โหย่วเผิง-หวงยุ้ย น้ำตาคลอ - การรวมตัวอีกครั้งของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นระเบิดทั่วจอเลย
หวงยุ้ย : ที่นี่เป็นรายการ “ชุนหวันหุ่ยเค่อทิง” ซึ่งร่วมกันจัดโดยสถานีหูหนัน กระผมหวงยุ้ย แขกรับเชิญที่จะมารายการของเรานั้นเป็นแขกผู้มีเกียรติจากสถานียางซือในรายการราตรีตรุษจีน ขอพวกเรายินดีต้อนรับ คุณ ซูโหย่วเผิง
โหย่วเผิง :สวัสดีครับ สวัสดีผู้ชมทุกท่าน ผมชื่อ ซูโหย่วเผิง
(ภาพและเสียงบรรยาย)
หวงยุ้ย : ระยะนี้ ผมเองรู้สึกว่าทุกคนกำลังเพ่งสนใจกับการรวมตัวอีกครั้งของเสี่ยวหู่ตุ้ย ที่จะมาในรายการราตรีตรุษจีนของยางซื่อ เพราะมันได้นำมาซึ่งความทรงจำที่ดีมากมายมาสู่พวกเรา และเป็นสิ่งที่พวกเราเฝ้ารอคอยกัน อาจเรียกได้ว่ามาร่วมกันหวนย้อนอดีตด้วยกัน เมื่อวานผมได้ดูการซ้อมการแสดงของพวกคุณไปแล้ว ตลอดเวลาแห่งการซ้อมนั้นผมเองก็ได้นั่งอยู่ข้างล่าง และกับเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนเราต่างก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่
โหย่วเผิง : ผมเองก็กลั้นไม่อยู่เหมือนกัน
หวงยุ้ย : ใช่ๆๆ ตัวเองก็กลั้นไม่อยู่ ความรู้สึกอย่างนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ผมอยากจะรู้จัง
โหย่วเผิง : ตอนนั้นสมองผมมึนไปหมด คิดว่าคนที่ร่วมเติบโตมากับพวกเราก็จะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ตอนนั้นก่อนที่จื้อเผิงจะไปเกณฑ์ทหารนั้นพวกเราได้จัดคอนเสิร์ต “แล้วพบกันใหม่”ขึ้น ตอนนั้นอยู่บนเวที อายุผมยังน้อย ไม่ค่อยรู้ว่าอะไรคือความเจ็บปวดของการลาจาก ไม่รู้ว่าพวกเราจะจากกันในทันใด
หวงยุ้ย : ไม่เข้าใจว่าการลาจากคืออะไรหรือ?
โหย่วเผิง : ใช่ ตอนที่อยู่บนเวที ทันใดที่ร้องเพลง “ชิงผิงก่อเล่อเหยียน” นั้น สมองผมมึนไปหมด คิดขึ้นทันใดว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะร้องเพลงบนเวทีหรือเปล่า หรือว่าตลอดชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสร้องเพลงอีกแล้วหรือเปล่า ตอนนั้นผมเองก็เศร้าใจอย่างหนัก ทำให้ร้องเพลงไม่ออกเลย เมื่อวานความรู้สึกอย่างนี้ก็เกิดขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการซ้อมมาหลายครั้งแล้ว ผมคิดว่า ชัวร์แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้น เพราะเมื่อวานเป็นครั้งแรกที่มีผู้ชมเข้ามาอยู่หน้าเวที จากนั้นพวกเราได้โผล่มาจากใต้เวที เมื่อเสียงดนตรีดังขึ้น จากนั้นผู้ชมข้างล่างต่างก็ปรบมือให้ จริงๆ แล้วทางผู้กำกับ ได้เตรียมกับพวกเราไว้ว่า พวกคุณได้ตกลงกันแล้วมิใช่หรือ? ทั้ง 3 คนจะยืน pose ท่า ให้มันเทห์ๆ ทำไมไกวไกวหู่ อยู่ที่นั่น หัวเราะอะไร มีอะไรทำให้ดีใจหรือ?
ผมตอบว่า ผมควบคุมมันไม่อยู่ ตอนที่ขึ้นมานั้น ทุกคนก็ปรบมือ มันทำให้ผมมีความสุขมากๆในทันใด ทำให้ผมไม่สามารถทำได้ คุณรู้ไหม? จากนั้นอารมณ์ก็เริ่มเข้ามา แล้วยืนอยู่ตำแหน่งของตัวเอง แล้วดนตรีก็เริ่มดังขึ้น เหมือนกับว่าผมกำลังย้อนกลับไปอยู่ในวัยเด็ก ทันใดคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่ จนมาถึงเพลงที่ 2 อารมณ์ถึงจะเข้าที่ แล้วเพลงที่ 3 มันนานแล้วที่ผมได้เคยได้สัมผัสและมีความรู้สึกที่เป็นขวัญใจของคนอื่น
หวงยุ้ย : นั่นเป็นเรื่องราวในสมัยอดีต
โหย่วเผิง : ใช่ มาถึงเพลงที่ 3 ผมถึงจะมีอารมณ์ร้อง เริ่มปล่อยตัวสบาย แล้วก็เริ่มเข้าปี่เข้าขลุ่ย และหลังจากเพลงนี้จบไปและพวกเราเดินลงจากเวที อารมณ์ของผมก็โผล่ขึ้นมาอีกครั้ง
หวงยุ้ย : ตัวผมเองก็เข้าใจในอารมณ์อย่างนั้นเป็นอย่างดี เพราะขณะที่พวกเราได้ยินเสียงเพลงตอนอยู่ข้างนอกนั้น ทุกคนก็ล้วนดังเหมือนกัน คิดว่าความรู้สึกอย่างนั้นก็เสมือนตัวเองได้หวนคิดถึงอดีต อะไรเล็กๆน้อยๆมันสะกิดใจเรา และตอนที่คุณอยู่บนเวที หลังจากที่คุณลงจากเวทีแล้ว พวกคุณแต่งชุดที่เหมือนกัน พวกเราเห็นอย่างเดียวกันว่า ขณะที่พวกคุณใส่เสื้อเหมือนกันนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ยได้กลับมาแล้ว เป็นเสียวหู่ตุ้ยจริงๆ ไม่ว่าเวลาจะห่างกันไปกี่ปีก็ตาม พวกคุณยังเป็นเสี่ยวหุ่ตุ้ยอยู่ดี
โหย่วเผิง : ใช่
หวงยุ้ย : คุณมีความรู้สึกอย่างนี้หรือเปล่า?
โหย่วเผิง : พูดตรงๆว่า เริ่มแรกนั้น ผมคิดอยู่เสมอว่า คำว่า “เสี่ยวหู่ตุ้ย” นั้นเป็นคำที่คลาสสิค มันสูงเกินกว่าพวกเราทั้ง 3 คนแล้ว ไม่เพียงแต่เป็นของพวกเรา มันกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งไปแล้ว เป็นนามไปแล้ว น่าจะเป็นชื่อหนึ่งที่มีความหมายในแวดวงบันเทิงของชาวจีน
ตลอดเวลา ผมกลัวว่า เมื่อเราได้มีการรวมตัวกันแล้ว การแสดงของเราจะสู้ในอดีตไม่ได้ จะทำให้ความคลาสสิคของ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”เสื่อมไป และจะทำให้คุณค่า เสียวหู่ตุ้ย ในใจของทุกคนลดลงไป ผมยังคิดว่า หากการแสดงผิดพลาดขึ้นมา หรือเราทำไม่ได้ดีพอ ก็เหมือนกับการทำลายตัวเอง ก็เหมือนกับไมเคิล แจ๊กสัน หากว่าเขามีชีวิตอยู่ แล้วงานคอนเสิรต์ของเขากลับทำได้ไม่ดีพอ หรือว่าเวลาที่เขาเต้นอาจล้มลงไป ทุกคนก็จะคิดว่า คุณไม่มาเต้นไม่มาแสดงจะดีกว่า
เดิมทีนั้นผมเองก็คิดหนักเหมือนกัน ไม่อยากทำลายภาพ เสียวหู่ตุ้ย ในหัวใจของทุกคน แต่วันนี้ ตอนนี้ ผมรู้สึกว่าหลังจากที่พวกเราได้มีการซ้อมการแสดงไปแล้ว ทุกคนก็ตั้งใจมากๆ บ้างก็ลดน้ำหนัก บ้างก็ตัดผม โกนหนวด พวกเราแต่ละคนก็ล้วนพยายามทำอย่างที่สุด เพื่อจะให้มีบรรยากาศอย่างอดีต ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นชุดที่จัดไว้สำหรับคืนนั้น มองแล้วทุกอย่างมันเข้ากับบรรยากาศอดีตมากๆ เลยทีเดียวเชียว
หวงยุ้ย : เสี่ยวหู่ตุ้ย ในใจคุณกับในใจของพวกเราคงคิด รู้สึกต่างกัน แท้จริงแล้วเป็นวงศิลปินอย่างไรกันแน่ หรือว่าเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่เป็นอย่างไร?
โหย่วเผิง : จริงๆ แล้ว คงไม่ต่างกันหรอก ผมรู้สึกว่า มันเป็นช่วงวัยหนุ่มสาวของพวกเรา ต่างกันเพียงแค่ คุณโตมากับการฟังเพลง แต่ผมโตมากับการร้องเพลง สำหรับผมแล้ว ผมได้โตมากับการร้องเพลงเหล่านี้ คุณอาจฟังไปแล้ว 100 รอบ ผมเองอาจร้องไปแล้ว 1,000 รอบอะไรอย่างนั้น สำหรับคนรุ่นนี้หรือผู้ฟังนั้น พวกคุณอาจมีเรื่องราววัยหนุ่มสาวมากมาย และตัวผมเองก็ไม่ต่างกับพวกคุณ หลังจากที่ผมเข้าสู่ วงเสี่ยวหู่ตุ้ย แล้ว วิถีชีวิตของผม กับคนในวัยเดียวกันกับผมก็เริ่มแตกต่างกันไป ผมก็เริ่มที่จะมีหน้าที่รับผิดชอบในการงาน เพราะตอนนั้นการเรียนผมก็ยังถือว่าโอเค ทั้งอาจารย์และเพื่อนๆต่างก็คิดว่าอนาคตนั้นผมอาจเป็นถึง ดร. หรือเป็นทนายความ หรือว่าเป็นอาจารย์ แล้วมันไปเป็นศิลปินได้อย่างไร ก็ไม่รู้ มันประหลาดเหมือนกัน
นับแต่นั้น ที่เริ่มย่างก้าวสู่เส้นทางนี้ จะหันกลับก็ไม่ได้แล้ว แน่นอนเริ่มแรกนั้นก็ยังไม่มีชื่อเสียง อายุผมยังน้อย ก็เหมือนกับรูปที่ทุกคนเห็นในสมัยก่อนอย่างนั้น ผมเป็นเด็กที่เชื่อฟัง ไม่ดื้อ เดียงสา ผมเองก็ไม่รู้ว่านี่เป็นการทำงานแล้ว มันสนุกมาก ทางบริษัทได้จัดตารางให้คุณเรียบร้อย ช่วงปิดเทอมก็จะทำงาน มีเสื้อผ้าสวยๆใส่ มีอาจารย์มาสอนคุณเต้น มาซ้อมให้กับคุณ บอกว่าตอนออกจากเวทีคุณต้องทำอย่างนี้อย่างนั้น ผมก็ตอบว่า ครับๆๆ ผมก็แฮปปี้กับมันมาก ไม่คิดอะไรมากมาย แต่ว่าจากนั้นเรื่องราวชีวิตอย่างนี้มันผ่านไปนานเข้านานเข้า ถึงจะรู้ว่าการมีชื่อเสียงมันเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วการมีชื่อเสียงหรือคนอื่นสนใจคุณนั้นจะนำอะไรมาสู่คุณ
จากนั้นตัวเองก็เริ่มมีความทุกข์-สุขส่วนตัวของผมเอง ผมคิดว่ามันก็ไม่ต่างอะไรกับคนรุ่นเดียวกันในช่วงปี 80-90 ตอนนี้ความเดียงสา เด็กดีเหล่านั้นได้จากผมไปแล้ว พวกเราเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว พวกเราเริ่มเข้าใจแล้วว่า ชีวิตจริงของคนเราเป็นอย่างไร และเพลงเหล่านี้นั้นแท้จริงเป็นมันสื่อถึงอดีตของพวกเราที่อยู่ในวัยช่วงอายุ 10 กว่าถึง 20 ปี มันเคยเป็นช่วงเวลาที่ไร้ทุกข์ไร้โศกของชีวิต
หวงยุ้ย : ฉะนั้นคุณเอา เสี่ยวหู่ตุ้ย เป็นความคลาสสิค เพราะความคลาสสิคอย่างนี้มันเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตของคุณ คุณเลยไม่อยากเปิดมันออกอย่างง่ายๆ และไม่อยากจะเตะต้องมันง่ายๆ?
โหย่วเผิง : เรื่องนี้นั้นหากจะพูดแล้วมันอาจมีความซับซ้อน พูดยาก แน่นอนในความรู้สึกของผมนั้น เสี่ยวหู่ตุ้ย เป็นช่วงวัยหนุ่มของผม นี่เป็น ความคิดส่วนตัวของผม นี่เป็นความคิดหลังจากที่ตัวเองคิดว่า เริ่มแรกก็เป็นการทำงานแล้ว และสุดท้าย มันก็ได้กลายเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิตของผม ซึ่งมันสร้างความอัศจรรย์ให้กับชีวิตผม หรือว่ามันเป็นความคลาสสิค สิ่งนี้นั้นแม้ใครก็คิดไม่ถึง จนมาถึงช่วงหลัง ผมรู้สึกว่าคำว่า “เสี่ยวหู่ตุ้ย” นั้น ผมเองไม่รู้ว่าพูดถูกหรือเปล่า แต่อย่างน้อยมันเป็นความเข้าใจรู้สึกของผม
“เสี่ยวหู่ตุ้ย” คำนี้มันเหมือนกับเป็นสิ่งที่ดูสง่า มีศักดิ์ศรี มันไม่ได้หมายถึงเพียงพวกเรา 3 คนเท่านั้นแล้ว มันเป็นสัญลักษณ์ไปแล้ว มันเป็นปาฏิหาร์ยของแวดวงบันเทิงชาวจีนไปแล้ว มันมีความหมายอย่างนั้น ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งจะไปแทนได้ คำว่า “เสี่ยวหู่ตุ้ย” นี้กลายเป็นความคลาสสิค