สัมภาษณ์พิเศษ: ซูโหย่วเผิงพูดหยอกหวังข่ายและจางหลู่ยี “แหม่! พอได้โอกาสก็ด่าผม”
(พาดหัวข่าว) มีนักแสดงออกมาบ่นซูโหย่วเผิงอย่างไม่ขาดสายว่าเขาจะโหดอะไรปานนี้สั่ง cut บ่อยแถมยังแสดงออกด้วยสีหน้าที่ไร้ความปราณีอีก ขนาดนักแสดงมากประสบการณ์อย่างหวังข่ายกับจางหลู่ยียังโดน NG (No good)ไปตั้ง 30 กว่ารอบถล่มเสียจนพวกเขาสงสัยตัวเองว่า จริงๆแล้วพวกเขาเล่นหนังกันเป็นจริงๆหรือเปล่า?
ข่าวจาก ENT.QQ.com(เนื้อหา:เฉินเสี่ยวหนาว / ภาพ:สุยซี / บันทึกเทป:จางเชา)หลังจากที่ซูโหย่วเผิงเข้ามารับบทบาทเป็นผู้กำกับ เขาก็เผยคาแรคเตอร์ผู้คลั่งไคล้ความสมบูรณ์แบบขึ้นมา นับแต่การเปิดตัวผลงานชิ้นที่ 2 “The Devotion of Suspect X” (เวอร์ชั่นญี่ปุ่น-เวอร์ชั่นเกาหลี) ก็มีนักแสดงออกมาบ่นซูโหย่วเผิงอย่างไม่ขาดสายว่า สายตาของเขาเนี่ยแหม...เฉียบแหลมเกิ๊นแถมยังโหดร้ายทารุณแบบสุดๆอีกเอะอะก็อยากให้นักแสดงมีแววตา relax ได้ไวประหนึ่งสายฟ้าแลบก็เลยสั่ง cut ซะบ่อยเว่อร์แถมการแสดงออกของเขายังเป็นสีหน้าที่ไร้ความปราณีอีกต่างหาก ขนาดนักแสดงมากประสบการณ์อย่างหวังข่ายกับจางหลู่ยียังโดน NG (No good) ไปตั้ง 30 กว่ารอบถล่มเสียจนพวกเขาสงสัยตัวเองว่า จริงๆแล้วพวกเขาเล่นหนังกันเป็นจริงๆหรือเปล่า?
แท้ที่จริงแล้ว ซูโหย่วเผิงที่โด่งดังมาด้วยฉายา “ไกวไกวหู่” (เสือน้อยสามตัวในสมัยนั้น)เขาก็แค่ดูเป็นคนที่มีแววตาอ่อนโยนและมีรอยยิ้มที่อบอุ่นเท่านั้นเอง ตลอดระยะเวลา 27 ปีที่ซูโหย่วเผิงเข้ามาในวงการ เขาจะเป็นคนที่มีสมาธิจดจ่อและมุ่งมั่นตั้งใจทำงานมาโดยตลอด เขานึกถึงสมัยที่ตัวเองเป็นนักแสดง ที่แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยเล่นออกนอกบทเลยแถมยังทุ่มเทประหนึ่งว่า ตัวเขาได้เข้าไปมีชีวิตอยู่ในบทบาทนั้นจริงๆพอเขาได้รับหน้าที่ผู้กำกับเป็นครั้งที่ 2 ก็เลยเลื่อนคิวแสดงทั้งหมดออกไป “ตั้งใจทุ่มทั้งชีวิตอยู่ในฐานะผู้กำกับมาเป็นเวลาเกือบ2 ปีแล้ว”
อีกด้านหนึ่ง เป็นเรื่องของผลกระทบอย่างหนักจากการเลือกปรับ-เรียบเรียงเนื้อหาภาพยนตร์เรื่อง “The Devotion of Suspect X”ที่ทำเอาบรรดาหนอนหนังสือจำนวนนับไม่ถ้วนต่างพากันมองด้วยสายตาที่กระวนกระวาย ทั้งยังเพิ่มดีกรีคว่ำบาตรเขาอีกด้วย แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง หลังจากที่ผลงาน “The Left Ear ” ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ เขารู้ตัวดีว่าตัวเขาเองยังไม่ “เป็นผู้ใหญ่” มากพอการปรับแก้และเรียบเรียงผลงานชิ้นที่มีความเป็นผู้ใหญ่จึงนับเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขาอีกเช่นเคยหลังจากที่ผลงาน “The Left Ear ” ได้เสร็จสิ้นไปสิ่งที่เขาสามารถทำได้ก็คือ หยิบยกความใฝ่ฝันนี้ขึ้นมา แล้วเลือกถ่ายทำผลงานแนวที่เขารู้สึกสนใจมากกว่านั่นก็คือ “แนวที่มีกลิ่นอายของความเป็นศิลปะนิดๆ และแฝงไปด้วยใจความสำคัญของเรื่องที่ค่อนข้างลึกซึ้ง”ซูโหย่วเผิงไม่ใช่ไม่อยากแสดงออกถึงสไตล์ความเป็นตัวของตัวเอง เพียงแต่ เขารู้ดีว่าจะต้องมี “ส่วนที่ตามใจความต้องการของตลาดที่จะช่วยให้ผู้ชมให้การยอมรับได้ง่ายขึ้น” ด้วย นี่คือสิ่งที่เขาเลือกหลังจากที่ตัดสินใจยอมอ่อนข้อให้ในฐานะที่เขาเป็นผู้กำกับ ซึ่งจริงๆแล้วสำหรับตลาดภาพยนตร์จีนปัจจุบัน การทำแบบนี้ถือว่าเป็นทางเลือกที่เพิ่มระดับความยากให้กับตัวเองมากขึ้นเสียอีก
ดังนั้น ซูโหย่วเผิงเลยตั้งเป้าหมายให้กับตัวเองว่า “จะทุ่มจนสุดพละกำลัง” ในขั้นตอนของการรังสรรค์ผลงานก็ได้มีการแก้บทร่างภาพยนตร์ไปแล้วสิบกว่าพาร์ท ที่แก้แบบยิบย่อยอีกก็มีถึง106 ครั้งบางทีเพื่อปรับแก้บทพูดเพียงแค่ประโยคเดียวหรือพอจู่ๆก็นึกถึงรายละเอียดเล็กๆน้อยๆได้ขึ้นมา ซูโหย่วเผิงก็จะรีบส่งวีแชทไปตั้งแต่ 11 โมงเช้าเพื่อปลุกให้ฝ่ายแต่งบทภาพยนตร์ที่พึ่งได้หลับไปช่วงรุ่งสางให้ตื่นขึ้นมาทำงานในส่วนการถ่ายทำภาพยนตร์ก็ไม่ต้องพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ในจอหนังท่วมท้นอย่างหวังข่าย จางหลู่ยีหรือว่าจะเป็นนักแสดงวัยรุ่นหลายๆคนเมื่อผู้กำกับซูโหย่วเผิงตรวจดูการถ่ายทำเสร็จก็มักจะเปลี่ยนสีหน้า สรรหาจุดบกพร่องขึ้นมาเดือดดาลแบบที่คนธรรมดาๆเขาไม่ทำกัน แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับซูโหย่วเผิงแล้ว ทั้งหมดที่ว่ามานี้ไม่ได้เป็นเพราะเขายินดีที่จะทำแบบนั้นเลย แต่เกิดจากนิสัยที่ “อู้งานไม่เป็นจนแอบหยาบคายไปนิดหนึ่ง” ก็เท่านั้นเอง
นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับการเป็นนักแสดงแล้ว การเป็นผู้กำกับ จะต้องจัดการกับเรื่องต่างๆเยอะมากไหนจะแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ถึงแม้ว่าประสบการณ์จากการเข้าสู่วงการมานานหลายปี จะทำให้เขามีความสามารถในการรับมือกับแรงกดดันและจัดการกับอารมณ์ต่างๆได้เป็นอย่างดี แต่ในขณะเดียวกันสติสัมปชัญญะและความเชื่อมั่นในตัวเองของเขาก็ไม่หยุดที่จะเตือนเขาว่า แม้แต่เวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวที่จะ relax ก็สามารถนำไปสู่ความพังพินาศย่อยยับได้ในช่วงนี้เขามักจะใช้คำว่า “เหมือนคนจะจมน้ำ” มาเปรียบเปรยความรู้สึกของตัวเอง จากที่มีการปรากฏออกมาบ่อยๆว่าความสามารถของเขานั้นยังไม่ดีเท่าที่ควรเขาเปรียบตัวเองเหมือนคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นแต่ดันพลัดตกน้ำ ซึ่งตัวเขาก็จะต้องตีน้ำตลอดเวลา ห้ามหยุด ถึงจะมีชีวิตต่อไปได้ ดังนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังจะมาในอนาคตซูโหย่วเผิงมอบอำนาจการตัดสินผลงานให้กับผู้ชม แต่ถ้าพูดถึงคะแนนความพยายามของตัวเองแล้ว เขาพูดแบบไม่มีงกคะแนนเลยว่า “ผมให้ตัวเอง 10 เต็ม”
“ตั้งใจทุ่มทั้งชีวิตอยู่ในฐานะผู้กำกับมาแล้วเกือบ 2 ปี”
ENT.QQ.com: คุณเคยพูดในเว็ปไซต์เวยป๋อว่าครั้งนี้ได้โจทย์ยากมาทำ หลังจากผลงาน “The Left Ear”ได้เสร็จสิ้นไป คุณไม่ได้เตรียมเรื่องที่เหมาะกับตัวเองเอาไว้ไว้ล่วงหน้าเหรอ?
ซูโหย่วเผิง: คงเป็นเพราะยังไม่โตพอน่ะครับ ปกติแล้วทีมผู้กำกับที่เขาโตๆกันแล้ว เวลาที่กำลังถ่ายแผน A อยู่ ในเวลานั้นก็อาจจะมีแผน B C D E รอไว้อยู่แล้ว ก็ดูเอาว่าจะถ่ายอันไหนต่อ แค่นั้นก็จัดการกับปัญหาแบบนี้ได้แล้วครับ แต่ผมเป็นมือใหม่ ไม่ได้คาดเดาแผนสำหรับอนาคตไว้มากนัก ก็ต้องตั้งใจทำแผนที่อยู่ในมือให้สำเร็จลุล่วงไปก่อน ซึ่งคนที่อยู่รอบข้างผมหลายๆคนก็ช่วยผมคิด ว่าเรื่องที่สองควรจะเป็นเรื่องอะไร แต่สิ่งที่ผมตั้งขึ้นมาก็คือ “ตัวผมสนใจหนังแนวไหน” ผมต้องการให้มันมีกลิ่นอายของความเป็นศิลปะ แล้วก็มีใจความสำคัญของเรื่องที่ค่อนข้างลึกซึ้ง แต่ว่า ก็ไม่ใช่ว่าผู้ชมทุกคนที่เดินเข้าโรงหนัง จะชอบวิเคราะห์คุณค่าของภาพยนตร์ หรือต้องการเห็นสไตล์การทำหนังของผู้กำกับมากขนาดนั้น พวกเขาแค่ต้องการไปดูหนังที่มีเรื่องราวที่สนุกสนานได้ความเพลิดเพลินและกินใจ แค่นั้นก็โอเคแล้ว ผมคาดหวังให้หนังของผมมีใจความสำคัญที่ลึกซึ้ง แล้วก็มีส่วนที่ตามใจความต้องการของตลาดบ้าง เพื่อให้ผู้ชมให้การยอมรับได้ง่ายขึ้น พูดง่ายๆก็คือ มีจังหวะและอารมณ์หนังเป็นไปตามที่ตลาดต้องการ หลังจากนั้นมาก็เป็นเหมือนพรมลิขิตเลยครับที่ได้มาเจอภาพยนตร์เรื่อง “The Devotion of Suspect X”ที่มีทั้งเนื้อหาที่ลึกซึ้งและยังเป็นภาพยนตร์ที่มีอารมณ์หนังที่สนุกมากๆ ตรงใจตลาดครับ
ENT.QQ.com: ตอนที่เตรียมจะเรียบเรียงบทภาพยนตร์ ในฐานะผู้กำกับ ได้มีการตั้งเป้าหมายอะไรไว้บ้างไหม?
ซูโหย่วเผิง:ทุ่มเทจนสุดกำลังครับ แน่นอนว่าเป้าหมายก็คือ จะต้องทำให้มันออกมาดี เพราะตอนก่อนเปิดกล้องก็มีเสียงตอบรับที่ออกไปในแนวสงสัยไม่น้อยเลย ซึ่งตัวผมเองก็เข้าใจนะครับ ถ้าลองคิดแบบใจเขาใจเรา เวลาที่ผมชื่นชอบนิยายเรื่องนึงมากๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับหน้าใหม่หรือผู้กำกับมากประสบการณ์ก็ตาม ผมก็จะอดเข้าไปวิจารณ์ไม่ได้เหมือนกัน ว่า “คุณจะปรับแก้เนื้อหาก็ปรับให้มันระวังๆหน่อยนะ อย่าทำให้พวกเราผิดหวังล่ะ” พอผมมาอยู่ในจุดของการเป็นผู้กำกับแล้วหันกลับไปมองในมุมนั้น ก็พบว่า มีผู้ที่คลั่งไคล้ในหนังสือเยอะมาก!!แกจะต้องไม่ทำผิดต่อผู้คนมากมายมหาศาลเหล่านั้น! สุดท้าย สิ่งเหล่านี้ก็กลายมาเป็นแรงผลักดัน ที่ผมจะต้องทำให้มันออกมาดีที่สุด ห้ามปล่อยให้พลังงานเหลือแบบสูญเปล่า ต้องมีมโนธรรมที่ชัดเจน
เวลาผมทำงานก็มักจะเป็นแบบนี้แหละครับ ผมจะมีนิสัยชอบใช้เวลาช่วงนึงไปกับการตั้งใจจดจ่ออยู่กับการทำเรื่องเรื่องหนึ่ง เมื่อก่อนก็ไม่ค่อยมีเล่นออกนอกบท ตอนเป็นนักแสดงก็จะเหมือนเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในบทบาทนั้นจริงๆ เป็นผู้กำกับก็เหมือนกัน อีเว้นท์อื่นนี่เลื่อนออกไปหมดเลยครับ ตั้งใจใช้ชีวิตอยู่ในฐานะผู้กำกับมาจะสองปีแล้ว
ENT.QQ.com: ระยะนี้แรงกดดันที่ได้รับแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างไรบ้าง?
ซูโหย่วเผิง:ผมอยู่ในวงการมานานหลายปี จริงๆแล้วชีวิตคนเราก็มีสิ่งที่เข้ามากระตุ้นความรู้สึกทางด้านจิตใจเยอะนะตัวผมเองเคยได้รับเสียงปรบมือชื่นชมมากมาย แล้วก็เคยได้รับเสียงต่อว่ามามากด้วยเช่นกัน ซึ่งปกติแล้ววิธีจัดการของผมก็คือ โอเคครับ ผมรู้แล้ว งั้นผมขอก้มหน้าทำต่ออย่างตั้งใจละกัน ไม่มัวมานั่งคิดเรื่องพวกนี้ทุกวันแต่จะพยายามทำให้ดีที่สุดจะได้ไม่ทำผิดต่อตัวเอง ซึ่งปกติแล้ว ถ้ามันเป็นสิ่งที่ออกมาจากสุดทั้งแรงกายแรงใจมันก็อาจจะไม่ได้ออกมาแย่เกินไปก็ได้
“จากเลิกกองตี3 ตี4 กลายมาเป็นเลิกกอง 7-8โมง”
ENT.QQ.com:มีคลิปซุบซิบจากเบื้องหลังให้ข้อมูลมาว่าได้มีการแก้ไขบทภาพยนตร์ไปถึง 106 ครั้ง สงสัยจังเลย 106 ครั้งที่ว่าเนี่ยปัญหาตรงส่วนไหนที่มีการปรับแก้กันค่อนข้างเยอะ?
ซูโหย่วเผิง:จริงๆแล้วมีอยู่ทั้งหมด10 กว่าพาร์ทครับ ในแต่ละพาร์ท อย่างเช่น จาก 1.0 ถึง 2.0 ก็จะมีการแบ่งออกมาเป็น1.1 , 1.2 , 1.3 …ประมาณนี้ครับ พอจบพาร์ทที่ 10จุดกว่า เราก็จะนำมารวมเป็นฉบับร่างเพราะฉะนั้นถ้าเรียกกันแบบสั้นๆก็จะกลายเป็น 100 กว่าพาร์ททีนี้...ใน 100 กว่าพาร์ทเนี่ย บางทีก็แก้กันแค่ไม่กี่คำ หรือแก้กันแค่ประโยคสองประโยคครับ แต่เป็นเพราะว่า เวลาที่เราแก้เสร็จก็จะต้องเอาไปแจกให้กับทุกๆทีม และเพื่อให้ทุกๆคนหาข้อมูลได้สะดวกเราก็เลยต้องเซทเป็นหมายเลขใหม่ขึ้นมาน่ะครับ
ENT.QQ.com:ที่แก้หลักๆมี 10กว่าพาร์ท?
ซูโหย่วเผิง:ครับ แบบที่มีการปรับเปลี่ยนใหญ่ๆนะ
ENT.QQ.com:จากทั้งหมดในนี้ ส่วนที่ทำให้คุณต้องพิถีพิถันกับมันมากที่สุดอยู่ตรงไหน?
ซูโหย่วเผิง:เยอะมากครับ ตั้งแต่กำหนดทิศทางตอนเปิดเรื่อง (ก็พิถีพิถัน) วัตถุดิบชนิดเดียวกันมาวางอยู่ตรงหน้าผู้กำกับแต่ละคน คุณเลือกที่จะมองมันจากมุมไหนผู้ประพันธ์นิยายเรื่องนี้ คุณฮิงาชิโนะเคโงะเลือกมุมที่เจ้าเล่ห์มากๆมุมหนึ่งเลยทีเดียว ปกติแล้วหนังแนวคดีปริศนา พวกเรามักจะอยู่ข้างตำรวจ ค่อยๆช่วยกันไขคดีไป แต่นี่เขากลับพลิกมุมครับพอเริ่มเรื่องมาก็พูดถึงข้อเท็จจริงที่เป็นปริศนาของหลักฐานก่อนเลยแล้วก็ทำให้ใจคุณคอยลุ้นไปกับฝ่ายตัวโกง “เฮ้ย!พวกเขาจะต้องไม่ถูกจับนะ!” สำหรับผู้กำกับคนหนึ่งแล้ว นอกจากผมจะสะท้อนเรื่องราวจากตัวหนังสือให้กลายมาเป็นภาพ ผมยังจะเลือกเล่าเรื่องด้วยวิธีร่ายตั้งแต่ต้นจนจบก็ได้ หรือวิธีเล่าจากตอนจบย้อนกลับขึ้นมาก็ได้ หรือจะเลือกวิธีที่เอาฉากแต่ละฉากมาสลับทับซ้อนกันก็ได้ และผมยังต้องถ่ายทอดคุณค่าของวรรณกรรมด้วยครับคือตรงส่วนหลักๆต้องเซทให้ดี พอเคลียร์โครงสร้างหลักเสร็จ แบ่งฉากเสร็จทีนี้ก็จะเริ่มใส่รายละเอียดเข้าไปให้การแสดงในทุกๆฉากสื่อได้เข้าถึงอารมณ์ผมหวังว่าในส่วนของบทพูดจะต้องไม่มีประโยคที่ไร้สาระ ไม่พูดคุยกันแบบเรื่อยเปื่อย อย่าง...“วันนี้อากาศดีไหม? กินข้าวหรือยัง?”รวมไปถึงฉากที่ปะทะไอคิวกัน ก็จะต้องคิดบทพูดที่เข้ากับสถานการณ์ที่คนไอคิวสูงๆเขาคุยกันด้วย ในขณะเดียวกัน พวกเขาทั้งสองคนนับได้ว่าเป็นเพื่อนรู้ใจเพียงหนึ่งเดียวของอีกฝ่าย อัจฉริยะผู้โดดเดี่ยวต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันและกัน ไม่ได้เจอกันหลายปี เพราะคดีฆาตกรรมที่แยกพวกเขาออกจากกัน เพราะสถานภาพที่แตกต่างกันของพวกเขา ทำให้พวกเขาต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน การเขียนบทที่จะสื่อให้เข้าถึงอารมณ์แบบนั้นจริงๆเนี่ย ก็นับว่ายุ่งยากอยู่เหมือนกันครับ ผมกับฝ่ายร่างบทภาพยนตร์ตอนนั้นจากที่จะเลิกกองกันตอนตีสามตีสี่ ก็ปาเข้าไปตีสี่ตีห้า แล้วก็ค่อยๆกลายไปเป็น เลิกกองกันจริงๆตอนเจ็ดแปดโมงนู่นแน่ะครับ