ผู้เขียน หัวข้อ: ESSAY 9: SPECIAL TRAINING  (อ่าน 7740 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
ESSAY 9: SPECIAL TRAINING
« เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 11:47:43 AM »

9. Special Training (การฝึกพิเศษ)

อาจารย์ เคยทำงานกันหนักมากเมื่อมีการเริ่มปีการศึกษาใหม่เพราะสิ่งที่ผมทำไป ซึ่งนั่นก็คือการลงเรียนวิชาภาษาแมนดาริน, ภาษาอังกฤษ, สังคมศึกษา, ฟิสิกส์, เคมี และวิชาทางการแพทย์ (รวมเป็น 7 วิชา) ซึ่งล้วนแต่เป็นวิชายาก ๆ ทั้งนั้น เท่าที่ผมจำได้ ผมทบทวนบทเรียนอย่างมีสมาธิดีมากในช่วงปิดเทอมฤดูหนาวของชั้นม. 6 มีผู้ช่วยอาจารย์มาสอนในทุก ๆ ชั้นเรียน คนเหล่านี้ก็ไม่ใช่ใคร พวกเค้าก็คือคนที่เรียนดีในวิชาเหล่านั้น เช่นวิชาฟิสิกส์เป็นต้น ผมเคยไปปรึกษาพวกเค้านอกเวลาเรียนบ้าง เวลาที่ผมไม่เข้าใจในวิชาเรียนนั้น ๆ พวกเค้ามีเทคนิคการทบทวนที่ดีและดีกว่าและมักจะสอนผมเสมอเพราะตอนนั้นเกรดผม ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บางครั้งผมถึงกับต้องถอดหมวกให้เค้าเลย (เป็นวิธีการแสดงความเคารพนับถือ แบบให้เกียรติของชาวตะวันตก) เพราะเค้ามีสูตรการคำนวณที่มีประสิทธิภาพมาก ซึ่งมากกว่าหนังสืออ้างอิงเล่มใด ๆ ซะอีก ผมชอบที่จะทำความเข้าใจก่อนเพื่อที่จะจำ เช่นเหตุผลที่ว่าน้ำตาลจะละลายในน้ำร้อนหรือน้ำเย็นก่อนกัน Mrs Zhang เน้นถึงความจำเป็นที่ต้องเข้าใจหลักการเป็นเหตุเป็นผลเพื่อใช้ในการตอบคำถาม ให้ได้ซึ่งไม่เหมือนกับการเรียนในชั้นม.ต้น เกณฑ์ในการทดสอบของชั้นม. 6 ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจมากขึ้น

เพราะว่าผมติดท้อปเท็นในชั้นเรียน และเริ่มเชื่อมั่นว่าผมก็สามารถทำได้ดีเช่นกัน ผลการสอบของก็เลื่อนออกไปและในระหว่างการสอบครั้งที่สอง ผมไม่สามารถทบทวนได้ตามตารางสอบ แต่ผมไม่สนใจหรอก เพราะผมมั่นใจว่าผมสามารถทำได้ แล้วผลการสอบของผมก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาในระหว่างการสอบครั้งที่ 3 ผมสังเกตว่านักเรียนในห้องจะแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ โดยกลุ่มแรกจะนั่งอยู่ด้านหน้าของห้อง เรียนหนักและไม่ชอบกิจกรรม ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งจะนั่งอยู่ด้านหลังของห้อง ชอบเล่น ชอบกิจกรรมและค่อนข้างขี้เกียจ ผมไม่ใช่นักเรียนทั้งสองกลุ่ม ไม่นั่งหน้าหรือหลังเกินไป แต่นั่งอยู่แถวกลาง ๆ ของห้อง มีนักเรียนบางคนเหมือนกันที่แม้จะเรียนหนักแต่ผลการเรียนกลับไม่ดีเลย แม้ว่าเค้าจะดูหนังสือทบทวนตลอดเวลาก็ตาม เค้านั่งเรียนในแถวที่สองแถมยังสวมแว่นตาด้วย ผมรู้สึกว่าเค้ากำลังฝืนตัวเองยังไงไม่รู้ และยังมีนักเรียนคนอื่น ๆ อีก (พวกเค้าเข้าเรียนที่ Qingda) ที่แม้จะเรียนหนักแต่ผลการเรียนของเค้าก็ดีด้วยเช่นกัน แต่สำหรับ ผมความมีประสิทธิภาพ สมาธิ และความจำคือสิ่งที่ต้องนับรวมเข้าไปด้วย ไม่มีอะไรเข้าหัวหรอกหากว่าคุณหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี ซึ่งสุดท้ายผลที่ออกมาก็คือคำขอโทษนั่นเอง (ความหงุดหงิดขี้บ่นไม่ควรนำมาปนกับการเรียนหนังสือ)





โรงเรียนมัธยมปลายทุกแห่งที่ไทเปจะต้องมีการสอบนำร่องหลัก ๆ อยู่สามครั้ง ซึ่งผลการสอบจะออกมาในช่วงเทอมสุดท้ายของชั้นม. 6 โดยจะรวมอยู่ในการสอบของโรงเรียนอยู่แล้ว แต่ว่าจะต้องสอบหลังการสอบอื่น ๆ ทั้งหมด ผมจัดตารางการทบทวนเอาไว้อย่างรอบคอบโดยแบ่งการอ่านในตอนเช้าเป็น 3 ส่วน และส่วนตอนบ่ายและตอนกลางคืนที่เหลืออีกวันหรือสองวันก็เพื่อทบทวนเพิ่มเติม ในบางวิชา และก็โน้ตย่อเนื้อหาบางส่วนให้เต็ม เพื่อจะได้รู้สึกผ่อนคลายในการอ่าน ตัวอย่างเช่นในวันที่ 29 มกราคม เป็นวันที่หยุดการทบทวนบทเรียนต่าง ๆ ในระหว่างที่มีการสอบประจำเดือนทั้งสองครั้ง (ไม่แน่ใจว่าอาจหมายถึงในระหว่างการสอบเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ เค้าก็ทบทวนอ่านหนังสือมาเรื่อย จนกระทั่งวันที่ 29 มกราคมตามตารางของเค้า ก็เป็นวันหยุดพักผ่อนไม่ต้องอ่านหนังสือ ประมาณนี้หรือเปล่า) และตารางการทบทวนของผมก็จะเป็น 1330-1410, หยุด, 1500-1600, พักทานอาหารเย็น, 1650-1800 ภาษาแมนดาริน, 1815-1910 ภาษาอังกฤษ, 1920-2010 วิชาวัฒนธรรม, 2030-2215 วิชาแมนดาริน, 2315-2350 วิชาภาษาอังกฤษ, 2350-0110 และ 0145-0300 วิชาแมนดาริน ตอนนี้เรามาโยนโน้ตย่อของผมทิ้งไป แล้วเสียเวลาสัก ½ -1 ชั่วโมง หยุดพักเพื่อไปหาอะไรดื่ม เดินออกไปสั่งอาหารด้านนอกทานให้หายหิวแล้วค่อยกลับมาอ่านกันอีกครั้ง


ทาง ที่ผมเลือกและความพยายามที่จะทบทวนให้ได้แม้สักเล็กน้อยก็ยังดี ฯลฯ คือแรงสนับสนุนที่ทำให้ผมมีแรงมากขึ้นยามที่รู้สึกท้อ ซึ่งดู ๆ ไปมันก็เหมือนกับเป็นการเล่นเกมกับตัวเองนั่นเอง ผมมีการทบทวนพิเศษสำหรับการสอบในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ซึ่งผมเริ่มโน้ตย่อเพื่อทบทวนมาตั้งแต่วันที่ 30 มกราคมแล้ว มีการวางแผนไว้ในสมุดบันทึก โดยผมจะทบทวนบางวิชาไปตามตารางทุกวันพร้อมกับทำโน้ตย่อไปด้วย เพราะเราไม่สามารถต่อเวลาในการทบทวนออกไปได้ดังนั้นจึงควรจัดการวางแผนการ อ่านหนังสือไว้ให้เหมาะสม พยายามตัดเรื่องการฟังเพลงออกไป รู้มั้ย? ผมชอบการฟังเพลงมาก ชอบมาตั้งแต่เรียนม.ต้นแล้ว โดยผมจะใส่หูฟังไว้แล้วนักร้องก็จะร้องเพลงฮิตของพวกเค้าไปในหัวผม แล้วก็จะร้องไปตลอดไม่ว่าจะขณะที่ผมเดิน ขึ้นลิฟท์ อยู่บนรถบัสหรืออยู่ในห้องน้ำ จนกว่าผมจะถอดหูฟังออกนั่นแหละพวกเค้าถึงจะหยุด แต่ว่าการฟังเพลงนี่แหละทำให้ผมเสียสมาธิในระหว่างการอ่านหนังสือ ดังนั้นผมจึงบอกกับตัวเองว่าเราต้องควบคุมตัวเองให้ได้ และไม่ฟังเพลงขณะที่อ่านหนังสือเด็ดขาด แถมผมยังเก็บหูฟังให้มันพ้น ๆ สายตาไปอีกด้วย ผมเล่นเกมส์อย่างนี้กับตัวเองมาจนครบ 4 สัปดาห์จนกระทั่งถึงการสอบ ซึ่งก็คือเวลาที่ผมจะต้องพร้อมในการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเองแล้ว