เสี่ยวหู่ตุ้ยที่อมตะ : ความทรงจำสมัยปี 70
ยุ่งกับงานทั้งวันกลับไปแล้วยังต้องรอลูกนอนหลับก่อน หลายวันนี้จะเข้าไปในเน็ตเพื่อหาข่าวข้อมูลของเสี่ยวหู่ตุ้ยรวมตัวกันอีกครั้งเป็นประจำ จริงๆ แล้วก็ไม่จำต้องเจาะจงหา เพราะเป็นข่าวติดอันดับหนึ่งของปีใหม่ตรุษจีนปีนี้ ข่าวเรื่องนี้นั้นดูแล้วมีมากมาย เมื่อดูเว็ปไซน์หนึ่ง เริ่มจาก รับจื้อเผิงจากสนามบิน มาถึงห้องซ้อมการแสดง จนถึงช่วงแต่งตัวและซ้อมการแสดง ไม่รู้ว่ามีคนเท่าไหร่นั่งเฝ้าดูข่าวของพวกเขาที่เหมือนกับฉัน
การเป็นคนยุคปี 80 อย่างแท้จริงนั้น เมื่อได้เห็นข่าว ราตรีตรุษจีนของเสี่ยวหุ่ตุ้ยแล้วจะรู้สึกดีใจสุดๆ
หวนคิดถึงอดีตที่ตัวเองเป็นเด็กเรียนคนหนึ่ง ที่ไม่ฟังเพลงฟังแต่เสียงดนตรีเท่านั้น ทุกวันกลับถูกรายการร้องเพลงในทีวีของเสี่ยวหู่ดึงดูด เด็กหนุ่มสามคนนี้ไม่ว่าจะเป็นภาพลักษณ์หรือเพลงล้วนแต่เป็นแบบอย่างที่ดี ฉันเองที่เป็นคนไม่บ้าดารากลับมีความรู้สึกชอบเสี่ยวหุ่ตุ้ยขึ้นมา งานคอนเสิร์ตช่วยเหลือผู้ประสบภัยในปี 1991 นั้น หลิงเฟิงได้นำเสือน้อย 3 คนขึ้นเวที ทั้ง 3 คนได้ร้องเพลง “อ้าย” กับ “ซิงซิงเตอแยฮุ่ย” ฉันรอจนให้รายการนี้มาฉายซ้ำอีกครั้งแล้วเอาม้วนเทปมาอัดเสียงเพลงของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ทำให้นึกขึ้นมาได้ว่ามีครื่งหนึ่ง คุณพ่อได้ไปทำงานต่างจังหวัดแล้วได้ซื้อม้วนเทปของเสี่ยวหู่ตุ้ยกลับมา แต่ตอนนั้นด้วยเหตุที่ฉันยังมีความคิดมองเพลงเหล่านี้ในแง่ไม่ดีเลยเอามัวนเพลงเหล่านี้ยกให้พี่ชายไป แต่นึกได้แล้วรีบไปหาออกมาดู แท้จริงแล้วเป็นอัลบั้ม “เซียวเหยาอิ๋ว”กับ “หนันไหปู้คู” 2 อัลบั้มนี้ ต้องขอขอบคุณคุณพ่อจริงๆ เพราะตอนหลังไปหาซื้ออัลบั้ม “หนันไหปู้คู”นั้นไม่มีขายแล้ว คิดว่าคุณพ่อน่าจะซื้อในช่วงที่ “เฉา .. เพลงที่มาจากไต้หวัน” ชุดนี้ออกมาไม่นานแล้วซื้อมันมา ตอนนั้นได้ฟังในทีวี รู้สึกว่ามันเพราะมากๆ แต่ว่าไม่ได้ชอบถึงขั้นเป็นแฟนคลับของเสี่ยวหุ่เลยทันใด ตอนนี้เมื่อย้อนคิดแล้วยังรู้สึกเสียดายอยู่
ตอนนั้นเมืองหนึ่งที่ซินเจียง ฉันได้ซื้อม้วนเพลงตลับหนึ่ง ก็คือ “อ้าย” ของเสี่ยวหุ่ตุ้ย ตอนนั้นได้ไปห้างที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ได้หยิบเงินที่สะสมแรมปีขึ้นมา ได้ซื้อม้วนหนึ่งที่มีราคากว่า 7.5 หยวน แม้แพงแต่ก็ยังเป็นม้วนก๊อปปี้ ตอนนั้นไม่รู้เรื่องของม้วนเทป ใจที่เดียงสาไม่เคยรู้เลยว่ามีเทปผีเทปเถื่อน แต่เมื่อหยิบม้วนขึ้นมาดูแล้วรู้สึกว่ามันแปลกๆ ชื่อเพลงในม้วนมันดูไม่ชัดเจน แม้เสียงเพลงจะดี ตอนหลังถึงจะหาซื้อม้วนจริงได้ เพิ่งจะรู้ว่าราคาของม้วนจริงมันกว่า 8.9 หยวน ตอนหลังมารู้ว่า “อ้าย” เป็นอัลบั้มที่ 4 ของพวกเขา และแล้วก็คิดหาวิธีที่จะได้ทั้ง 5ชุดมาครอง อัลบั้ม 4 “ซิงซิงเตอแยฮุ่ย “ นั้นได้มาหลังจากชุด “อ้าย” และปกของม้วนนี้จะไม่เหมือนกับปกทั่วๆ ไป ในใจคิดว่าเป็นของปลอมอีกหรือเปล่า แต่เมื่อเปิดออกมาดูแล้ว แท้จริงเนื้อเพลงได้ซ่อนไว้ข้างใน ยังมีรูปสามหนุ่มที่ใส่ชุดขาว ตอนนี้มีอัลบั้มที่ 4 แล้ว ก็อยากจะมีอัลบั้มที่ 3 อีก “หงชิงถิง” ศูนย์การค้าก็ใหญ่เท่านี้เอง ในไปรษณีย์มีร้านขายม้วนเทปเล็กๆ ร้านหนึ่ง ฉันได้ไปดูบ่อยๆ เพื่อจะหาอัลบั้มของเสี่ยวหู่ตุ้ยเท่านั้น มีอยู่วันหนึ่ง ฉันเจออัลบั้ม “หงชิงถิง”จริงๆ ความรู้สึกที่ดีใจอย่างนั้นจนวันนี้ยังไม่ลืมเลย เพราะความคิดในตอนนั้นคิดว่ามันเป็นอัลบั้มที่ทำเมื่อปี 1990 คงจะไม่มีแล้ว
คิดอยู่ตลอดเวลาว่า จะพยายามสะสมอัลบั้มของเสี่ยวหู่ตุ้ยให้ครบทุกชุด แต่สิ่งที่เสียดายคือหลังจากอัลบั้ม “ซิงซิงเตอแยฮุ่ย” แล้ว ไม่นานมีอัลบั้ม “ไจ้เจี่ยน”ออกมา ตอนนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ต ทางทีวีโฆษณาเรื่องพวกนี้น้อยมาก ได้รับข่าวจากนิตยสารว่าเสี่ยวหู่ตุ้ยกำลังจะแยกทางกัน ความทุกข์ใจในตอนนั้นยากจะบรรยาย ไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่เชื่อว่าพวกเขาจะแยกทางกันหรือเปล่า แต่รู้เพียงว่าหน้าปกของอัลบั้มนี้เป็นหน้าปกที่เก่าที่สุดในบรรดาอัลบั้มทั้งหมด สำหรับอัลบั้มเทปต่างๆของพวกเขานั้น รวมทั้งอัลบั้มที่พวกเขาได้ทำหลังจากที่แยกทางกันแล้ว ฉันได้เอากระดาษห่อเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ตอนฟังยังต้องระมัดระวังในการเก็บด้วย ไม่ต้องพูดถึงว่าจะยืมให้กับใครมันไม่มีทางเลย ฉะนั้นเวลาผ่านไปสิบกว่ายี่สิบปีแล้ว พวกเขายังใหม่เหมือนเดิมเลย
ไม่นานได้เห็น “ยอดฮิตBest”กล่องหนึ่ง ในใจสงสัยว่าเป็นของปลอมเปล่า (เป็นเพราะได้อัลบั้มแรกเป็นของปลอม) แต่ก็ได้ซื้อกลับบ้าน นี่เป็นอัลบั้มเพลงยอดฮิตที่ทำใหม่ แนวเพลงนั้น หลายปีแล้วฉันยังจำได้แม่นว่าในเพลง “วันนี้มองฉัน”นั้นมีเสียงกระจกแตกด้วย เนื้อเพลงของอัลบั้มนี้เขียนไว้ข้างใน หลังเนื้อเพลงยังมีประวัติอัลบั้มของเสียวหู่ตุ้ยด้วย ฉันเพิ่งรู้ว่าพวกเขายังมีหนังสือประวัติเล่มหนึ่ง “เสี่ยวหู่ตุ้ยที่นิรันดร์กาล” แถวๆนั้นไม่มีขายเลย ฉะนั้นขณะที่คุณพ่อไปทำงานที่เซี่ยงไฮ้ถามฉันว่าจะเอาอะไร ฉันบอกว่าอยากได้เพียงหนังสือเล่นนี้ สิ่งที่เสียดายคือ ความฝันของฉันไม่เป็นจริง จนมาถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้เลย หนังสือเล่นนั้นจะหาซื้อก็ไม่มีขายแล้ว
ในช่วงเวลาที่ยาวนานช่วงหนึ่ง ในโรงเรียนจะมีการแสดงต่างๆ ก็คือในห้องกลุ่มหนึ่ง 3 คนจะมาเลียนแบบการร้องเพลงท่าเต้นของเสี่ยวหู่ตุ้ย ฉันในตอนนั้นนับว่าเป็นนักเรียนที่สอบได้ไม่ที่หนึ่งก็ที่สองเลยทีเดียว และภาพลักษณ์ของนักเรียนดีเด่นในสมัยนั้น จะต้องเป็นนักเรียนที่ไม่รู้เรื่องของวงการบันเทิง รู้เพียงเรียนหนังสือ การฟังเพลงเสมือนการประพฤติที่ไม่ถูกต้อง ตอนนั้นฉันรู้สึกมันขมขื่นและไม่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง เพลงทั้งหมดของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นฉันร้องได้หมด ไม่ว่าจะเป็นเพลงไหนหรือจะร้องท่อนไหนก็ได้หมด
ครั้งหนึ่งในห้องมีกิจกรรม มีนักเรียนหญิง 2 คนจะร้องเพลง “หูเตียเฟยยา” ตอนนั้นฉันน่าจะกำลังทำอะไรสักอย่าง แล้วดูพวกเขาซ้อมกัน แล้วเนื้อเพลงที่พวกเขาลืมไปนั้น ฉันเองเป็นคนบอกพวกเขา แต่พวกเขาใจยอมที่จะขาดไปหนึ่งคนแต่ไม่ยอมให้ฉันเข้าร่วมกลุ่มเป็น 3 คนให้เหมือนเสี่ยวหู่ตุ้ยเลย เพราะพวกเขาคิดว่าเด็กเรียนไม่ควรมาร้องๆ เต้นๆ อย่างนี้ จำได้ว่าตอนมัธยมปลาย ช่วงบ่ายก่อนจะเรียนนั้นคาบศิลป์จะมีการสอนร้องเพลงหนึ่งเพลง มีครั้งหนึ่งเพลงที่สอนคือ “อ้ายหว่อจิ้วเกินหว่อโจ่ว” ในอัลบั้ม”ซิงซิงเตอแยฮุ่ย” ทุกคนกำลังเขียนเนื้อเพลง เพื่อนร่วมโต๊ะนั้นฉันเป็นคนเขียนเนื้อเพลงให้เขา เพราะฉันคุ้นเคยกับเพลงของเสี่ยวหู่ตุ้ยมากๆ แต่ว่าทุกคนไม่กล้าเชื่อว่าฉันสามารถทำเรื่องนี้ได้ ฉันท้อใจมาก เจ็บปวดใจมากอยากบอกว่า พวกคุณไม่รู้เลยหรือว่าโหย่วเผิงนั้นทั้งเรียนเก่งและร้องเพลงเก่ง