ซูโหย่วเผิงไม่ขาดความพยายามสำหรับการเปลี่ยนแปลงบทบาท กำกับครั้งที่สองเลือกท้าทายกับผลงานที่มีระดับที่ยากเช่นนี้!
จาก “ไกวไกวหู่” ถึง “อู่อาเกอ” จาก “ตู้เฟย” สู่ “ไป๋เสี่ยวเหนียน” ตลอดเส้นทางที่ผ่านมา เหมือนว่าซูโหย่วเผิงจะแข่งขันกับตัวเองมาตลอด เขาในปัจจุบันนี้ไม่หยุดเพียงแค่การแสดงเท่านั้น เขายังได้ทดลองเส้นทางใหม่ในการเป็นผู้กำกับอีกด้วย!
การเป็นผู้กำกับ สำหรับผลงานชิ้นแรกของเด็กบ้าเรียนอย่างเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นเพียงเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น โจ่วเอ่อ ผลงานชิ้นแรกของเขามีผลออกมาอย่างคาดที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยทีเดียว
เหล่านักแสดงก็ล้วนผ่านคำตำหนิของผู้กำกับซูมาแล้ว เขาเป็นผู้กำกับที่จริงจังมากคนหนึ่ง ในการถ่ายทำนั้นก็ค่อนข้างเข้มงวดกับการแสดงอารมณ์ ท่าทางต่างๆ และทุกๆรายละเอียดที่ออกมา
สำหรับบทบาทผู้กำกับนี้ เขาก็มีความกดดันแต่ก็แฝงไปด้วยความสุขอยู่ในนั้น
เมื่อวานนี้ทราบมาว่าเขาเตรียมกำกับภาพยนตร์อีกครั้ง บทที่นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์นั้น เป็นผลงานของนักประพันธ์นิยายลึกลับที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น เคโงะ ทาคาชิโน เรื่อง เสียนอี๋เหริน x เตอเซี่ยนเซิน (嫌疑人X的献身-ความทุ่มเทของผู้ต้องสงสัย x ) ในขณะเดียวกัน และครั้งนี้ก็เป็นการนำผลงานของคุณทาคาชิโนมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในประเทศจีน
ข่าวนี้ได้รับการคาดการณ์จากแฟนหนังจำนวนมาก กำกับครั้งที่สองนี้ ก็เลือกภาพยนตร์ที่ทำออกมาค่อนข้างยากประเภทลึกลับ นี่เป็นการเปลี่ยนบทบาทอย่างสมบูรณ์แล้วของซูโหย่วเผิงในฐานะผู้กำกับ
เสียนอี๋เหริน x เตอเซี่ยนเซิน ผลงานที่แต่เดิมก็มีพื้นฐานแฟนคลับอันแข็งแกร่งอยู่แล้ว
ในปี 2008 และ 2012 นิยายเรื่องนี้ได้รับการทำเป็นภาพยนตร์ในภาคญี่ปุ่นและเกาหลีตามลำดับ ทั้งสองเรื่องล้วนแต่มีภาพตรึงอยู่ในใจของแฟนหนังสือแล้ว
เสียนอี๋เหริน x เตอเซี่ยนเซิน ภาคญี่ปุ่น ได้นำเสนอถึงเนื้อหาที่สำคัญของตัวนิยายต้นฉบับ นอกจากนี้ยังมีฟุกุยามะ มาซาฮารุ หนุ่มใหญ่หน้าตาหล่อเหลา และแสดงนำโดยซุซุมิ ชินอิจิ กลายเป็นผลงานที่อยู่ในใจของแฟนหนังสือจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
เสียนอี๋เหริน x เตอเซี่ยนเซิน ภาคเกาหลี มีเรื่องราวคร่าวๆไม่ต่างกับภาคญี่ปุ่นมากนัก มีการลดในส่วนของเรื่องราวลึกลับ และเพิ่มในส่วนของฉากอารมณ์และรายละเอียดของตัวละคร แม้กระทั่งชื่อเรื่องก็ยังเปลี่ยนเป็น “ความรักที่สมบูรณ์แบบ (完美的爱情)”
ในครั้งนี้ซูโหย่วเผิงก็ได้เตรียมตัวอย่างเต็มที่ ครึ่งปีก่อนหน้านี้ ซูโหย่วเผิงได้ร่วมกับทีมงานเริ่มทำการเขียนบท โดยหวังว่านอกจากในส่วนลึกลับแล้ว เสียนอี๋เหรินฯ ภาคจีน จะสามารถสื่อเรื่องราวที่สามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้ชมได้
แต่ว่าด้วยผลงานทั้งภาคญี่ปุ่นและเกาหลีค่อนข้างที่จะประสบความสำเร็จ จะสามารถทำลายสติถิของมันอย่างงดงามได้หรือไม่นั้น ก็ต้องดูที่ความสามารถของซูโหย่วเผิงแล้วล่ะ
บอกตามตรง ซูโหย่วเผิงไม่ได้เริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองหลังจากที่เป็นผู้กำกับ หลายสิบปีมานี้เขาได้พยายามเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงบทบาทมาตลอด คำว่า “ไอดอล” แทบจะจางหายไปเรื่อยๆ
คิดถึงเมื่อปีนั้นที่ซูโหย่วเผิงปรากฏตัวในวงเสี่ยวหู่ตุ้ย อายุเพียง 15 ปีก็ก้าวเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงแล้ว ดูแล้วตอนนั้นซูโหย่วเผิงยังเด็กอยู่เลย หน้าขาวๆใสๆ ดูซื่อๆ ก็ไม่น่าแปลกที่ทำไมถึงเรียกว่า “ไกวไกวหู่”
ปี 1988 เริ่มตั้งวงเสี่ยวหู่ตุ้ย ก็นับว่าตอนนั้นพวกเรายังเด็กมาก แต่ก็รู้ว่าความนิยมของเสี่ยวหู่ตุ้ย ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีกลุ่มศิลปินกลุ่มไหนมาแทนที่ได้
ตอนนั้นมีหลายคนค่อนข้างชอบซูโหย่วเผิง หรือไกวไกวหู่คนนี้ คงไม่มีใครแย้งใช่มั๊ย ถ้าจะบอกว่าซูโหย่วเผิงเป็นไอดอลยุคแรก
ไม่ง่ายเลยสำหรับศิลปินที่เข้าวงการมาตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบในการรับผิดชอบทั้งการเรียนและการงาน แต่ซูโหย่วเผิงกลับทำมันได้ เรื่อง “บ้าเรียน” ก็ยังถูกนำมาพูดถึงอยู่เสมอ เขาบอกว่าตอนนั้นสอบได้แทบจะที่หนึ่งทุกครั้ง
“หน้าตาดี การเรียนเป็นเลิศ” ซูโหย่วเผิงที่อายุสิบกว่าปีกลายเป็นนักร้องไอดอลที่ได้รับความนิยมอย่างมาก มีงานชุกชุม กระทั่งทุกวันนี้ ได้ยินเพลงของเสี่ยวหู่ตุ้ย พวกเราก็ยังร้องตามไปได้อยู่ พลังของไอดอลไงล่ะ
ปี 1997 เสี่ยวหู่ตุ้ยประกาศแยกวงอย่างเป็นทางการ สำหรับการเป็นนักร้องไอดอล ตอนนั้นซูโหย่วเผิงก็อยู่ในวงการมาสิบปีแล้ว สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับเรื่องงานก็คือการเปลี่ยนแปลง บางทีในตอนนั้นซูโหย่วเผิงก็เริ่มที่จะมีความคิดอยากสลัดคราบ “ไกวไกวหู่” ออกไปบ้างแล้ว
ซูโหย่วเผิงในตอนนั้น แทบจะมีชีวิตเป็นวงจรของนักร้องไอดอล เขารู้ว่าการเดินบนเส้นทางนี้ไม่ใช่แผนในระยะยาวของเขาแน่นอน
เขาที่กำลังหลงทางอยู่ ก็ตกลงตอบรับแสดงละคร องค์หญิงกำมะลอ ทำให้เขาหวนสู่จุดสูงสุดของอาชีพอีกครั้งหลังจากเสี่ยวหู่ตุ้ย
ความโด่งดังขององค์หญิงกำมะลอ ทำให้ภาพลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์หนุ่มอู่อาเกอ (องค์ชายห้า) ของซูโหย่วเผิงติดตรึงอยู่ในส่วนลึกในใจของผู้คน ในตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็นปิดประกาศเอย โปสเตอร์เอย ก็ล้วนเป็นองค์หญิงกำมะลอทั้งนั้น
แน่นอนว่า อู่อาเกอในตอนนี้ถูกพวกเธอนำมาใช้ในการแสดงความเกลียดแบบดีงาม(หมั่นไส้) หลังจากเริ่มใช้ ก็ใช้ไปตลอดไม่มีหยุด เป็นการมอบกำลังใจให้แก่พวกเธอ
เมื่อกลับมาที่เรื่อง “การเปลี่ยนบทบาท” เขาประสบความสำเร็จแล้ว ในการเปลี่ยนจากนักร้องไอดอลเป็นนักแสดง
หลังจากองค์หญิงกำมะลอ เขาก็แสดงเป็นตู้เฟย (杜飞) ในเรื่องมนต์รักกลางสายฝน (情深深雨濛濛) บทบาทในครั้งนี้แตกต่างกับอู่อาเกอโดยสิ้นเชิง เป็นครั้งแรกที่ทำให้รู้ว่าซูโหย่วเผิงก็สามารถแสดงบทตลกได้
ตัวละครที่มีความตลก และน่ารักนี้ ก่อให้เกิดกระแสคู่จิ้นกับ “น้องสาว” จื่อเวยขึ้นมา แต่ก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ทั้งสิ้น
หลังจากแสดงละครของฉงเหยา (琼瑶) มาสองเรื่อง ซูโหย่วเผิงสมบทบาทเป็นคลื่นลูกแรกของกระแส K-pop จับกับน้องแสดงหญิงที่กำลังโด่งดังในขณะนั้นจางนารา แสดงเรื่อง องค์หญิงแสนซน (刁蛮公主) ในตอนนั้นละครเรื่องนี้ก็ได้ขึ้นจอในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนอีกด้วย
จากนั้น ซูโหย่วเผิงก็ยังได้ร่วมงานกับแชริมในเรื่อง Love of Aegean Sea (情定爱琴海) และยอดขุนศึกวีรษุรุษตระกูลหยาง (杨门虎将) มีผลงานละครมาแล้วหลายเรื่อง ซูโหย่วเผิงก็ดำเนินชีวิตระหว่างคำว่าไอดอล และมีความสามารถได้อย่างราบรื่น
แต่ว่าการเปลี่ยนจากนักแสดงไอดอลเป็นนักแสดงฝีมือนั้น ซูโหย่วเผิงก็ไม่ได้ผ่านไปอย่างราบรื่นนัก เขาเคยมีช่วงเวลาหลายปีที่ไม่ได้ถ่ายละคร ไม่กล้าแสดงละครทันสมัย หรือละครรัก
กระทั่งปี 2009 ซูโหย่วเผิงได้พบกับเฟิงเซิง (风声) ได้พบกับไป๋เสี่ยวเหนียน (白小年)
เป็นที่รู้กันว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีนักแสดงหลายคน แต่ไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่าไป๋เสี่ยวเหนียนที่ซูโหย่วเผิงแสดง เป็นตัวละครที่มีสีสันมากที่สุดตัวหนึ่ง เสียงพูดที่จงใจดัดให้เล็กแหลม ทุกๆการเคลื่อนไหวยามร้องเพลง ทำให้พวกเราต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อซูโหย่วเผิงอีกครั้ง
ซูโหย่วเผิงเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าก่อนที่จะรับแสดงเรื่องเฟิงเซิงนี้ ไม่เคยร้องงิ้วคุนฉวี่ (昆曲 งิ้วประเภทหนึ่ง) มาก่อน เพื่อให้เข้าถึงบทบาทมากยิ่งขึ้น ซูโหย่วเผิงได้ไปศึกษาศิลปะแขนงนี้โดยเฉพาะเลยทีเดียว ทำให้ตัวเองมองดูแล้วให้ความรู้สึกที่ค่อนข้าง “สับสน” ในตัวเอง
ซูโหย่วเผิงถือโอกาสอาศัยเฟิงเซิง ทำให้ห่างจากภาพลักษณ์ “ไอดอล” ไปอีกหนึ่งก้าว ในตอนนั้น ผู้กำกับเฝิงเสี่ยวกัง (冯小刚) เคยบอกว่ามองเห็นความแปลกแยกที่อยู่ในตัวของเขา
คนที่มีกำลังไม่พอแต่กำลังใจเต็มร้อย เขาได้รับรางวัลไป่ฮวาเจี่ยง สาขานักแสดงชายยอดเยี่ยมจากบท “ไป๋เสี่ยวเหนียน” ซูโหย่วเผิงน้ำตาไหลตั้งแต่ไม่ได้ขึ้นเวทีกล่าวว่า “ผมคิดว่าที่ผมซาบซึ้งขนาดนี้ ก็เป็นเพราะตั้งแต่อยู่ในวงการมาก็ถูกมองว่าเป็นไอดอลมาตลอด ได้ขึ้นมาบนเวทีนี้นับว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว”
ที่จริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงบทบาทของซูโหย่วเผิงก็ค่อยๆปรากฏผ่านผลงานภาพยนตร์หลายๆชิ้นของเขา
เช่นบทฝ่ายตรงข้ามจากภาพยนตร์เรื่อง Design of Death (杀生) บทบาทนี้ก็ไม่เหมือนกับไป๋เสี่ยวเหนียนเลย
ผู้ป่วยจิตเภทจากภาพยนตร์เรื่อง Calling for love (爱情呼叫转移) ทำให้ซูโหย่วเผิงยังคงโดดเด่นออกมาท่ามกลางนักแสดงชายที่มากมาย
ยังมีเรื่อง Lost in Panic room (密室之不可告人) Lost In Panic Cruise (密室之不可靠岸) โจโฉ (铜雀台-The Assassins) Sweet Alibis (甜蜜杀机) The Suspicious (最佳嫌疑人) 4 มหากาฬพญายม 3 (四大名捕3 - The Four Final Battle) ฯลฯ
ซูโหย่วเผิงแข่งกับตัวเองมาตลอดเช่นนี้มาตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เพียงเพื่อสลัดคราบไอดอลทิ้ง
เมื่อหลู่ยวี่ (鲁豫) ถามเขาว่า “ช่วงปีที่ดีที่สุดของคุณคือช่วงไหน?” ซูโหย่วเผิงตอบอย่างไม่ลังเลเลว่า “ตอนนี้”
ด้วยเหตุนี้ ฉีกออกจากเงาของ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ฉีกออกจากเงาของ “อู่อาเกอ” ฉีกออกจากเงาของ “ไป๋เสี่ยวเหนียน”
ซูโหย่วเผิงเข้ามาในวงการผู้กำกับก็เหมือนเป็นปลากระดี่ได้น้ำ ช่วงที่ดีที่สุดของเขาก็คือตอนนี้
ถ้าพูดด้วยคำพูดของซูโหย่วเผิง เขาหวังว่าผู้ชมจะสามารถรับรู้ได้ว่าเขามีหลายด้านและมีความสามารถที่หลากหลาย
สุดท้ายนี้ สู้ๆนะผู้กำกับซู จะรอคอยผลงานใหม่ของคุณ