ผมเป็นคนรักการร้องเพลงที่สุด
หลังจากที่กลับจากอังกฤษ ความใฝ่ฝันของโหย่วเผิงยังเป็นการร้องเพลงอยู่ แต่ว่าเขากลับมาเป็นนักแสดงอย่างไม่ได้ตั้งใจ เริ่มจากองค์หญิงกำมะลอมาจนถึงไป๋เสี่ยวเหนียนในเรื่องเฟิงเซิง(The Message) เข้าไปทีเดียวก็สิบกว่าปีแล้ว
แม้ว่าระหว่างนั้นจะมีการออกอัลบั้ม และมีการจัดงานคอนเสิร์ด แต่ดูเหมือนว่าตำแหน่งนักร้องนั้นยิ่งนานวันยิ่งห่างเขาไป หากไม่ใช่งานราตรีตรุษจีนที่ออกมาร้องเพลง พวกเราก็คงลืมไปแล้วว่าโหย่วเผิงนั้นเคยเป็นนักร้องมาก่อน แต่สำหรับเขาแล้วความคิดในการร้องเพลงนั้นไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เขากล่าวว่า “เมื่อก่อนนั้นผมรักในการร้องเพลงมากๆ แม้ว่าผมจะเริ่มเข้าสู่การแสดงเต็มตัว ได้แสดงเรื่ององค์หญิงกำมะลอ แต่ลึกๆในใจผมนั้นก็ยังปรารถนาที่จะร้องเพลงเหมือนกัน”
สำหรับแฟนๆนั้นนานวันก็ยิ่งยอมรับฝีมือการแสดงของเขา แล้วเขาเองก็ได้เอาอาชีพการแสดงนั้นเป็นที่หนึ่งในชีวิตเขา “สำหรับเรื่องการร้องเพลงนั้นจะบอกว่าผมทิ้งไปเลยก็ไม่ใช่ ผมยังมีความคิดที่อยากจะร้องอยู่ แต่มันคงจะไม่เหมือนกับสมัยวัยรุ่น ตอนนี้รู้แล้วว่าโลภมากลาภหาย ต้องทำไปทีละเรื่องทีละอย่าง ไม่สามารถที่จะทำหลายๆอย่างให้เสร็จในเวลาเดียวกัน
จริงๆแล้วทางค่ายเพลงก็ยังทาบทามผมได้ร้องเพลงอยู่เหมือนกัน นี่ใช่เป็นเรื่องที่ยาก แต่ก็อยากจะทำออกมาให้ดีนั้นก็ยากเหมือนกัน สำหรับช่วงนี้ งานผมนั้นจะเน้นไปทางการแสดงภาพยนตร์ เพราะผมรู้สึกว่าการเริ่มต้นแสดงของผมนั้นมันก็ไปได้สวยเหมือนกัน เพราะทุกคนก็เห็นด้วยเหมือนกันว่าโหย่วเผิงสามารถที่จะแสดงภาพยนตร์ได้ดี เส้นทางอนาคตนั้นก็ยังต้องพยายามเดินให้ดีที่สุด”
ไม่มีใครคิดเลยว่าผมสามารถเปลี่ยนมาเป็นนักแสดงได้
หากพูดถึงเรื่องที่ตัวเองหันมารับงานแสดง โหย่วเผิงเองก็ยังรู้สึกว่าคิดไม่ถึง “นิสัยผมไม่ใช่ว่าเป็นคนที่ชอบแสดงออกแต่กำเนิด นี่น่าจะเป็นเพราะโชคชะตากำหนดไว้ เมื่อเดินมาถึงจุดนี้ นิสัยผมเรียกร้องหาความสมบูรณ์เพอร์เฟค หากจะทำงานอะไร ก็จะตั้งใจและทำให้สำเร็จ”
หากจะพูดเรื่องบทบาทของภาพยนตร์(จอเงิน) เขาก็จะเอ่ยถึงไป๋เสี่ยวเหนียน เพราะอีกมุมหนึ่งนั้นบทของไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นยากจะจิตนาการได้ และอีกด้านหนึ่งคือบทไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นได้ให้สิ่งใหม่ๆกับการแสดงของโหย่วเผิง “หากยังมีโอกาสที่จะได้รับบทดีๆอย่างนี้อีกสองสามเรื่องที่จะให้ทุกคนได้จำได้คิดถึงผม ผมก็พอใจแล้ว ไป๋เสี่ยวเหนียนนับว่าแค่ครึ่งบทมั้ง ฮ่าๆ เพราะเป็นบทที่พิเศษ”
วันนี้ได้พูดถึงความดื้อในสมัยวัยรุ่น โหย่วเผิงก็ยังร้องประทับใจเหมือนกับสมัยก่อน เมื่อเอ่ยพูดถึงเรื่องที่กินใจก็จะมีท่าทางที่เอามือลูบตักไปมา “ตอนนี้ผมนั้นได้ผ่านวัยนั้นมาแล้ว ตอนนี้ทุกคนก็กำลังจ้องมองว่าตอนนี้โหย่วเผิงจะเปลี่ยนไปในแนวไหนอีก จะไม่เหมือนเดิม ไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ตาม ก็จะมีคนว่าไกวๆหู่ทำไมคุณไม่ไกวแล้ว ทำไมถึงทำอย่างนี้ได้ ยังดีที่ตอนนี้ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่เล่นบทไป๋เสี่ยวเหนียนแล้ว ทุกคนก็กำลังรอการเปลี่ยนแปลงของก้าวต่อไป โหย่วเผิงจะมีลูกเล่นอะไรอีก การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ทำให้ผมแฮปปี้เป็นอย่างมาก”
หากว่าวันหนึ่งผมสามารถที่จะยืนอยู่ที่สูงเหมือนกับสมัยเสี่ยวหู่ตุ้ย ผมก็จะกล้าที่จะเลือกหยุดอยู่ตรงนั้นแล้วถอยกลับ มีเพียงอย่างนี้ถึงจะทำให้สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นความคลาสสิกตลอดไป สนทนา ผมไม่มีทางที่จะทำสิ่งเดียวไปตลอด
นักข่าว. วันนี้ถ่ายแบบเหนื่อยไหม? ดูคุณเหมือนกับว่าชอบมากๆ ?
โหย่วเผิง . ก็โอเคอยู่ เพราะมันสนุก เมื่อได้เล่นแล้วไม่รู้สึกเหนื่อย
นักข่าว. ทำไมต้องการการเปลี่ยนแปลงทำในสิ่งที่แปลกใหม่อยู่ตลอดเวลาเลย?
โหย่วเผิง . ไม่ชอบอะไรที่ธรรมดาปกติ ทุกวันทุกคนก็ถ่ายแบบกัน ผมอยากจะทำผลงานอะไรที่ไม่อยากเป็นกับเมื่อวาน หากเป็นสิ่งที่เป็นระเบียนเป็นของเก่าผมก็จะเบื่อ ผู้ชมก็เหมือนกัน
นักข่าว . คุณคิดอย่างไงกับตอนถ่ายแบบแล้วถือกุหลาบแห้งช่อหนึ่ง
โหย่วเผิง . คุณไม่รู้สึกมันเข้ากันมากหรือ? แต่การที่ผมได้ไอเดียอย่างนั้นใช่ว่าปุ๊ปปั๊ปนะ ผมพูดอยู่บ่อยๆว่าหากผมเป็นนักเขียน แล้วผมก็ส่งงานเขียนผมทุกอาทิตย์ ภายใต้ความกดดันนั้นผมคงจะตายแบบหมดสภาพแน่ หากว่าไม่มีความกดดัน ให้สบายๆ ผมก็อาจจะได้ไอเดียแบบเอากุหลาบมาถ่ายอย่างนี้บ่อยๆแน่
นักข่าว . คุณนั้นได้ตั้งใจจะดื้อมาตลอดหรือเปล่า?
โหย่วเผิง . นิสัยส่วนตัวผมนั้นเป็นคนที่ชอบขัดแย้ง ผมชอบทำอะไรที่ตรงข้าม และผมเองก็ไม่มีความอดทนด้วย เช่นบางครั้ง หากถ่ายทำฉากหนึ่งหรือเรื่องหนึ่งเสร็จ ตอนนั้นอาจรู้สึกว่าไม่เลว แต่เมื่อผ่านไปสองสามวันก็จะมีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง ฉะนั้นผมสังเกตุเห็นว่าผมเองนั้นจะทำอะไรที่ซ้ำๆเดินๆไปเรื่อยๆไม่ได้...