ส่วนผมเนื่องจากรับปากคุณพ่อไว้แล้วว่าจะไม่ให้กระทบผลการเรียน แต่งานทีวีเป็นงานที่แบ่งกันทำจะมาปรับเปลี่ยนเพราะผมคนเดียวเสมอๆ ได้อย่างไร ดังนั้นทางสถานีเริ่มมองว่าเด็กใหม่อย่างผมค่อนข้างเรื่องมากยังเคยคิดจะทิ้งผม พวกเขาบอกผมว่าเรียนหนักอย่างนี้ เกรงว่างานที่สถานีจะส่งผลกระทบต่อการเรียนของผม ถามผมว่าอยากจะทิ้งงานทีวีเพื่อตั้งใจเรียนหนังสือหรือเปล่า ตอนนั้นผมยืนกรานว่าไม่ทิ้งเด็ดขาดพวกเขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้อย่างเดียวก็คือจัดตารางงานให้ผมเป็นวันเสาร์หรือวันอาทิตย์และเป็นเพราะทีมงานต้องปรับเข้าหาผมมาแล้วจึงทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีหลังจากนั้นผมจึงยอมเหนื่อยหน่อยแต่ไม่กล้าเรียกร้องอะไรกับพวกเขาอีกและด้วยสภาพที่ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสอบเข้า"เจี้ยนจง"เพื่อเรียนชั้นมัธยมปลาย
>>ช่วงแรกที่เสี่ยวหู่ตุ้ยเข้าวงการเป็นแค่ผู้ช่วยพิธีกรรายการโทรทัศน์แต่ตอนหลังบริษัทวางโปรแกรมให้พวกเราเรียนร้องเพลงและเต้นรำ กระทั่งหลังจากที่พวกเราออกอัลบั้มชุดแรก"ซิงผิงกั่วเล่อเหวียน"(สวนสนุกแอ็ปเปิ้ลสีเขียว) พวกเราจึงเริ่มเป็นที่สนใจของผู้คนและเริ่มได้รับความนิยมจากวัยรุ่น จากตรงนั้นจึงทำให้พวกเราแต่ละคนก็มีชื่อเล่นเป็นของตัวเอง ผมมีชื่อเล่นว่า"ไกวไกวหู่"(เสือเชื่อง) หมายความว่าผมเรียนหนังสือดี นิสัยดี เป็นเด็กดีเด็กตัวอย่างในสายตาผู้คน
>>เนื่องจากต้องทำงานด้วย ประกอบกับ เจี้ยนจงเป็นโรงเรียนมัธยมระดับหัวกะทิของเมืองเดิมที่ผมเรียนม.ต้น ผลการเรียนอยู่ชั้นแนวหน้าแต่พอมาเรียนที่นี่ผลการเรียนกลับกลายเป็นธรรมดาเพื่อนในโรงเรียนก็ไม่ค่อยยอมรับผม บางคนมักจะใช้คำพูดที่เสียดสีและประชดประชันผม เช่น เป็นดารามันเก่งนักหรือ, ไปเป็นดาราก็ไม่ต้องมาเรียนหนังสือแล้ว อีกพวกหนึ่งก็เอาแต่แข่งขันทำคะแนนให้ได้เกรดดีๆ ซึ่งพวกนี้จะดูถูกนักเรียนอย่างพวกผมที่ได้คะแนนไม่ดีและในตอนนั้นผมเกลียดคนทุจริตที่สุดซึ่งพอไม่เข้าใจในเวลาเรียนผมก็จะตากหน้าไปถามเพื่อนคนอื่น สิ่งที่ได้รับกลับเป็นสายตาเย็นชาที่น่าเศร้าใจที่สุดก็คือคนภายนอกคิดว่าผมเรียนหนังสือเก่งจึงคาดหวังกับผมไว้สูงมาก ทางบ้านก็ตั้งความหวังกับผลการเรียนของผมไว้สูง ด้วยแรงกดดันรอบด้านทำให้ผมต้องติดสินใจครั้งใหญ่ต่อหน้าที่การงานของตัวเอง ตอนสอบเอ็นทรานซ์ชั้น ม.6 นั่นคือหยุดทำงาน 1 ปี เพื่อตั้งใจเรียนหนังสืออย่างเดียวนั่นเอง
>> ได้จีบดาวโรงเรียน
>>ตอนนั้นถึงแม้ผมจะต้องเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน แต่การตัดสินใจอำลาวงการชั่วคราว 1 ปีเป็นเรื่องที่ลำบากใจมากเนื่องจากหากตอนนั้นผมต้องหยุดทำงานชั่วคราว เท่ากับว่าวง "เสี่ยวหู่ตุ้ย"ที่กำลังเริ่มต้นไปได้สวยก็ต้องหยุดพักไปด้วย ทำให้ ฉีหลงและจื้อเผิงก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ผมเองก็รู้สึกละอายใจ โชคดีที่พวกเขาเข้าใจผม บริษัทฯเองก็สนับสนุนการตัดสินใจของผมและช่วงนั้นทางบริษัทยังจัดงานให้พวกเราแยกย้ายกันไปทำแบบเอกเทศ เช่น เล่นละครทีวี จะได้ไม่เสียเวลา ซึ่งทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยสามารถตั้งหน้าตั้งตามุ่งมั่นกับการเรียนเพียงอย่างเดียว
>>ทว่าการตั้งใจเรียนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะระดับชื่อเสียงและความนิยมของ เสี่ยวหู่ตุ้ยในสมัยนั้นทำให้การตัดสินใจของผมกลายเป็นเป้าหมายการวิจารณ์ของผู้คน ต่อให้ผมพักงานชั่้วคราวแต่แรงกดดันก็ไม่ได้น้อยลงไปเลย ดังนั้นตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้รับจดหมายจากแฟนเพลง นับตั้งแต่เข้าวงการมาผมรู้สึกไม่สบายใจพวกเขาให้กำลังใจผมมาตลอด ทางด้านการเรียนวินาทีนั้นเป็นบ่อเกิดแรงกดดันมหาศาลเพราะคนเราเมื่อไม่คาดหวังย่อมไม่ผิดหวังในสภาพที่ไม่อยากให้พวกเขาผิดหวัง แรงกดดันของผมยิ่งเพิ่มทวีมากขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศอย่างนี้ในใจผมจึงมีความคิดเพียงอย่างเดียวนั่นคือ มีแต่ชนะ แพ้ไม่ได้ ผมจึงคิดว่าถ้าสอบเข้ามหาลัยไม่ได้ไม่ขอเป็นคน
>>ช่วงที่เรียนชั้น ม.6 นอกจากจะเป็นจุดหักเหที่สำคัญของการงานและการเรียนของผม ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิตนั่นคือ "รักครั้งแรก" การได้รู้จักกับเธอความจริงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอบเข้ามหาลัยเช่นกัน ถ้าไม่เป็นเพราะต้องไปเรียนติวที่สถาบันกวดวิชาผมคงไม่รู้จักกับเธอ เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่ใสซื่อเรียบร้อย เธอนั่งตรงข้ามผมทุกวัน ถึงแม้พวกเราจะเรียนคนละโรงเรียนแต่ผมกับเพื่อนก็รู้ว่าเธอเป็นดาวโรงเรียนมีคนมาจีบตลอดเวลา แต่ไม่รู้เป็นไงเธอกลับมาชอบผม ตอนแรกพอเรียนกวดวิชากับเพื่อนเสร็จผมจะชวนเธอทานขนมหรือไม่ก็เดินเล่น แล้วพวกเราก็เริ่มคบหากันถึงแม้พวกเราจะเป็นแฟนกันแต่ตอนนั้นพวกเราเรียนหนักมาก ทำให้ไม่ค่อยมีโอกาสออกไปเที่ยวข้างนอกด้วยกันกลับกันมีโอกาสเจอหน้าที่สถาบันกวดวิชามากกว่า
>>และตอนที่ผมเข้าวงการเมื่ออายุ 15 มีโอกาสได้รับช่อดอกไม้จากแฟนเพลงบ่อยมากแต่เรื่องมอบดอกไม้ให้คนอื่นนี่สิเป็นครั้งแรกของผม และเธอก็คือคนที่ผมมอบดอกไม้ให้เป็นครั้งแรก คิดถึงบรรยากาศตอนนั้นแม้ว่าไม่ถึงกับโรแมนติกแต่ก็เป็นอะไรที่ผมลืมไม่ลง คนเขาพูดว่ารักครั้งแรกไม่มีวันลืมเรื่องนี้ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง