我在建中的日子 : วันเวลาของผมที่เจี้ยนจง
ปี 1995
MY DAYS IN “JIAN ZHONG”
ปี 1995 เดือน 8 โหย่วเผิงออกหนังสือลักษณะประวัติส่วนตัวเล่มหนึ่งชื่อว่า (วันเวลาของผมที่เจี้ยนจง)บันทึกในสมัยที่เขาอยู่มัธยมประสบการณ์ความรู้สึกตอนที่สอบติดต่อกันปลายปากกาที่ละเอียดและเกลี้ยงเกลาได้นำปัญหาและความยากลำบากในการเรียนเขียนออกมาอย่างมีชีวิตชีวา ให้เพวกเรารู้ว่าแท้จริงแล้วบางครั้งเบื้องหลังศิลปินไม่ได้สดใสสวยงามอย่างที่เราคิด
ซูโหย่วเผิง อายุสิบห้าปี ก็เป็นนักร้องวงเสี่ยวหู่ตุ้ยแล้ว และเขาก็ได้โด่งดังในวงการเพลง ไกวๆหู่ อย่างฉลาด แต่ก็หลีกเลี่ยงความกดดันในการสอบเข้าไม่ได้ การสอบเข้าเจี้ยนจงเป็นการพลิกผลันเปลี่ยนในชีวิตของเขา มัธยมปลายเทอมสอง เขาละเวทีการแสดงอย่างสิ้นเชิง กลับสู่การเรียนอย่างตั้งอกตั้งใจ และได้สอบเข้าคณะช่างกลดั่งใจปรารถนา ถึงแม้ผ่านไปแล้วหลายปีแต่ย้อนกลับไปคิด ในวันเวลาเหล่านี้ส่งเสริมการเติบโตในภายหลัง ซูโหย่วเผิงพูดเช่นนี้บทที่ 1 เช็ดแป้น ได้คะแนน
วันนั้นเป็นตอนบ่ายที่ท้องฟ้ามืดครึ้มจำไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่ได้เข้าเรียน ทุกคนกำลังเล่นบาสอย่างสนุกสนาน ผมแย่งลูกมาจากมือของเพื่อน หมุนตัวหลบ เลี้ยงลูก แล้วชู๊ตออกไป ลูกบาสไปกระทบแป้นหมุนเป็นวงรอบห่วงแล้วตกลงมา ผมโผเข้าไปชู๊ตอีกครั้งโดยทำมุม 45 องศากับเส้นขาว เพราะมันจะเข้าตรงกลางพอดี แล้วสไลด์ตัวออกมา (ซึ่งมันเป็นเทคนิคที่ผมถนัดมาก) หยาดฝนหยดแรกตกลงมากระทบแขนของผม แต่ว่าพวกเราก็ไม่สนใจยังคงเล่นต่อไปแม้ว่าฝนจะตกลงมาหนักแล้ว ซึ่งมันส่งผลให้เราทำคะแนนได้ยาก เพราะทั้งสนามและลูกบาสค่อนข้างลื่นและฝนที่ตกหนักยังมีผลต่อการมองเห็นของพวกเราอีกด้วย เราเป็นพวกเดียวที่ยังคงเล่นบาสที่สนามอยู่ ผมไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองว่าผมเป็นดาราหรือแตกต่างจากคนอื่นยังไงในเวลานั้น เพราะผมถือว่าผมเป็นแค่นักเรียนมัธยมคนหนึ่งที่กำลังเล่นและเรียนอย่างหนัก ผมมักบอกกับตัวเองว่าเราต้องไม่แพ้ หลังจากเล่นเสร็จ พวกเราก็ไปล้างตัวทำความสะอาดร่างกายที่อ่างน้ำแล้วเช็ดตัวด้วยเสื้อยืด หลังจากนั้นจึงแต่งตัวอย่างลวก ๆ แล้วออกเดินไปตามทางเดินอิฐมืด ๆ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับป่าละเมาะ บรรยากาศหลังฝนตกนั้นค่อนข้างเย็น เพราะมีลมพัดอ่อน ๆ
ทุก ๆ คนต้องไปถ่ายรูป เพื่อนำมาใช้ในการสมัครสอบที่กำลังจะมาถึง ผมเองก็ถ่ายเรียบร้อยแล้วเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยทรงผมสั้นมาก ๆ เหมือนกับนักเรียนคนอื่น ๆ บางคนถึงกับโกนหัวเพราะอากาศที่ร้อนและเป็นทรงที่ง่ายดี โดยไม่มีใครสนใจว่าคนอื่นจะมองตนเองว่ายังไง เพราะการสอบสำคัญกว่าเรื่องอื่นใด จากห้องเรียนที่ชั้นสี่ ผมจะต้องผ่านสนามรักบี้ก่อนที่จะไปถึงสนามบาสเก็ตบอลได้ ผู้เล่นรักบี้ซ้อมรวมกันเป็นกลุ่ม ๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ทุก ๆ คนต่างก็พยามยามกันอย่างหนักซึ่งก็รวมถึงผมเองด้วย ก็เลยรีบเดินไปที่สนามบาสให้เร็วที่สุด ถ้าหากตัดสินใจว่าจะอยู่ทบทวนหนังสือหลังเลิกเรียน ผมมักจะกินอาหารที่โรงอาหารเพื่อประหยัดเวลาที่จะต้องออกไปกินข้างนอก ผมมักจะสั่งก๋วยเตี๋ยวเนื้อ และไข่พะโล้ ผมไม่เพิ่มเนื้ออีกเพราะว่าต้องเพิ่มเงินอีกถึง 30 เหรียญแน่ะ หลายคนมักจะกินอาหารในห้องเรียนหรือขณะเดินไปเรียนเพื่อชดเชยเวลากิน ให้กินได้มากที่สุด
มีข่าวลือกันมากว่ามีแมลงสาบหรือพวกแมลงต่าง ๆ ในก๋วยเตี๋ยวซึ่งผมไม่เห็นด้วยแต่ว่ายังไงพวกเราก็จะทำทุกอย่างเพื่อเพิ่มเวลาในการทบทวนตำรา ถ้ามีเด็กผู้ชายที่มีงานอดิเรกเหมือนกันอยู่ในห้องเดียวกัน หลาย ๆ คนพวกเราก็จะพูดคุยกันเรื่องในเกมกีฬาโดยไม่สนใจเวลาที่เสียไปเลย ในสายตาของคนอื่น ๆ พวกเราดูเป็นพวกที่ไม่มีความหวังหรืออนาคตอะไร เวลาถือเป็นสิ่งที่มีค่าเช่นเดียวกันเลือดในกายแต่พวกเรากลับทิ้งมันไปแล้วไปสนใจเรื่องเทคนิคการเล่นบาสแทน
พวกเราจะถูกไล่ที่จากสนามบาสที่สว่างไสวจากกลุ่มนักเรียนที่เรียนพลศึกษาในช่วงกลางคืน นักเรียนบางคนจะอยู่ในห้องเรียนหลังเลิกเรียนเพื่อทบทวนตำราเรียน ซึ่งจะทำให้มองเห็นแสงไฟสลัว ๆ จากห้องเรียนต่าง ๆ เป็นจุด ๆ การหามุมมืด ๆ สักมุมที่สนามเพื่อพักผ่อนและจ้องมองไปยังท้องฟ้า สิ่งเหล่านี้อาจจะทำให้จิตใจเราว่างเปล่าได้ ความรู้สึกเหมือนถูกแย่งลูกบอลไป เพราะเทคนิคไม่ดี หรือจบเกมส์ แต่เวลาหนังสือหรือการสอบไม่มีวันหายไปไหน แม้ในตอนนี้ขณะที่กำลังจ้องไปในท้องฟ้าก็ตาม ก้าวไปเผชิญหน้ากับมัน “การสอบ ครอบครัว เพื่อนฝูง แฟน ๆ และโลกใบนี้” “เสือเชื่อง ๆ” ตัวนี้จะไม่มีวันทำให้ทุกคนผิดหวัง