7 พฤษภาคม 2010 โหย่วเผิงยังมีฝันอีกมากมายที่จะไปไขว่คว้า
ก่อนที่จะไปสัมภาษณ์โหย่วเผิงนั้น จิตใจไม่นิ่งเลย เพราะคิดถึงตอนที่จะเผชิญกับหน้าเขา เสมือนได้เผชิญกับวัยหนุ่มสาวของตัวเอง ความทรงจำก็จะหวนกลับไปถึงสมัยปี 80 90 (ปีของไต้หวัน ปัจจุบัน 99) สมัยนั้นยังอยู่ในวัยรุ่น ไร้ความเครียดความกังวน และหลายปีที่ผ่านมานี้ สำหรับหลายคนแล้ว เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย และสำหรับโหย่วเผิงแล้ว วันเวลาได้พริกผันชีวิตของไปไม่น้อย
เหตุเพราะซื่อใส จึงกลายเป็นความคลากสิก
เมื่อเอ่ยถึงเสี่ยวหู่ตุ้ย โหย่วเผิงที่นั่งในกองถ่ายได้ถอนหายใจ บริษัทที่ได้ปั้นพวกเขาขึ้นมานั้นเป็นบริษัทมืออาชีพมากๆ ไม่ว่าจะเป็นช่วงไหนของเสี่ยวหู่ตุ้ย จะตอนเริ่มต้น หรือตอนต่างคนต่างบิน หรือแม้แต่การมารวมตัวใหม่และเพลงต่างๆที่ได้ร้องก็ล้วนได้สานสร้างความผูกพันระหว่างพวกเขากับแฟนๆอย่างลึกซึ้ง และด้วยเหตุนี้เอง คนในปี 70 80 ต่างก็ล้วนได้ร้องเพลงและจดจำเพลงของพวกเขาได้อย่างไม่ลืม แล้วเมื่อมาจนถึงวันนี้ ถึงจะเริ่มมาใคร่ครวญความหมายของเนื้อเพลงและเข้าใจว่ากำลังสื่ออะไร จึงทำให้รู้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วตอนนั้นพวกเขาร้องเพลงเหล่านี้นั้นได้สื่อไรบ้าง
ฉะนั้น ก่อนที่จะมีการวางแผนเชิญพวกเขาสามคนมารวมตัวกันในคือตรุษจีนนั้น ทางทีมงานก็ได้ไปทำการบ้านโดยการเอาเพลงของพวกเขามาเปิดฟัง ทำให้หลายคนกลั้นน้ำไม่ไม่อยู่ และมาถึงคืนวันงาน ก็ยิ่งมีบรรยากาศอย่างนั้นหลายเท่า
“ตอนนั้น พวกเราต่างก็มีหลักการของตัวเอง มีเงินมากมายสามารถไปหาได้แต่ก็ไม่ทำ ตอนนั้นอยู่ที่ไต้หวัน จริงๆแล้วแฟชั่นมากๆคือการแต่งตัวขึ้นเวที ทั้งนักร้องศิลปินต่างก็ล้วนใส่ชุดของตัวเองแวววาวจนแสบตามาก ช่วงที่ดังมากๆคือตอนอยู่ภาคกลางและใต้ แค่ศิลปินคนเดียวคือเดียวสามารถออกหลายๆรายการ ได้เงินเป็นกอบเป็นกำเลย แต่ว่าเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นไม่ได้ไปทำในลักษณะอย่างนี้เลย ทางบริษัทนั้นอยากจะให้เรารักษาภาพลักษณ์ที่ดีไว้ เสี่ยวหู่ตุ้ยเลยกลายเป็นอย่างนี้คือ ร้องเพลงจะดังมากๆ ต่อมาก็แยกทางกันไป ไม่เคยมีประสบการณ์ที่ตกต่ำ ด้วยเหตุนี้เอง สงสัยทำให้เสี่ยวหู่ตุ้ยเป็นคลาสสิก