ผู้เขียน หัวข้อ: ESSAY 5: BENEFACTOR 1  (อ่าน 7779 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
ESSAY 5: BENEFACTOR 1
« เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 11:53:47 AM »
5. Benefactor 1(ผู้มีพระคุณตอน 1)



ผมได้เจอกับบุคคลผู้ใจดีอีก 2-3 คนในช่วงที่ผมเตรียมตัวสอบ คนหนึ่งก็คือ Xie Fenlan (เป็นอาจารย์ที่คอยให้คำปรึกษามาจาก Jianzhong (อาจหมายถึงอาจารย์แนะแนวมั้งคะ ไม่แน่ใจ)) ท่านเป็นคนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไป ท่านมักจะขอร้องให้ผมไปพบเสมอ แต่ผมก็มักจะทำเป็นลืม ๆ ไปเพราะว่าห้องให้คำปรึกษา (หรือห้องแนะแนว) ใคร ๆ ก็ไม่อยากเข้าหรอก และอีกอย่างผมก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากมายอะไรที่จะต้องไปทำกิจกรรมอย่างนั้น วันหนึ่งท่านก็มาบอกให้ผมไปพบในช่วงระหว่างพักกลางวัน (ซึ่งมันเป็นเวลาที่นักเรียนส่วนใหญ่มักจะงีบหลับกัน)

ผมตื่นขึ้นพร้อมกับสวมแว่นตาอย่างไม่เต็มใจไปหาท่าน หลังจากได้พบผมในแบบที่สวมแว่นหนาเตอะและตาหยีมากเลย ปฏิกิริยาของท่านก็คือ “เธอคือซูโหย่วเผิงจริง ๆ เหรอ บอกฉันมาซิ” หลังจากนั้นชะตากรรมของเราทั้งคู่ก็ได้เริ่มขึ้น ท่านสอนให้ผมรู้จักทำสมาธิ หลังจากที่สามารถบังคับผมมาได้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็มีครั้งอื่น ๆ ตามมาบ่อยขึ้น ที่ห้องนี้มีเพียงโซฟาเก่า ๆ สองสามตัวและโต๊ะอาจารย์ซึ่งถูกนำไปตั้งไว้ด้านนอกห้อง แถมยังมีพรมผืนหนาปูบนพื้นอีกด้วย ซึ่งก็พรมผืนนี้แหละที่ท่านใช้เป็นที่ให้คำปรึกษาผม ผมต้องหัดนั่งสมาธิที่นั่นและต้องหัดในห้องเรียนด้วยในช่วงพัก มันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก มีพวกเราอีกสองสามคนลองทำตามด้วยเหมือนกัน

การนั่งสมาธินับเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับผมมากเพราะผมเป็นคนที่มีความรู้สึกไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย ท่านให้ผมทำตามต่อไปนี้ นั่งขัดสมาธิ มือประสานกัน หายใจเข้า...ออก...เข้า...ออก ช้า ๆ ให้ระลึกไว้ว่าใจ, อก, คอ, สะโพก, มือ และขาคือความว่างเปล่า และสุดท้ายก็รวมความว่างเปล่าเหล่านั้นเข้าไว้ด้วยกันและโยนมันทิ้งไป มีเพลงบางเพลงที่ปรากฏขึ้นในใจของผมเวลาที่ทำสมาธิอยู่ซึ่งผมไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้สักที

ที่ว่างพิเศษที่นั้นผมว่ามันหายากมากเลย มันอาจจะซ่อนอยู่ในกอไผ่ก็ได้ หมุนวนไปมาแล้วสุดท้ายก็หายไป หลาย ๆ ความคิดอาจจะผุดขึ้นมาโดยที่คุณเองไม่รู้สึกตัวเช่น “ผมทำไม่ได้หรอกเพราะฉะนั้นนี่มันเสียเวลาจริง ๆเลย”, “กลับไปทบทวนบทเรียนสำหรับการทดสอบบ่ายนี้ดีกว่าน่า” ที่ร้ายกว่านี้ก็มีเช่น “ฉันรู้สึกง่วงจัง” “เอาเวลาไปออกอัลบั้มใหม่ดีกว่า” ความคิดพวกนี้จะถูกบันทึกเอาไว้เพราะว่าสมองของเราอยู่ในช่วงที่สงบผ่อนคลายที่สุด มีมือที่มองไม่เห็นคอยบอกกับผมว่าพยายามทำใจให้สงบ ผมไม่รู้ว่าเสียงเหล่านั้นมาจากไหน ผมจึงบอกกับตัวเองว่า “นายต้องมั่นใจ ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหนักหรือเรื่องอื่น ๆ”



ในการฝึกหัดเพื่อแยกแยะความคิดทั้งหลายทำให้บางครั้งเราก็จินตนาการไปว่าพวกเราคือนกที่โบยบินอยู่ในท้องฟ้าพร้อมกับมองลงมายังเบื้องล่างมองเห็นผู้คน รถราในขนาดเล็กกว่าความจริงถึงครึ่งหนึ่ง เห็นแม่บ้านกำลังตากผ้า รู้สึกว่าหมู่เมฆช่างมีความสุขเหลือเกิน บางทีมันอาจเป็นจุดที่ทำให้ทุกอารมณ์วนกลับมารวมกันอีกครั้ง เพื่อให้ไปถึงจุดที่สงบที่สุดของร่างกายและจิตใจ ผมได้พักผ่อนและพลังงานในร่างกายก็พร้อมสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ความจริงผมมักจะรู้สึกง่วงภายใน ½ ชั่วโมง เมื่ออยู่ในห้องทบทวนและจะสัปหงกอีกประมาณ ½ -1 ชั่วโมง พอตื่นขึ้นมาก็จะรู้สึกว่าในหัวว่างเปล่า (การนอนของผมไม่ว่าเสียงรอบตัวจะดังแค่ไหนก็ไม่มีผลอะไรต่อผมเลยและร่างกายก็ยังไม่รู้สึกตึงเครียดอีกด้วย)

ผมยังคงรู้สึกกดดันอยู่แม้ว่าผมจะทำสมาธิบ่อย ๆ ก็ตาม มีอยู่ครั้งหนึ่งผมรู้สึกว่าโลกทั้งโลกมันกดทับผมและผมเห็น Ms Xie กำลังร้องไห้อยู่ในห้องแนะแนว ผมไว้ใจเธอมาก แล้วจากนี้ผมจะปรึกษาปัญหากับใครได้อีก ถ้าถามผมว่าผู้ชายร้องไห้มันน่าเกลียดมั้ย คำตอบของผมก็คือ การร้องไห้ก็เหมือนเป็นทางออกหนึ่งให้คนเราได้ปลดปล่อยระบายความรู้สึกอัดอั้นที่ไม่สามารถแสดงต่อหน้าคนอื่นได้ แต่บางคนก็เชื่อว่าไม่ว่าเพศไหนก็ไม่แตกต่างกันหรอก บางคนก็รู้สึกสบายใจขึ้นหลังจากได้หาทางปลดปล่อยความไม่สบายใจออกไป ผมรู้สึกสงบขึ้นและมีสมาธิมากขึ้น เพราะเกรดของผมดีขึ้นในช่วงสามเดือนสุดท้ายของการเรียนชั้นม. 6 และผมก็คิดถึงการละทิ้งคำยกย่องชื่นชมและความมั่งคั่งเพื่อกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ณ ที่ใดที่หนึ่ง เพราะการสอนมันง่าย