[2016.04.03] ผู้กำกับมือใหม่ กับผลงานครั้งแรกก็มีคนแย่งจองตัวกันแล้ว

[Alec Love Me]

การให้สัมภาษณ์ซูโหย่วเผิงกับนิตยสารหมิงโจว ครั้งล่าสุดตอนที่เขามาฮ่องกง ถูกตีพิมพ์ลงนิตยสารฉบับที่ 2477(03/04/2559) เรียบร้อยแล้วค่ะ

ผู้กำกับมือใหม่ กับผลงานครั้งแรกก็มีคนแย่งจองตัวกันแล้ว
ซูโหย่วเผิง ผันตัวจากเบื้องหน้าสู่เบื้องหลัง

   พิธีวิวาห์ทำให้ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”ซูโหย่วเผิง อู่ฉีหลง เฉินจื้อเผิง ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง  อู่ฉีหลง เจ้าบ่าวของานได้พบรักอีกครั้งจากละครเรื่อง “ปู้ปู้จินซิน” เฉินจื้อเผิง เองยังคงทุ่มเทกับงานเบื้องหน้า ส่วน ไกวไกวหู่ ซูโหย่วเผิง กลับเลือกชีวิตที่แตกต่างจากเพื่อนๆ เขาผันตัวจากเบื้องหน้าสู่เบื้องหลัง และวางแผนว่าจะทำงานเบื้องหลังเต็มตัว

เรื่อง：ฉวี่หยูน  ภาพ：จงฮันผิง

[Alec Love Me]

การที่สามารถประสบความสำเร็จกับการผันตัวมาเป็นผู้กำกับนั้น ซูโหย่วเผิงเองก็รู้สึกอึ้งๆอยู่เหมือนกัน ตอนแรกที่เฮียชวนเขามาเป็นผู้กำกับ เขาปฏิเสธไปทันทีเลยว่า “ผมทำไม่ได้แน่นอน” แต่หลังผ่านจากการโน้มน้าวครั้งแล้วครั้งเล่าของอีกฝ่าย คนที่เป็นคนกลางในเรื่องนี้เล่าว่า เมื่อ ซูโหย่วเผิง รู้ตัวการปฏิเสธทำให้คนกลางลำบากใจ เขาจึงยอมตกลงนัดเจอกับเฮียเพื่อจะได้ปฏิเสธกับเขาด้วยตนเอง แต่การเจอกันครั้งนี้กลับทำให้เรื่องไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้ เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้ปฏิเสธ ทั้งยังถูกโน้มน้าวจนสำเร็จ เหตุผลอะไรนะที่ทำให้การโน้มน้าวครั้งนี้สำเร็จ จนทำให้ ซูโหย่วเผิง ตัดสินใจผันตัวสู่เบื้องหลัง

   ซูโหย่วเผิงเล่าว่า “ผมบอกหัวหน้าตั้งแต่แรกเลยว่า ถึงผมจะแสดงหนังและละครมามาก แต่ผมไม่มีความรู้เรื่องการกำกับเลยจริงๆ และไม่เคยคิดอยากจะเป็นผู้กำกับเลยด้วยซ้ำ แต่เขาบอกผมว่าเรื่องนั้นไม่สำคัญ เขาจะหาทีมที่ดีที่สุดมาเป็นตัวช่วยผมเอง พวกเขาตอบทุกๆคำถามที่ผมได้ถามไป จนสุดท้ายผมรู้สึกว่า ถ้ายังปฏิเสธอีกก็ต้องเสียโอกาสดีๆอย่างไปแน่”

   ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งทำให้เขาต้องหวั่นไหว คือเฮียยก จ้าวเว่ย เป็นตัวอย่าง เฮียคิดว่าทั้งเขาและจ้าวเว่ย ต่างเคยแสดงละครมานาน มันถึงเวลาที่ควรลองทำในงานใหม่ๆบ้างแล้ว ผลงานกำกับชิ้นแรกของ จ้าวเว่ย 《ถึงวัยรุ่นที่ผ่านพ้นของเรา》ที่สามารถทำยอดได้สูงถึง 7 ร้อยล้านหยวน ถ้าหากว่าคนยังได้จำ “องค์หญิงกำมะลอได้” ก็จะรู้ว่าเสี่ยวเยี่ยนจื่อได้สร้างซูโหย่วเผิง และ จ้าวเว่ย “คู่รักของประชาชน” คู่นี้ขึ้นมา ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนสนิทกันจนถึงทุกวันนี้ วันเข้าฉายวันแรกของหนังเรื่อง 《จั๋วเอ่อ》จ้าวเว่ย ก็มาให้กำลังใจ โหย่วเผิง ถึงกลางเวลาเลยล่ะ   

รับบททดสอบจาก เคโงะ คิงาชิโนะ

   สุดท้าย《จั๋วเอ่อ》ได้รับความสนใจมากขึ้นเพราะเขาเป็นผู้กำกับ มียอดฉาย 5 ร้อยล้าน ในประเทศจีน ได้รับเสนอเข้าชิงรางวัลผู้กำกับหน้าใหม่ยอดเยี่ยม จากงานประกาศรางวัลม้าทองคำของไต้หวัน อีกทั้งยังได้รับเชิญจากงานเทศกาลภาพยนตร์ฮ่องกง พร้อมกับ กวานหมิงเผิง เจียจางเคอ และ ฮิเดะโกะ นากาตะ ให้ทำหนังสั้นหนึ่งเรื่อง และได้ออกอากาศช่อง 美好合一 2016 (เหมยห่าวเหอยี) สารคดีสั้น 20 นาที ของ ซูโหย่วเผิง ใช้การเต้นรำของต้ามา อันเป็นเอกลักษณ์ของจีนเป็นหัวข้อของหนังสั้นครั้งนี้ เพื่อที่จะนำเสนอเรื่องราวที่ตนต้องการสื่อ เขาไม่รับค่าตอบแทนผู้กำกับเลยด้วยซ้ำ ในปีนี้เขาเตรียมเปิดกล้องหนังใหม่จากนิยายลึกลับจากประเทศญี่ปุ่นของนักเขียนอย่าง เคโงะ คิงาชิโนะ  《การปรากฏตัวของผู้ต้องหา X》หนังเรื่องนี้จะถ่ายทำเสร็จและเข้าฉายภายในปีนี้ ซึ่งเขาได้เตรียมตัวมาระยะหนึ่งแล้ว เคโงะ คิงาชิโนะ ได้กล่าวไปอย่างชัดเจนในสัญญาว่า หนังครั้งนี้ต้องแตกต่างจากเว่อร์ชั่นก่อนหน้านี้ ทำให้ ซูโหย่วเผิง เองก็คิดหนักเหมือนกัน เพราะทำให้เขาต้องทรมานกับความเครียดแบบนี้ ในขณะเดียวกันก็คือเสน่ห์ดึงดูดให้เขาเป็นผู้กำกับเช่นกัน

   การประสบความสำเร็จในการผันตัวสู่เบื้องหลังครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็นผู้กำกับเนื้อหอมไปเลย แม้กระทั้งบริษัท เหอลี่โห ยังกวักมือเรียกเขา หวังให้เขาเปิดตลาดภาพยนตร์ของจีน แต่ทว่าตอนนี้ ซูโหย่วเผิง และผู้จัดการของเขายังมีสัญญาหนังอีกสองเรื่อง ทั้งสองมีความเห็นไม่ลงตัวในเรื่องเวลา ทำให้ทั้งสองตัดสินใจยกเลิกสัญญา แต่ไม่ปฏิเสธว่าอนาคตจะไม่ร่วมงานกันอีก ผู้กำกับมือใหม่มีแต่คนแห่มาชิงตัว แต่เขากลับบอกว่าตนอยู่ในวงการนานมากแล้ว เมื่อครั้นร่วมงานวิวาห์ของอู่ฉีหลง ที่ผ่านมา มีคนบอกว่าพวกเขาเข้าวงการนาน 28 ปีแล้ว ตอนนั้นเขาดูตกใจกับตัวเลขที่ได้ยิน ไม่คิดเวลาจะผ่านไปได้เร็วขนาดนี้ ที่ผ่านมาเขาได้ผ่านประสบการณ์ ผ่านเรื่องราวมากมายในวงการบันเทิง เขาบอกว่า “ผมรู้ดีว่าถึงตอนนี้เฮียจะมีหอบเงินเชิญผมไปเป็นผู้กำกับ แต่ถ้าหนังเรื่องต่อไปของผมทำยอดไม่ได้ พวกเขาก็คงจะไม่ลงทุนต่อแน่นอน ฉะนั้นผมว่าไม่มีอะไรน่าอวดหรอกครับ สิ่งสำคัญที่สุดในการทำงานในสายนี้ก็คือ คุณต้องรู้หน้าที่และจุดยืนของตนเอง สิ่งที่ผมต้องทำในตอนนี้คือ ทำหนังเรื่องต่อไปให้ออกมาดีที่สุด ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องอื่น”

   ผมงอกเพิ่มขึ้นตามความกดดันที่มากขึ้น

   ซูโหย่วเผิง ไม่ได้คำนวณเรื่องรายรับเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่าจะเพิ่งมาเป็นผู้กำกับ แต่เขาก็รู้ว่ารายได้ของเบื้องหลังนั้นเทียบกับเบื้องหน้าไม่ได้เลย แต่หลังจากที่ถ่ายทำหนังเรื่องแรกจบไป เขาเพิ่งรู้เองว่ารายได้ที่รู้ว่าเทียบกับเบื้องหน้าไม่ได้นั้น มันห่างกันมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก เริ่มตั้งแต่การเตรียมตัวจนกระทั่งถ่ายทำจบใช้เวลาไป 1 ปีครึ่ง เขาบอกว่า “ผมนั่งคิดดูแล้วเพิ่งรู้ว่าไม่มีรายได้มาเป็นปีครึ่ง เป็นการเสียสละที่ใหญ่มากเหมือนกัน นอกจากความกดดันทางการเงินแล้ว ยังมีความกดดันทางจิตใจอีก ชีวิตดำเนินอยู่ภายใต้ความเครียด พอถ่ายเสร็จ ผมงอกเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย โอเว่อร์ไปหน่อยนะครับ”

   ถึงกระนั้น หลังจากได้ระบายความเครียดออกมาแล้ว เขาก็เลือกที่จะเป็นผู้กำกับแทนนักแสดง เพราะว่าเขามาถึงจุดอิ่มตัวในงานเบื้องหน้าแล้ว เขาเข้าวงการตั้งอายุ15 จนทุกวันนี้ ได้ผ่านบทบาทตัวละครมามาก ไม่มีบทที่ทำให้เขาตื่นเต้นอยากแสดงอีกแล้ว เขาบอกว่าตอนที่เขาตั้งใจก้าวเท้าออกจากวงการบันเทิงไปได้ข้างหนึ่ง แต่กลับมีโอกาสให้เขาได้เป็นผู้กำกับ เป็นการจุดไฟแห่งการทำงานของเขาได้อีกครั้ง เขาบอกว่าตนเป็นพวก “สายคิดวิเคราะห์” มักจะมีความคิดมากมายในสมอง แต่การเป็นนักแสดงทำได้เพียงแค่ทำตามสิ่งที่มีในบทให้ แต่ผู้กำกับสามารถสื่อความคิดของตนผ่านหนังหรือละครได้ มันเป็นความรู้สึกดีที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ด้วยหมึกปากกาและกระดาษได้

   พอถามเขาว่ามีแพลนจะกำกับและแสดงเองรึเปล่า เขาบอกว่าเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องของอนาคต เขาต้องมีความสามารถและเทคนิคด้านการกำกับอย่างสมบูรณ์ก่อนถึงจะคิดถึงเรื่องนั้น เป้าหมายในตอนนี้ของเขาคือการทำหนังออกมาให้ดีที่สุด ผู้กำกับไอดอลของเขาคือ ลี่อาน ผู้กำกับจากไต้หวันมีชื่อเสียงในระดับอินเตอร์ เพราะว่าหนังของ ลีอาน นั้นให้ความสำคัญของธุรกิจและศิลปะเท่ากัน ซูโหย่วเผิง เองก็หวังว่าหนังของเขาจะทำสามารถตอบโจทย์ให้เขาและผู้ชมได้ในขณะเดียวกัน

[Alec Love Me]

[Alec Love Me]