน  ต้องใช้เวลาเพื่อเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงของมัน ต้องมีความใกล้ชิดกับผู้ชม คุณถึงสามารถทำมันออกมาได้สอดคล้องกับท้องถิ่นนั้นๆได้ ถ้าคุณหลงระเริงไปกับการถ่ายทอดทัศนคติของตัวเองให้กับที่นี่ ผู้ชมต้องต่อต้านมัน ยกตัวอย่างคุณหลี่อันประสบความสำเร็จในอเมริกาเพราะเขาเข้าใจวัฒนธรรมของอเมริกา

ผมผ่านวัยที่จะถูกสิ่งเหล่านั้นผูกมัดไปแล้ว

นักข่าว:คุณประเมินตัวเองอย่างไร จากการเป็นนักร้องสู่การเป็นนักแสดง และสุดท้ายก็ผันตัวมาเป็นกำกับ?

ซูโหย่วเผิง:ไม่ได้ตัดสินจากมุมมองของตัวเองทั้งหมด แต่จะพูดว่าตัวตนที่ผมชื่นชอบที่สุดตอนนี้คือการเป็นผู้กำกับ ตอนนี้ผมไม่ได้มีความต้องการมากมายที่จะเป็นนักแสดง เพราะลักษณะนิสัยของผมไม่ค่อยเหมาะกับการแข่งขันกับทุกคนผ่านจอเงิน ในหลายๆปีมานี้มีกลยุทธิ์การโฆษณาเกิดขึ้นมากมาย แต่ผมเองก็ไม่เคยใช่มันมาก่อน ผมคิดว่าการเป็นผู้กำกับนั่งอยู่หลังจอมอร์นิเตอร์เหมาะกับลักษณะนิสัยของผมมากกว่า

นักข่าว:คุณถือสาต่ออคติที่ทุกคนมองคุณมั๊ย? เช่นพูดว่า “ซูโหย่วเผิงก็นึกถึงฉายา “เสือเชื่องๆ” หรือ “องค์ชายห้า”

ซูโหย่วเผิง:เมื่อก่อนผมเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว ชีวิตของผมก้าวผ่านหลายๆช่วงมาแล้ว ทั้งร้องเพลง ถ่ายละคร ภาพยนตร์ เล่นละคร และในตอนนี้ก็เป็นผู้กำกับ ในทุกๆช่วงของชีวิตผมมีผลงานชิ้นเอกของตัวเอง ในขณะนั้นผมมีความสุขมากเพราะถูกทุกคนให้ความสนใจ แต่ทุกครั้งเมื่อกระแสลดลง ระดับของชื่อเสียงก็กลายเป็นเหมือนหมวกที่ถูกสวมอยู่บนหัว ยากที่จะถอดออก ความมุ่งมั่นของคุณทุกคนต่างมองไม่เห็น  ผมรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมมากๆ

เมื่อก่อนเคยมีคนถามว่า:”ซูโหย่วเผิงทำไมคุณถึงไม่ชอบพูดถึงเสี่ยวหู่ตุ้ย?” เพราะสำหรับผมในตอนที่อายุ 15 เสี่ยวหู้ตุ้ยเปิดตัวครั้งแรกผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว วงการเพลงผ่านมาหลายรุ่นแล้ว ผมควรหาวิธีการที่จะขุดเอาความสามารถอื่นๆของตัวเองเองออกมาแสดงให้ทุกคนเห็นดีกว่า ผมจึงจะสามารถดำรงอยู่ต่อไปได้ เช่นทำอัลบั้มหรือผลงานชิ้นใหม่ออกมา สิ่งที่ทุกคนถามตลอดมักจะเป็นความสำเร็จอดีต มันทำให้ผมรู้สึกว่าทำไมคุณมองไม่เห็นความพยายามของผมในตอนนี้?

แต่ตอนนี้ผมไม่ต่อสู้กับมุมมองเหล่านี้อีกแล้ว การที่เขาถามคุณแบบนี้ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ชอบคุณ แต่เขาอาจจะชอบคุณในแบบที่อยู่ในใจเขา หลายๆเรื่องเวลาจะให้คำตอบกับคุณ เหมือนกับในตอนอายุ 15 เป็นไกวไกวหู่ เพิ่งจะผันตัวเองมาเป็นนักแสดง ผมบอกคุณว่า “อย่ารู้สึกว่าผมเป็นนักร้องไอดอล ตอนนี้ผมเป็นนักแสดง ผมจริงจัง” ต่อให้คุณพูดไปมากมายแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ คุณต้องใช้ผลงานและเวลาเพื่อพิสูจน์มัน ผมในวัยนี้รู้สึกว่าหมวกในอดีตไม่สามารถตีกรอบผมได้อีกแล้ว ไม่มีคนเรียกผมว่า “เสี่ยวไกว (เทวดาน้อย)” อีกแล้ว ผมผ่านวัยที่จะถูกสิ่งเหล่านั้นผูกมัดไปแล้ว

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด