ผู้เขียน หัวข้อ: นิตยสารซื่อเจี้ย 世界 2015-05  (อ่าน 8672 ครั้ง)

prattana

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4549
    • ดูรายละเอียด
นิตยสารซื่อเจี้ย 世界 2015-05
« เมื่อ: มิถุนายน 09, 2015, 02:29:24 PM »
ที่มา https://www.facebook.com/media/set/?set=a.883098605061967.1073742222.260376864000814&type=3

TRAVEL STAR ลมที่มีชื่อว่าซูโหย่วเผิงพัดผ่านผิวน้ำไม่ทิ้งร่องรอย
TRAVEL FEATURE รอบๆ ทะเลอีเจียน

ภาพกระเป๋าเดินทางที่ดูสบายๆ มองเห็นหน้าต่างบานใหญ่ที่ดูโปร่งสบาย @ใจของซูโหย่วเผิงบินไปแล้ว ดูเหมือนว่าอีกด้านของกำแพงจะเป็นโลกกว้าง บนเที่ยวบินระหว่างประเทศลำหนึ่ง ที่จอดอยู่บนรันเวย์รอคอยการเดินทางของเขา @นิตยสารซื่อเจี้ย 世界 วางแผงเดือนพฤษภาคม @ลมที่มีชื่อว่าซูโหย่วเผิงพัดผ่านผิวน้ำไม่ทิ้งร่องรอย สั่งซื้อที่เถาเป่า สองเล่มขึ้นไป รับเซตเครื่องสำอางค์จากวัตสันมูลค่า 168 หยวน


 

prattana

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 4549
    • ดูรายละเอียด
Re: 2015.5.11 นิตยสารซื่อเจี้ย 世界
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มิถุนายน 09, 2015, 02:33:43 PM »


นิตยสารซื่อเจี้ย 世界 ลมที่มีชื่อว่าซูโหย่วเผิงพัดผ่านผิวน้ที่ทะเลอีเจียนำไม่ทิ้งร่องรอย
ภาพถือกระเป๋าเดินทางที่ดูสบายๆ ยืนอยู่ข้างหน้าต่างบานใหญ่ที่ดูโปร่งสบาย ใจของซูโหย่วเผิงบินไปแล้ว ดูเหมือนว่าอีกด้านของกำแพงจะเป็นโลกกว้าง บนเที่ยวบินระหว่างประเทศลำหนึ่ง ที่จอดอยู่บนรันเวย์รอคอยการเดินทางของเขา "ถ่ายโจ่วเอ่อเสร็จ ผมจะไปพักผ่อนต่างประเทศซักระยะหนึ่ง เพื่อให้ลืมเรื่องนี้"

aueyeua

  • Global Moderator
  • Newbie
  • *****
  • กระทู้: 40
    • ดูรายละเอียด
Re: 2015.5.11 นิตยสารซื่อเจี้ย 世界
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2015, 06:17:27 AM »
กราบค่ะเฮีย มานอนอาบแดด ฟังเสียงทะเล ณ ชายหาดไหนในเมืองไทยก็ได้ นะๆๆๆ น้องจะพาไปเลี้ยงข้าวอร่อยๆ 3 มื้อเลยเอ้า!  :D

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
นิตยสารซื่อเจี้ย 世界 2015-05
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2015, 01:55:28 PM »
 

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
นิตยสารซื่อเจี้ย 世界 2015-05
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2015, 01:56:06 PM »
 

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: นิตยสาร 世界2015-05
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2015, 01:56:30 PM »


《世界》

อยู่ในน้ำทะเลเหมือนอยู่ในครรภ์มารดา

   ตอนที่ติดต่อให้ซูโหย่วเผิงมาเป็นผู้กำกับ ในใจของเขานั้นไม่กล้าตอบรับเลยจริงๆ ช่วงที่ดัดแปลงบทกันนั้น ต้องทำงานจนตีสามตีสี่ถึงได้เข้านอน และพอดีว่าตอนนั้นอัดรายการจงกั๋วต๋าเหรินซิ่ว China Got Talent (中国达人秀) China Got Talent  ร่วมกับจ้าวเวย ซูโหย่วเผิงก็เลยขอให้เธอช่วยดูบทให้ “จ้าวเวยดีมากๆ อ่านนิยายจบภายในคืนนั้น แล้วก็พูดกับผมหนึ่งประโยค ‘ดัดแปลงยากมาก’  เมื่อผู้กำกับภาพยนตร์พบกับความยากลำบากที่เหนือความคาดหมาย และเขาก็ไม่เคยคิดจะถ่ายทำภาพยนตร์รักวัยรุ่น “กว่าครึ่งเรื่อง ในนิยาย ได้บรรยายถึงความเป็นจริงและความลำบากของมนุษย์ ถ้าบอกเล่าแต่เรื่องความรักทั้งเรื่อง ผมก็รู้สึกว่าน่าเสียดายมาก” หลังจากที่ภาพยนตร์เข้าฉาย ซูโหย่วเผิงก็รีบบินตรงไปที่เกาะบาหลีเพื่อพักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ทันที ไปปล่อยตัวปล่อยใจตามสบายแสวงหาความสงบ

   “ถ้าหลายปีก่อนหน้านี้ มีคนให้ผมไปเกาะบาหลี ผมยอมตัดใจจ่ายเงินไม่ได้จริงๆ จนกระทั่งวันหนึ่งถึงคิดได้ว่า เมื่อแรกเลยนั้น ตัวเองตั้งใจทำงานมากขนาดนั้นก็เพื่อแลกกับอิสรภาพ”  ที่บาหลีสิ่งเขาชอบที่สุดก็คือแสงแดดที่เปล่งประกาย ถ้าบอกว่าตอนช่วงอายุยังน้อยนั้น เป็นดั่งช่วงมืดครึ้มในช่วงวัยรุ่น เมื่อผ่านอะไรไปมากมาย วันคืนเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนเป็นวันที่อากาศสดใสเอง  “ทุกๆปีผมจะต้องไปทะเล ถ้าจะดำน้ำก็จะเลือกไปที่โบราเคย์ เพราะว่าผมดูไม่เหมือนกับคนท้องถิ่นที่ถือสัปปะรดหรือนมปั่นมะม่วง  ก็เลยสามารถนอนหลับบนชายหาดได้อย่างไร้ความกังวลใดๆ”

ซูโหย่วเผิงมีเหตุผลที่ชอบน้ำ เขาบอกว่าน้ำสามารถเป็นตัวแทนได้หลายอย่าง โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นนามธรรม “เช่นว่า คนๆหนึ่ง เมื่ออยู่ในน้ำทะเล ก็เหมือนดั่งกลับไปอยู่ในครรภ์มารดา”  วันที่อยู่ที่เกาะบาหลีนั้น ในใจของเขายังคงคิดถึงสัปดาห์สุดท้ายถ่ายทำภาพยนตร์โจ่วเอ่อ บางครั้งตอนที่หลับตาอยู่ท่ามกลางคลื่นที่ถาโถมนั้น ก็คิดว่าตัวเองยังถ่ายทำภาพยนตร์ อยู่ที่ชายทะเลที่เซี๊ยะเหมิน “เรื่องๆนี้เกิดขึ้นที่เมืองเล็กๆที่ยากจน และไม่ค่อยพัฒนา  ตอนที่เลือกโลเคชั่น ผมคิดว่าจะต้องไปหาแถวชายทะเล ตอนแรกกำหนดว่าอยู่ที่หมู่เกาะโจวซาน แต่ปรากฏว่าภาพยนตร์เรื่องThe Continent ได้ไปถ่ายที่นั่นก่อนแล้ว ประกอบกับที่โจวซานก็ไม่ได้เหมาะกับสิ่งที่จินตนาการไว้ขนาดนั้น แล้วก็ได้พบกับคนที่ชำนาญภูมิประเทศในพื้นที่มณฑณฝูเจี้ยน เขาขับรถพาพวกเราไปที่เกาะตงซาน”

ในสายตาของซูโหย่วเผิงนั้น เกาะตงซานค่อนข้างแปลก “บอกตามตรง ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยกับทุกคนที่มา ที่นั่นมีอาหารทะเลที่ราคาถูกและอร่อย น้ำทะเลก็ไม่เลว ยังมีสระน้ำที่เหมาะแก่การว่ายน้ำ เส้นชายฝั่งก็ทอดยาว ดังนั้นภาพก็เลยออกมาสวยมาก” ตอนที่เปิดกล้องเป็นช่วงเดือนสิงหาคมที่กำลังเข้าสู่ฤดูร้อน ภาพที่ออกมาก็เลยไกลไปจากความโรแมนติกแบบ “สายลม แสงแดด หาดทราย หนุ่มสาว” ที่จินตนาการไว้ไปไกล เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นลมแดด เขาดื่มฮั่วเซียงเจิ้งชี่ (藿香正气) ก็เหมือนกับดื่มเหล้าดีกรีต่ำ ต้องโพกผ้าขนหนุ่มชุบน้ำไว้บนหัวตลอด มักจะชวนให้ทีมงานดื่มน้ำเย็นๆด้วยกัน ในที่ที่มีอาหารทะเลมากขนาดนั้น แต่เพราะเขาถือศีลไม่ฆ่าสัตว์ เขาก็เลยได้แต่กินอาหารแช่แข็ง “ทุกครั้ง ผมจะต้องถามก่อนว่า ยังเป็นๆอยู่มั๊ย ก็จะมีทีมงานตกหลุมพรางตอบว่า แน่นอนสิ ผมก็บอกว่าดีเลย งั้นผมไม่กิน”

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: นิตยสาร 世界2015-05
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2015, 01:57:33 PM »


การท่องเที่ยวไม่ใช่คำสอนของศาสนาพุทธ

   “ชื่อเสียง ฐานะ รายได้ มีกี่คนแล้วที่ต้องทุกข์ทนเพื่อสิ่งเหล่านี้ หลายปีมานี้ผมก็ปล่อยวางได้เยอะแล้ว” เขาเคยบอกอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่าก่อนที่จะถ่ายภาพยนตร์ เขาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามานานแล้ว ในอนาคตจะยังเป็นนักแสดง เป็นผู้กำกับต่ออยู่หรือไม่นั้น ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว “บางครั้งเหล่านักแสดงที่อายุยังน้อยไม่เข้าใจว่าทำไมให้พวกเขาเข้าไปที่ฉากก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำจริงๆ ไม่ใช่เพื่อให้คุณไปเล่นกันสนุกสนาน แต่เพื่อให้เข้าใจสถานที่จริง และโชคดีที่พวกเขาแสดงได้กลมกลืนกันดี และแสดงได้ดีมาก”  ในภาพยนตร์โจ่วเอ่อนั้น เขาก็จะถูกฉากที่เหล่าวัยรุ่นแสดงดึงดูดใจ มักจะซาบซึ้งกับฉากที่แสดงผ่านจอมอนิเตอร์ ในตอนนั้นอาจอาจลดหูฟังลง เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา แล้วตะโกนว่า “ผ่าน” “พวกเราใช้หอพักมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมาเป็นโลเคชั่น เตียงเหล็กสองชั้น พัดลมติดเพดานที่กำลังหมุนอย่างช้าๆเหนือโต๊ะเขียนหนังสือที่ทำจากไม้ ผมดีใจที่ตัวเองไม่ได้แสดง แต่เอาเข้าจริงๆแล้วเมื่อผมเดินเข้าไปอธิบายบทให้กับเหล่านักแสดง กลับรู้สึกผ่อนคลาย และคุ้นเคยมาก”  เขาคิดถึงช่วงเวลาที่กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยไต้หวันอยู่หน่อยๆ ถ้าหากว่าตอนนี้กลับถึงบ้าน เขาอยากไปสวนสาธารณะชายทะเลขี่จักรยานบนทางจักรยาน ขี่วนไปวนมาสักหลายๆรอบ

   “ตอนที่ผมอายุ 20 ปี วุ่นวายกับการทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด ต้องลำบากตรากตรำทุกวัน ถึงตอนนี้ก็ยังมี “โรคเก่าตกค้างเหลืออยู่” ถ้าคุณถามผมว่า มีวันหนึ่งไม่มีชื่อเสียงแล้ว ถูกผู้คนลืมไปแล้ว สำหรับผมแล้วนี่ไม่เป็นปัญหาซักนิด ที่จริงแล้วผมก็หวังว่าเมื่อถึงวันนั้น จะสามารถนอนอยู่บนชายหาดอย่างไร้กังวลใดๆ ไม่ต้องคอยกังวลว่าคนอื่นจะดูออกว่านี่คือซูโหย่วเผิง ถ่ายรูปของเขาไปลงเหว่ยป๋อ” เขาบอกว่ารอกิจกรรมโปรโมทภาพยนตร์โจ่วเอ่อเสร็จสิ้น เขาจะกลับไต้หวันไปปฏิบัติวิปัสสนาทำจิตใจให้นิ่ง

   ในช่วงสิบวันที่ไปปฏิบัติวิปัสสนาที่อินเดียนั้น(ปี 2013) เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถรับรู้ได้ว่าทำอย่างไรถึงเป็น “ลมที่พัดผิวทะเลสาบไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย”  “นี่คือไร้ตัวตน คือปล่อยให้มันผ่านมาแล้วผ่านไป เพียงแค่ได้สัมผัส ก็จะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วการปล่อยวาง ช่างง่ายดายอะไรเช่นนี้ ช่วงเวลานั้นสิ่งที่ผมสามารถรู้สึกได้มากที่สุดก็คือความสำนึกและความตระหนัก” ช่วงที่วิปัสสนาอยู่นั้น ต้องสงบนิ่ง สำรวมวาจา สภาพที่นั่งนิ่งสำรวมวาจาเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับเขา เขากินข้าวเพียงสองมื้อต่อวัน  รู้จักพอประมาณ เดินทางสายกลาง “วัตถุดิบสดใหม่มาก จัดวางได้ดี ในข้าวก็จะมีการผสมถั่วเขียว ข้าวสาลี มันฝรั่งลงไปด้วย การกินเจและนั่งสมาธิ ทำให้กิเลสน้อยลงมาก เตียงของที่นั่นแคบมาก เสื้อผ้าต้องซักเอง ก่อนไปก็เอาไปเปลี่ยนด้วยหลายตัว ปรากฏว่ากลับไปพร้อมกับเสื้อผ้าที่ตัวเองซักสะอาดหมดแล้ว”

   เขาไม่ได้เดินทางไปแสวงบุญทุกปี ในใจของเขานั้น การท่องเที่ยวแสวงบุญตามที่ต่างๆนั้นไม่ใช่การปฏิบัติธรรม “นับถือศาสนาพุทธ ไม่ใช่ต้องทำตัวเป็นนักท่องเที่ยว สิ่งเก่าแก่ที่พวกเราเห็นกันนั้น เป็นเพียงแค่ทางผ่านของคนที่มาก่อนเท่านั้น  ถ้าพวกเขาไม่ได้ผ่านมาก่อน ก็คือยังไปไม่ถึงนั่นเอง อย่างไรก็ตามการท่องเที่ยวไม่ใช่คำสอนของศาสนาพุทธ ไม่ใช่การไถ่ถอนความรู้สึกบาปในจิตใจ” ที่ข้อมือของซูโหย่วเผิงมีข้อความเป็นภาษาสันสฤตแถวหนึ่ง เมื่อสองปีก่อนเขาบอกกับพระอาจารย์ว่าอยากปล่อยวาง ก็เลยได้ข้อความที่ไม่รู้ความหมายนั้นมา “พยายามมาแล้วหลายปี ที่จริงมันก็มีประโยชน์อยู่นะ”

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: นิตยสาร 世界2015-05
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: มิถุนายน 10, 2015, 01:58:24 PM »


Q&A

T:ทุกครั้งที่ไปเยือนสถานที่หนึ่ง คุณชอบเก็บสะสมของที่ระลึกอะไรมากที่สุด?

S:ผมชอบสะสมแก้วสตาร์บัคของแต่ละเมือง แต่ว่าไม่ได้ตั้งใจจะไปซื้อนะ ถ้าผ่านก็ซื้อ ถ้าไม่ผ่านก็ไม่ไปตามหา ที่มีเยอะที่สุดก็คือในประเทศ มันบันทึกช่วงวันเวลาที่ผมทำงานหนักในแต่ละที่ กาแฟทุกแก้วที่ดื่มไปนั้นก็เพื่อปลุกตัวเอง ทำสิ่งที่ออกใหม่ให้ใหญ่ๆ ทำให้ชื่อเสียงของเมืองเล็กน้อยลง สำหรับผมแล้วมันค่อยๆทำลายเสน่ห์และความน่าสนใจที่มีอยู่แล้วของเมืองไปทีละน้อย

  T:ปัจจุบันแนวคิดหยุดพักหนึ่งปีนั้น มีอิทธิพลต่อหลายๆคน คุณคิดว่าการหยุดเพื่อท่องเที่ยวหนึ่งปี สามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือ ? (职场间隔年 คือการพักผ่อนหนึ่งปีหลังเรียนจบ เพื่อหาแรงบันดาลใจหรือเป็นการหยุดพักเพื่อเริ่มต้นใหม่)

S:ตอนนั้นผมก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน  แบกภาระการเรียนของไกวไกวหู่ พักการเรียนไปเที่ยวคนเดียว เมื่อออกไปจริงๆแล้วถึงพบว่า ถนนมีหลายเส้น ไม่ใช่มีเพียงเส้นแคบๆเส้นเดียวที่สามารถเดินไปได้ ถ้าสำรวจค่านิยมในตอนนั้น สิ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุดในยุคนั้นน่าจะเป็นเรื่องดนตรี เมื่อนั่งฟังหลายคนพูดกันบนรถที่ท่องเที่ยว ถึงรู้ว่าค่านิยมในการฟังเพลงของคนตะวันตกกับตะวันออกไม่เหมือนกัน คนหนุ่มสาวหลายคนในยุโรปพักการเรียนเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อเดินทางสำรวจโลก ประสบการณ์เหล่านี้สามารถเพิ่มคะแนนให้เขาได้ตอนนำเสนอในมหาวิทยาลัย  ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วผมก็กลับมาร้องเพลงแสดงละครต่อ แต่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

T:บนเหว่ยป๋อของคุณมีประโยคหนึ่งเป็นคำพูดของ Khyentse Norbu “ถ้าหากไม่ใช่เจ้าชายของอินเดีย ทุกวันนี้ฉันก็คงยังไม่เข้าใจว่าที่จริงแล้วฉันเป็นคนพเนจรคนหนึ่ง” คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนพเนจรมั๊ย ?

S:ที่จริงแล้วช่วงเวลาหลายปีตั้งแต่จากไต้หวันมาอยู่แผ่นดินใหญ่ ก็มีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น ตอนนั้นโดดเดี่ยวมาก ยิ่งเพิ่งผ่านช่วงที่เกิดความสับสนในใจ ตอนนี้ผมเวลาที่ผมใช้ในไต้หวันและแผ่นดินใหญ่ก็ไม่ค่อยต่างกันมากนัก บางครั้งก็ชิน บางครั้งก็แปลกที่

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: นิตยสารซื่อเจี้ย 世界 2015-05
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: มิถุนายน 16, 2015, 01:21:06 PM »
 

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: นิตยสารซื่อเจี้ย 世界 2015-05
« ตอบกลับ #9 เมื่อ: มิถุนายน 27, 2016, 01:17:37 AM »
《世界》

อยู่ในน้ำทะเลเหมือนอยู่ในครรภ์มารดา

   ตอนที่ติดต่อให้ซูโหย่วเผิงมาเป็นผู้กำกับ ในใจของเขานั้นไม่กล้าตอบรับเลยจริงๆ ช่วงที่ดัดแปลงบทกันนั้น ต้องทำงานจนตีสามตีสี่ถึงได้เข้านอน และพอดีว่าตอนนั้นอัดรายการจงกั๋วต๋าเหรินซิ่ว China Got Talent (中国达人秀) China Got Talent  ร่วมกับจ้าวเวย ซูโหย่วเผิงก็เลยขอให้เธอช่วยดูบทให้ “จ้าวเวยดีมากๆ อ่านนิยายจบภายในคืนนั้น แล้วก็พูดกับผมหนึ่งประโยค ‘ดัดแปลงยากมาก’  เมื่อผู้กำกับภาพยนตร์พบกับความยากลำบากที่เหนือความคาดหมาย และเขาก็ไม่เคยคิดจะถ่ายทำภาพยนตร์รักวัยรุ่น “กว่าครึ่งเรื่อง ในนิยาย ได้บรรยายถึงความเป็นจริงและความลำบากของมนุษย์ ถ้าบอกเล่าแต่เรื่องความรักทั้งเรื่อง ผมก็รู้สึกว่าน่าเสียดายมาก” หลังจากที่ภาพยนตร์เข้าฉาย ซูโหย่วเผิงก็รีบบินตรงไปที่เกาะบาหลีเพื่อพักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ทันที ไปปล่อยตัวปล่อยใจตามสบายแสวงหาความสงบ

   “ถ้าหลายปีก่อนหน้านี้ มีคนให้ผมไปเกาะบาหลี ผมยอมตัดใจจ่ายเงินไม่ได้จริงๆ จนกระทั่งวันหนึ่งถึงคิดได้ว่า เมื่อแรกเลยนั้น ตัวเองตั้งใจทำงานมากขนาดนั้นก็เพื่อแลกกับอิสรภาพ”  ที่บาหลีสิ่งเขาชอบที่สุดก็คือแสงแดดที่เปล่งประกาย ถ้าบอกว่าตอนช่วงอายุยังน้อยนั้น เป็นดั่งช่วงมืดครึ้มในช่วงวัยรุ่น เมื่อผ่านอะไรไปมากมาย วันคืนเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนเป็นวันที่อากาศสดใสเอง  “ทุกๆปีผมจะต้องไปทะเล ถ้าจะดำน้ำก็จะเลือกไปที่โบราเคย์ เพราะว่าผมดูไม่เหมือนกับคนท้องถิ่นที่ถือสัปปะรดหรือนมปั่นมะม่วง  ก็เลยสามารถนอนหลับบนชายหาดได้อย่างไร้ความกังวลใดๆ”

ซูโหย่วเผิงมีเหตุผลที่ชอบน้ำ เขาบอกว่าน้ำสามารถเป็นตัวแทนได้หลายอย่าง โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นนามธรรม “เช่นว่า คนๆหนึ่ง เมื่ออยู่ในน้ำทะเล ก็เหมือนดั่งกลับไปอยู่ในครรภ์มารดา”  วันที่อยู่ที่เกาะบาหลีนั้น ในใจของเขายังคงคิดถึงสัปดาห์สุดท้ายถ่ายทำภาพยนตร์โจ่วเอ่อ บางครั้งตอนที่หลับตาอยู่ท่ามกลางคลื่นที่ถาโถมนั้น ก็คิดว่าตัวเองยังถ่ายทำภาพยนตร์ อยู่ที่ชายทะเลที่เซี๊ยะเหมิน “เรื่องๆนี้เกิดขึ้นที่เมืองเล็กๆที่ยากจน และไม่ค่อยพัฒนา  ตอนที่เลือกโลเคชั่น ผมคิดว่าจะต้องไปหาแถวชายทะเล ตอนแรกกำหนดว่าอยู่ที่หมู่เกาะโจวซาน แต่ปรากฏว่าภาพยนตร์เรื่องThe Continent ได้ไปถ่ายที่นั่นก่อนแล้ว ประกอบกับที่โจวซานก็ไม่ได้เหมาะกับสิ่งที่จินตนาการไว้ขนาดนั้น แล้วก็ได้พบกับคนที่ชำนาญภูมิประเทศในพื้นที่มณฑณฝูเจี้ยน เขาขับรถพาพวกเราไปที่เกาะตงซาน”

ในสายตาของซูโหย่วเผิงนั้น เกาะตงซานค่อนข้างแปลก “บอกตามตรง ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยกับทุกคนที่มา ที่นั่นมีอาหารทะเลที่ราคาถูกและอร่อย น้ำทะเลก็ไม่เลว ยังมีสระน้ำที่เหมาะแก่การว่ายน้ำ เส้นชายฝั่งก็ทอดยาว ดังนั้นภาพก็เลยออกมาสวยมาก” ตอนที่เปิดกล้องเป็นช่วงเดือนสิงหาคมที่กำลังเข้าสู่ฤดูร้อน ภาพที่ออกมาก็เลยไกลไปจากความโรแมนติกแบบ “สายลม แสงแดด หาดทราย หนุ่มสาว” ที่จินตนาการไว้ไปไกล เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นลมแดด เขาดื่มฮั่วเซียงเจิ้งชี่ (藿香正气) ก็เหมือนกับดื่มเหล้าดีกรีต่ำ ต้องโพกผ้าขนหนุ่มชุบน้ำไว้บนหัวตลอด มักจะชวนให้ทีมงานดื่มน้ำเย็นๆด้วยกัน ในที่ที่มีอาหารทะเลมากขนาดนั้น แต่เพราะเขาถือศีลไม่ฆ่าสัตว์ เขาก็เลยได้แต่กินอาหารแช่แข็ง “ทุกครั้ง ผมจะต้องถามก่อนว่า ยังเป็นๆอยู่มั๊ย ก็จะมีทีมงานตกหลุมพรางตอบว่า แน่นอนสิ ผมก็บอกว่าดีเลย งั้นผมไม่กิน”

การท่องเที่ยวไม่ใช่คำสอนของศาสนาพุทธ

   “ชื่อเสียง ฐานะ รายได้ มีกี่คนแล้วที่ต้องทุกข์ทนเพื่อสิ่งเหล่านี้ หลายปีมานี้ผมก็ปล่อยวางได้เยอะแล้ว” เขาเคยบอกอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่าก่อนที่จะถ่ายภาพยนตร์ เขาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามานานแล้ว ในอนาคตจะยังเป็นนักแสดง เป็นผู้กำกับต่ออยู่หรือไม่นั้น ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว “บางครั้งเหล่านักแสดงที่อายุยังน้อยไม่เข้าใจว่าทำไมให้พวกเขาเข้าไปที่ฉากก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำจริงๆ ไม่ใช่เพื่อให้คุณไปเล่นกันสนุกสนาน แต่เพื่อให้เข้าใจสถานที่จริง และโชคดีที่พวกเขาแสดงได้กลมกลืนกันดี และแสดงได้ดีมาก”  ในภาพยนตร์โจ่วเอ่อนั้น เขาก็จะถูกฉากที่เหล่าวัยรุ่นแสดงดึงดูดใจ มักจะซาบซึ้งกับฉากที่แสดงผ่านจอมอนิเตอร์ ในตอนนั้นอาจอาจลดหูฟังลง เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา แล้วตะโกนว่า “ผ่าน” “พวกเราใช้หอพักมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมาเป็นโลเคชั่น เตียงเหล็กสองชั้น พัดลมติดเพดานที่กำลังหมุนอย่างช้าๆเหนือโต๊ะเขียนหนังสือที่ทำจากไม้ ผมดีใจที่ตัวเองไม่ได้แสดง แต่เอาเข้าจริงๆแล้วเมื่อผมเดินเข้าไปอธิบายบทให้กับเหล่านักแสดง กลับรู้สึกผ่อนคลาย และคุ้นเคยมาก”  เขาคิดถึงช่วงเวลาที่กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยไต้หวันอยู่หน่อยๆ ถ้าหากว่าตอนนี้กลับถึงบ้าน เขาอยากไปสวนสาธารณะชายทะเลขี่จักรยานบนทางจักรยาน ขี่วนไปวนมาสักหลายๆรอบ

   “ตอนที่ผมอายุ 20 ปี วุ่นวายกับการทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด ต้องลำบากตรากตรำทุกวัน ถึงตอนนี้ก็ยังมี “โรคเก่าตกค้างเหลืออยู่” ถ้าคุณถามผมว่า มีวันหนึ่งไม่มีชื่อเสียงแล้ว ถูกผู้คนลืมไปแล้ว สำหรับผมแล้วนี่ไม่เป็นปัญหาซักนิด ที่จริงแล้วผมก็หวังว่าเมื่อถึงวันนั้น จะสามารถนอนอยู่บนชายหาดอย่างไร้กังวลใดๆ ไม่ต้องคอยกังวลว่าคนอื่นจะดูออกว่านี่คือซูโหย่วเผิง ถ่ายรูปของเขาไปลงเหว่ยป๋อ” เขาบอกว่ารอกิจกรรมโปรโมทภาพยนตร์โจ่วเอ่อเสร็จสิ้น เขาจะกลับไต้หวันไปปฏิบัติวิปัสสนาทำจิตใจให้นิ่ง

   ในช่วงสิบวันที่ไปปฏิบัติวิปัสสนาที่อินเดียนั้น(ปี 2013) เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถรับรู้ได้ว่าทำอย่างไรถึงเป็น “ลมที่พัดผิวทะเลสาบไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย”  “นี่คือไร้ตัวตน คือปล่อยให้มันผ่านมาแล้วผ่านไป เพียงแค่ได้สัมผัส ก็จะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วการปล่อยวาง ช่างง่ายดายอะไรเช่นนี้ ช่วงเวลานั้นสิ่งที่ผมสามารถรู้สึกได้มากที่สุดก็คือความสำนึกและความตระหนัก” ช่วงที่วิปัสสนาอยู่นั้น ต้องสงบนิ่ง สำรวมวาจา สภาพที่นั่งนิ่งสำรวมวาจาเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับเขา เขากินข้าวเพียงสองมื้อต่อวัน  รู้จักพอประมาณ เดินทางสายกลาง “วัตถุดิบสดใหม่มาก จัดวางได้ดี ในข้าวก็จะมีการผสมถั่วเขียว ข้าวสาลี มันฝรั่งลงไปด้วย การกินเจและนั่งสมาธิ ทำให้กิเลสน้อยลงมาก เตียงของที่นั่นแคบมาก เสื้อผ้าต้องซักเอง ก่อนไปก็เอาไปเปลี่ยนด้วยหลายตัว ปรากฏว่ากลับไปพร้อมกับเสื้อผ้าที่ตัวเองซักสะอาดหมดแล้ว”

Q&A

T:ทุกครั้งที่ไปเยือนสถานที่หนึ่ง คุณชอบเก็บสะสมของที่ระลึกอะไรมากที่สุด?

S:ผมชอบสะสมแก้วสตาร์บัคของแต่ละเมือง แต่ว่าไม่ได้ตั้งใจจะไปซื้อนะ ถ้าผ่านก็ซื้อ ถ้าไม่ผ่านก็ไม่ไปตามหา ที่มีเยอะที่สุดก็คือในประเทศ มันบันทึกช่วงวันเวลาที่ผมทำงานหนักในแต่ละที่ กาแฟทุกแก้วที่ดื่มไปนั้นก็เพื่อปลุกตัวเอง ทำสิ่งที่ออกใหม่ให้ใหญ่ๆ ทำให้ชื่อเสียงของเมืองเล็กน้อยลง สำหรับผมแล้วมันค่อยๆทำลายเสน่ห์และความน่าสนใจที่มีอยู่แล้วของเมืองไปทีละน้อย

  T:ปัจจุบันแนวคิดหยุดพักหนึ่งปีนั้น มีอิทธิพลต่อหลายๆคน คุณคิดว่าการหยุดเพื่อท่องเที่ยวหนึ่งปี สามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือ ? (职场间隔年 คือการพักผ่อนหนึ่งปีหลังเรียนจบ เพื่อหาแรงบันดาลใจหรือเป็นการหยุดพักเพื่อเริ่มต้นใหม่)

S:ตอนนั้นผมก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน  แบกภาระการเรียนของไกวไกวหู่ พักการเรียนไปเที่ยวคนเดียว เมื่อออกไปจริงๆแล้วถึงพบว่า ถนนมีหลายเส้น ไม่ใช่มีเพียงเส้นแคบๆเส้นเดียวที่สามารถเดินไปได้ ถ้าสำรวจค่านิยมในตอนนั้น สิ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุดในยุคนั้นน่าจะเป็นเรื่องดนตรี เมื่อนั่งฟังหลายคนพูดกันบนรถที่ท่องเที่ยว ถึงรู้ว่าค่านิยมในการฟังเพลงของคนตะวันตกกับตะวันออกไม่เหมือนกัน คนหนุ่มสาวหลายคนในยุโรปพักการเรียนเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อเดินทางสำรวจโลก ประสบการณ์เหล่านี้สามารถเพิ่มคะแนนให้เขาได้ตอนนำเสนอในมหาวิทยาลัย  ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วผมก็กลับมาร้องเพลงแสดงละครต่อ แต่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

T:บนเหว่ยป๋อของคุณมีประโยคหนึ่งเป็นคำพูดของ Khyentse Norbu “ถ้าหากไม่ใช่เจ้าชายของอินเดีย ทุกวันนี้ฉันก็คงยังไม่เข้าใจว่าที่จริงแล้วฉันเป็นคนพเนจรคนหนึ่ง” คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนพเนจรมั๊ย ?

S:ที่จริงแล้วช่วงเวลาหลายปีตั้งแต่จากไต้หวันมาอยู่แผ่นดินใหญ่ ก็มีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น ตอนนั้นโดดเดี่ยวมาก ยิ่งเพิ่งผ่านช่วงที่เกิดความสับสนในใจ ตอนนี้ผมเวลาที่ผมใช้ในไต้หวันและแผ่นดินใหญ่ก็ไม่ค่อยต่างกันมากนัก บางครั้งก็ชิน บางครั้งก็แปลกที่

   เขาไม่ได้เดินทางไปแสวงบุญทุกปี ในใจของเขานั้น การท่องเที่ยวแสวงบุญตามที่ต่างๆนั้นไม่ใช่การปฏิบัติธรรม “นับถือศาสนาพุทธ ไม่ใช่ต้องทำตัวเป็นนักท่องเที่ยว สิ่งเก่าแก่ที่พวกเราเห็นกันนั้น เป็นเพียงแค่ทางผ่านของคนที่มาก่อนเท่านั้น  ถ้าพวกเขาไม่ได้ผ่านมาก่อน ก็คือยังไปไม่ถึงนั่นเอง อย่างไรก็ตามการท่องเที่ยวไม่ใช่คำสอนของศาสนาพุทธ ไม่ใช่การไถ่ถอนความรู้สึกบาปในจิตใจ” ที่ข้อมือของซูโหย่วเผิงมีข้อความเป็นภาษาสันสฤตแถวหนึ่ง เมื่อสองปีก่อนเขาบอกกับพระอาจารย์ว่าอยากปล่อยวาง ก็เลยได้ข้อความที่ไม่รู้ความหมายนั้นมา “พยายามมาแล้วหลายปี ที่จริงมันก็มีประโยชน์อยู่นะ”

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: นิตยสารซื่อเจี้ย 世界 2015-05
« ตอบกลับ #10 เมื่อ: มิถุนายน 27, 2016, 01:31:08 AM »
Alecsu magazines_2... >世界2015-05

http://vdisk.weibo.com/s/vbwtKH4zSKxE?archive_ref=F0iDAc0tpm9CJ&archive_path=%2F%E4%B8%96%E7%95%8C2015-05&category_id=0

https://www.facebook.com/baansuyoupeng/media_set?set=a.895318027245709.1073741880.100003025613301&type=3&uploaded=13

อยู่ในน้ำทะเลเหมือนอยู่ในครรภ์มารดา

   ตอนที่ติดต่อให้ซูโหย่วเผิงมาเป็นผู้กำกับ ในใจของเขานั้นไม่กล้าตอบรับเลยจริงๆ ช่วงที่ดัดแปลงบทกันนั้น ต้องทำงานจนตีสามตีสี่ถึงได้เข้านอน และพอดีว่าตอนนั้นอัดรายการจงกั๋วต๋าเหรินซิ่ว China Got Talent (中国达人秀) China Got Talent  ร่วมกับจ้าวเวย ซูโหย่วเผิงก็เลยขอให้เธอช่วยดูบทให้ “จ้าวเวยดีมากๆ อ่านนิยายจบภายในคืนนั้น แล้วก็พูดกับผมหนึ่งประโยค ‘ดัดแปลงยากมาก’  เมื่อผู้กำกับภาพยนตร์พบกับความยากลำบากที่เหนือความคาดหมาย และเขาก็ไม่เคยคิดจะถ่ายทำภาพยนตร์รักวัยรุ่น “กว่าครึ่งเรื่อง ในนิยาย ได้บรรยายถึงความเป็นจริงและความลำบากของมนุษย์ ถ้าบอกเล่าแต่เรื่องความรักทั้งเรื่อง ผมก็รู้สึกว่าน่าเสียดายมาก” หลังจากที่ภาพยนตร์เข้าฉาย ซูโหย่วเผิงก็รีบบินตรงไปที่เกาะบาหลีเพื่อพักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ทันที ไปปล่อยตัวปล่อยใจตามสบายแสวงหาความสงบ

   “ถ้าหลายปีก่อนหน้านี้ มีคนให้ผมไปเกาะบาหลี ผมยอมตัดใจจ่ายเงินไม่ได้จริงๆ จนกระทั่งวันหนึ่งถึงคิดได้ว่า เมื่อแรกเลยนั้น ตัวเองตั้งใจทำงานมากขนาดนั้นก็เพื่อแลกกับอิสรภาพ”  ที่บาหลีสิ่งเขาชอบที่สุดก็คือแสงแดดที่เปล่งประกาย ถ้าบอกว่าตอนช่วงอายุยังน้อยนั้น เป็นดั่งช่วงมืดครึ้มในช่วงวัยรุ่น เมื่อผ่านอะไรไปมากมาย วันคืนเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนเป็นวันที่อากาศสดใสเอง  “ทุกๆปีผมจะต้องไปทะเล ถ้าจะดำน้ำก็จะเลือกไปที่โบราเคย์ เพราะว่าผมดูไม่เหมือนกับคนท้องถิ่นที่ถือสัปปะรดหรือนมปั่นมะม่วง  ก็เลยสามารถนอนหลับบนชายหาดได้อย่างไร้ความกังวลใดๆ”

ซูโหย่วเผิงมีเหตุผลที่ชอบน้ำ เขาบอกว่าน้ำสามารถเป็นตัวแทนได้หลายอย่าง โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นนามธรรม “เช่นว่า คนๆหนึ่ง เมื่ออยู่ในน้ำทะเล ก็เหมือนดั่งกลับไปอยู่ในครรภ์มารดา”  วันที่อยู่ที่เกาะบาหลีนั้น ในใจของเขายังคงคิดถึงสัปดาห์สุดท้ายถ่ายทำภาพยนตร์โจ่วเอ่อ บางครั้งตอนที่หลับตาอยู่ท่ามกลางคลื่นที่ถาโถมนั้น ก็คิดว่าตัวเองยังถ่ายทำภาพยนตร์ อยู่ที่ชายทะเลที่เซี๊ยะเหมิน “เรื่องๆนี้เกิดขึ้นที่เมืองเล็กๆที่ยากจน และไม่ค่อยพัฒนา  ตอนที่เลือกโลเคชั่น ผมคิดว่าจะต้องไปหาแถวชายทะเล ตอนแรกกำหนดว่าอยู่ที่หมู่เกาะโจวซาน แต่ปรากฏว่าภาพยนตร์เรื่องThe Continent ได้ไปถ่ายที่นั่นก่อนแล้ว ประกอบกับที่โจวซานก็ไม่ได้เหมาะกับสิ่งที่จินตนาการไว้ขนาดนั้น แล้วก็ได้พบกับคนที่ชำนาญภูมิประเทศในพื้นที่มณฑณฝูเจี้ยน เขาขับรถพาพวกเราไปที่เกาะตงซาน”

ในสายตาของซูโหย่วเผิงนั้น เกาะตงซานค่อนข้างแปลก “บอกตามตรง ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยกับทุกคนที่มา ที่นั่นมีอาหารทะเลที่ราคาถูกและอร่อย น้ำทะเลก็ไม่เลว ยังมีสระน้ำที่เหมาะแก่การว่ายน้ำ เส้นชายฝั่งก็ทอดยาว ดังนั้นภาพก็เลยออกมาสวยมาก” ตอนที่เปิดกล้องเป็นช่วงเดือนสิงหาคมที่กำลังเข้าสู่ฤดูร้อน ภาพที่ออกมาก็เลยไกลไปจากความโรแมนติกแบบ “สายลม แสงแดด หาดทราย หนุ่มสาว” ที่จินตนาการไว้ไปไกล เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นลมแดด เขาดื่มฮั่วเซียงเจิ้งชี่ (藿香正气) ก็เหมือนกับดื่มเหล้าดีกรีต่ำ ต้องโพกผ้าขนหนุ่มชุบน้ำไว้บนหัวตลอด มักจะชวนให้ทีมงานดื่มน้ำเย็นๆด้วยกัน ในที่ที่มีอาหารทะเลมากขนาดนั้น แต่เพราะเขาถือศีลไม่ฆ่าสัตว์ เขาก็เลยได้แต่กินอาหารแช่แข็ง “ทุกครั้ง ผมจะต้องถามก่อนว่า ยังเป็นๆอยู่มั๊ย ก็จะมีทีมงานตกหลุมพรางตอบว่า แน่นอนสิ ผมก็บอกว่าดีเลย งั้นผมไม่กิน”

การท่องเที่ยวไม่ใช่คำสอนของศาสนาพุทธ

   “ชื่อเสียง ฐานะ รายได้ มีกี่คนแล้วที่ต้องทุกข์ทนเพื่อสิ่งเหล่านี้ หลายปีมานี้ผมก็ปล่อยวางได้เยอะแล้ว” เขาเคยบอกอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่าก่อนที่จะถ่ายภาพยนตร์ เขาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามานานแล้ว ในอนาคตจะยังเป็นนักแสดง เป็นผู้กำกับต่ออยู่หรือไม่นั้น ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว “บางครั้งเหล่านักแสดงที่อายุยังน้อยไม่เข้าใจว่าทำไมให้พวกเขาเข้าไปที่ฉากก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำจริงๆ ไม่ใช่เพื่อให้คุณไปเล่นกันสนุกสนาน แต่เพื่อให้เข้าใจสถานที่จริง และโชคดีที่พวกเขาแสดงได้กลมกลืนกันดี และแสดงได้ดีมาก”  ในภาพยนตร์โจ่วเอ่อนั้น เขาก็จะถูกฉากที่เหล่าวัยรุ่นแสดงดึงดูดใจ มักจะซาบซึ้งกับฉากที่แสดงผ่านจอมอนิเตอร์ ในตอนนั้นอาจอาจลดหูฟังลง เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา แล้วตะโกนว่า “ผ่าน” “พวกเราใช้หอพักมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมาเป็นโลเคชั่น เตียงเหล็กสองชั้น พัดลมติดเพดานที่กำลังหมุนอย่างช้าๆเหนือโต๊ะเขียนหนังสือที่ทำจากไม้ ผมดีใจที่ตัวเองไม่ได้แสดง แต่เอาเข้าจริงๆแล้วเมื่อผมเดินเข้าไปอธิบายบทให้กับเหล่านักแสดง กลับรู้สึกผ่อนคลาย และคุ้นเคยมาก”  เขาคิดถึงช่วงเวลาที่กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยไต้หวันอยู่หน่อยๆ ถ้าหากว่าตอนนี้กลับถึงบ้าน เขาอยากไปสวนสาธารณะชายทะเลขี่จักรยานบนทางจักรยาน ขี่วนไปวนมาสักหลายๆรอบ

   “ตอนที่ผมอายุ 20 ปี วุ่นวายกับการทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด ต้องลำบากตรากตรำทุกวัน ถึงตอนนี้ก็ยังมี “โรคเก่าตกค้างเหลืออยู่” ถ้าคุณถามผมว่า มีวันหนึ่งไม่มีชื่อเสียงแล้ว ถูกผู้คนลืมไปแล้ว สำหรับผมแล้วนี่ไม่เป็นปัญหาซักนิด ที่จริงแล้วผมก็หวังว่าเมื่อถึงวันนั้น จะสามารถนอนอยู่บนชายหาดอย่างไร้กังวลใดๆ ไม่ต้องคอยกังวลว่าคนอื่นจะดูออกว่านี่คือซูโหย่วเผิง ถ่ายรูปของเขาไปลงเหว่ยป๋อ” เขาบอกว่ารอกิจกรรมโปรโมทภาพยนตร์โจ่วเอ่อเสร็จสิ้น เขาจะกลับไต้หวันไปปฏิบัติวิปัสสนาทำจิตใจให้นิ่ง

   ในช่วงสิบวันที่ไปปฏิบัติวิปัสสนาที่อินเดียนั้น(ปี 2013) เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถรับรู้ได้ว่าทำอย่างไรถึงเป็น “ลมที่พัดผิวทะเลสาบไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย”  “นี่คือไร้ตัวตน คือปล่อยให้มันผ่านมาแล้วผ่านไป เพียงแค่ได้สัมผัส ก็จะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วการปล่อยวาง ช่างง่ายดายอะไรเช่นนี้ ช่วงเวลานั้นสิ่งที่ผมสามารถรู้สึกได้มากที่สุดก็คือความสำนึกและความตระหนัก” ช่วงที่วิปัสสนาอยู่นั้น ต้องสงบนิ่ง สำรวมวาจา สภาพที่นั่งนิ่งสำรวมวาจาเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับเขา เขากินข้าวเพียงสองมื้อต่อวัน  รู้จักพอประมาณ เดินทางสายกลาง “วัตถุดิบสดใหม่มาก จัดวางได้ดี ในข้าวก็จะมีการผสมถั่วเขียว ข้าวสาลี มันฝรั่งลงไปด้วย การกินเจและนั่งสมาธิ ทำให้กิเลสน้อยลงมาก เตียงของที่นั่นแคบมาก เสื้อผ้าต้องซักเอง ก่อนไปก็เอาไปเปลี่ยนด้วยหลายตัว ปรากฏว่ากลับไปพร้อมกับเสื้อผ้าที่ตัวเองซักสะอาดหมดแล้ว”

Q&A

T:ทุกครั้งที่ไปเยือนสถานที่หนึ่ง คุณชอบเก็บสะสมของที่ระลึกอะไรมากที่สุด?

S:ผมชอบสะสมแก้วสตาร์บัคของแต่ละเมือง แต่ว่าไม่ได้ตั้งใจจะไปซื้อนะ ถ้าผ่านก็ซื้อ ถ้าไม่ผ่านก็ไม่ไปตามหา ที่มีเยอะที่สุดก็คือในประเทศ มันบันทึกช่วงวันเวลาที่ผมทำงานหนักในแต่ละที่ กาแฟทุกแก้วที่ดื่มไปนั้นก็เพื่อปลุกตัวเอง ทำสิ่งที่ออกใหม่ให้ใหญ่ๆ ทำให้ชื่อเสียงของเมืองเล็กน้อยลง สำหรับผมแล้วมันค่อยๆทำลายเสน่ห์และความน่าสนใจที่มีอยู่แล้วของเมืองไปทีละน้อย

  T:ปัจจุบันแนวคิดหยุดพักหนึ่งปีนั้น มีอิทธิพลต่อหลายๆคน คุณคิดว่าการหยุดเพื่อท่องเที่ยวหนึ่งปี สามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือ ? (职场间隔年 คือการพักผ่อนหนึ่งปีหลังเรียนจบ เพื่อหาแรงบันดาลใจหรือเป็นการหยุดพักเพื่อเริ่มต้นใหม่)

S:ตอนนั้นผมก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน  แบกภาระการเรียนของไกวไกวหู่ พักการเรียนไปเที่ยวคนเดียว เมื่อออกไปจริงๆแล้วถึงพบว่า ถนนมีหลายเส้น ไม่ใช่มีเพียงเส้นแคบๆเส้นเดียวที่สามารถเดินไปได้ ถ้าสำรวจค่านิยมในตอนนั้น สิ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุดในยุคนั้นน่าจะเป็นเรื่องดนตรี เมื่อนั่งฟังหลายคนพูดกันบนรถที่ท่องเที่ยว ถึงรู้ว่าค่านิยมในการฟังเพลงของคนตะวันตกกับตะวันออกไม่เหมือนกัน คนหนุ่มสาวหลายคนในยุโรปพักการเรียนเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อเดินทางสำรวจโลก ประสบการณ์เหล่านี้สามารถเพิ่มคะแนนให้เขาได้ตอนนำเสนอในมหาวิทยาลัย  ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วผมก็กลับมาร้องเพลงแสดงละครต่อ แต่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

T:บนเหว่ยป๋อของคุณมีประโยคหนึ่งเป็นคำพูดของ Khyentse Norbu “ถ้าหากไม่ใช่เจ้าชายของอินเดีย ทุกวันนี้ฉันก็คงยังไม่เข้าใจว่าที่จริงแล้วฉันเป็นคนพเนจรคนหนึ่ง” คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนพเนจรมั๊ย ?

S:ที่จริงแล้วช่วงเวลาหลายปีตั้งแต่จากไต้หวันมาอยู่แผ่นดินใหญ่ ก็มีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น ตอนนั้นโดดเดี่ยวมาก ยิ่งเพิ่งผ่านช่วงที่เกิดความสับสนในใจ ตอนนี้ผมเวลาที่ผมใช้ในไต้หวันและแผ่นดินใหญ่ก็ไม่ค่อยต่างกันมากนัก บางครั้งก็ชิน บางครั้งก็แปลกที่

   เขาไม่ได้เดินทางไปแสวงบุญทุกปี ในใจของเขานั้น การท่องเที่ยวแสวงบุญตามที่ต่างๆนั้นไม่ใช่การปฏิบัติธรรม “นับถือศาสนาพุทธ ไม่ใช่ต้องทำตัวเป็นนักท่องเที่ยว สิ่งเก่าแก่ที่พวกเราเห็นกันนั้น เป็นเพียงแค่ทางผ่านของคนที่มาก่อนเท่านั้น  ถ้าพวกเขาไม่ได้ผ่านมาก่อน ก็คือยังไปไม่ถึงนั่นเอง อย่างไรก็ตามการท่องเที่ยวไม่ใช่คำสอนของศาสนาพุทธ ไม่ใช่การไถ่ถอนความรู้สึกบาปในจิตใจ” ที่ข้อมือของซูโหย่วเผิงมีข้อความเป็นภาษาสันสฤตแถวหนึ่ง เมื่อสองปีก่อนเขาบอกกับพระอาจารย์ว่าอยากปล่อยวาง ก็เลยได้ข้อความที่ไม่รู้ความหมายนั้นมา “พยายามมาแล้วหลายปี ที่จริงมันก็มีประโยชน์อยู่นะ”

世界2015-05
http://vdisk.weibo.com/s/vbwtKH4zSKxE?archive_ref=F0iDAc0tpm9CJ&archive_path=%2F%E4%B8%96%E7%95%8C2015-05&category_id=0














Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: นิตยสารซื่อเจี้ย 世界 2015-05
« ตอบกลับ #11 เมื่อ: มิถุนายน 30, 2016, 10:56:17 AM »
世界2015-05
http://vdisk.weibo.com/s/vbwtKH4zSKxE?archive_ref=F0iDAc0tpm9CJ&archive_path=%2F%E4%B8%96%E7%95%8C2015-05&category_id=0














อยู่ในน้ำทะเลเหมือนอยู่ในครรภ์มารดา

   ตอนที่ติดต่อให้ซูโหย่วเผิงมาเป็นผู้กำกับ ในใจของเขานั้นไม่กล้าตอบรับเลยจริงๆ ช่วงที่ดัดแปลงบทกันนั้น ต้องทำงานจนตีสามตีสี่ถึงได้เข้านอน และพอดีว่าตอนนั้นอัดรายการจงกั๋วต๋าเหรินซิ่ว China Got Talent (中国达人秀) China Got Talent  ร่วมกับจ้าวเวย ซูโหย่วเผิงก็เลยขอให้เธอช่วยดูบทให้ “จ้าวเวยดีมากๆ อ่านนิยายจบภายในคืนนั้น แล้วก็พูดกับผมหนึ่งประโยค ‘ดัดแปลงยากมาก’  เมื่อผู้กำกับภาพยนตร์พบกับความยากลำบากที่เหนือความคาดหมาย และเขาก็ไม่เคยคิดจะถ่ายทำภาพยนตร์รักวัยรุ่น “กว่าครึ่งเรื่อง ในนิยาย ได้บรรยายถึงความเป็นจริงและความลำบากของมนุษย์ ถ้าบอกเล่าแต่เรื่องความรักทั้งเรื่อง ผมก็รู้สึกว่าน่าเสียดายมาก” หลังจากที่ภาพยนตร์เข้าฉาย ซูโหย่วเผิงก็รีบบินตรงไปที่เกาะบาหลีเพื่อพักผ่อนเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ทันที ไปปล่อยตัวปล่อยใจตามสบายแสวงหาความสงบ

   “ถ้าหลายปีก่อนหน้านี้ มีคนให้ผมไปเกาะบาหลี ผมยอมตัดใจจ่ายเงินไม่ได้จริงๆ จนกระทั่งวันหนึ่งถึงคิดได้ว่า เมื่อแรกเลยนั้น ตัวเองตั้งใจทำงานมากขนาดนั้นก็เพื่อแลกกับอิสรภาพ”  ที่บาหลีสิ่งเขาชอบที่สุดก็คือแสงแดดที่เปล่งประกาย ถ้าบอกว่าตอนช่วงอายุยังน้อยนั้น เป็นดั่งช่วงมืดครึ้มในช่วงวัยรุ่น เมื่อผ่านอะไรไปมากมาย วันคืนเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนเป็นวันที่อากาศสดใสเอง  “ทุกๆปีผมจะต้องไปทะเล ถ้าจะดำน้ำก็จะเลือกไปที่โบราเคย์ เพราะว่าผมดูไม่เหมือนกับคนท้องถิ่นที่ถือสัปปะรดหรือนมปั่นมะม่วง  ก็เลยสามารถนอนหลับบนชายหาดได้อย่างไร้ความกังวลใดๆ”

ซูโหย่วเผิงมีเหตุผลที่ชอบน้ำ เขาบอกว่าน้ำสามารถเป็นตัวแทนได้หลายอย่าง โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นนามธรรม “เช่นว่า คนๆหนึ่ง เมื่ออยู่ในน้ำทะเล ก็เหมือนดั่งกลับไปอยู่ในครรภ์มารดา”  วันที่อยู่ที่เกาะบาหลีนั้น ในใจของเขายังคงคิดถึงสัปดาห์สุดท้ายถ่ายทำภาพยนตร์โจ่วเอ่อ บางครั้งตอนที่หลับตาอยู่ท่ามกลางคลื่นที่ถาโถมนั้น ก็คิดว่าตัวเองยังถ่ายทำภาพยนตร์ อยู่ที่ชายทะเลที่เซี๊ยะเหมิน “เรื่องๆนี้เกิดขึ้นที่เมืองเล็กๆที่ยากจน และไม่ค่อยพัฒนา  ตอนที่เลือกโลเคชั่น ผมคิดว่าจะต้องไปหาแถวชายทะเล ตอนแรกกำหนดว่าอยู่ที่หมู่เกาะโจวซาน แต่ปรากฏว่าภาพยนตร์เรื่องThe Continent ได้ไปถ่ายที่นั่นก่อนแล้ว ประกอบกับที่โจวซานก็ไม่ได้เหมาะกับสิ่งที่จินตนาการไว้ขนาดนั้น แล้วก็ได้พบกับคนที่ชำนาญภูมิประเทศในพื้นที่มณฑณฝูเจี้ยน เขาขับรถพาพวกเราไปที่เกาะตงซาน”

ในสายตาของซูโหย่วเผิงนั้น เกาะตงซานค่อนข้างแปลก “บอกตามตรง ผมค่อนข้างจะเห็นด้วยกับทุกคนที่มา ที่นั่นมีอาหารทะเลที่ราคาถูกและอร่อย น้ำทะเลก็ไม่เลว ยังมีสระน้ำที่เหมาะแก่การว่ายน้ำ เส้นชายฝั่งก็ทอดยาว ดังนั้นภาพก็เลยออกมาสวยมาก” ตอนที่เปิดกล้องเป็นช่วงเดือนสิงหาคมที่กำลังเข้าสู่ฤดูร้อน ภาพที่ออกมาก็เลยไกลไปจากความโรแมนติกแบบ “สายลม แสงแดด หาดทราย หนุ่มสาว” ที่จินตนาการไว้ไปไกล เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นลมแดด เขาดื่มฮั่วเซียงเจิ้งชี่ (藿香正气) ก็เหมือนกับดื่มเหล้าดีกรีต่ำ ต้องโพกผ้าขนหนุ่มชุบน้ำไว้บนหัวตลอด มักจะชวนให้ทีมงานดื่มน้ำเย็นๆด้วยกัน ในที่ที่มีอาหารทะเลมากขนาดนั้น แต่เพราะเขาถือศีลไม่ฆ่าสัตว์ เขาก็เลยได้แต่กินอาหารแช่แข็ง “ทุกครั้ง ผมจะต้องถามก่อนว่า ยังเป็นๆอยู่มั๊ย ก็จะมีทีมงานตกหลุมพรางตอบว่า แน่นอนสิ ผมก็บอกว่าดีเลย งั้นผมไม่กิน”

การท่องเที่ยวไม่ใช่คำสอนของศาสนาพุทธ

   “ชื่อเสียง ฐานะ รายได้ มีกี่คนแล้วที่ต้องทุกข์ทนเพื่อสิ่งเหล่านี้ หลายปีมานี้ผมก็ปล่อยวางได้เยอะแล้ว” เขาเคยบอกอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่าก่อนที่จะถ่ายภาพยนตร์ เขาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามานานแล้ว ในอนาคตจะยังเป็นนักแสดง เป็นผู้กำกับต่ออยู่หรือไม่นั้น ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว “บางครั้งเหล่านักแสดงที่อายุยังน้อยไม่เข้าใจว่าทำไมให้พวกเขาเข้าไปที่ฉากก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำจริงๆ ไม่ใช่เพื่อให้คุณไปเล่นกันสนุกสนาน แต่เพื่อให้เข้าใจสถานที่จริง และโชคดีที่พวกเขาแสดงได้กลมกลืนกันดี และแสดงได้ดีมาก”  ในภาพยนตร์โจ่วเอ่อนั้น เขาก็จะถูกฉากที่เหล่าวัยรุ่นแสดงดึงดูดใจ มักจะซาบซึ้งกับฉากที่แสดงผ่านจอมอนิเตอร์ ในตอนนั้นอาจอาจลดหูฟังลง เช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา แล้วตะโกนว่า “ผ่าน” “พวกเราใช้หอพักมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งมาเป็นโลเคชั่น เตียงเหล็กสองชั้น พัดลมติดเพดานที่กำลังหมุนอย่างช้าๆเหนือโต๊ะเขียนหนังสือที่ทำจากไม้ ผมดีใจที่ตัวเองไม่ได้แสดง แต่เอาเข้าจริงๆแล้วเมื่อผมเดินเข้าไปอธิบายบทให้กับเหล่านักแสดง กลับรู้สึกผ่อนคลาย และคุ้นเคยมาก”  เขาคิดถึงช่วงเวลาที่กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยไต้หวันอยู่หน่อยๆ ถ้าหากว่าตอนนี้กลับถึงบ้าน เขาอยากไปสวนสาธารณะชายทะเลขี่จักรยานบนทางจักรยาน ขี่วนไปวนมาสักหลายๆรอบ

   “ตอนที่ผมอายุ 20 ปี วุ่นวายกับการทำผลงานออกมาให้ดีที่สุด ต้องลำบากตรากตรำทุกวัน ถึงตอนนี้ก็ยังมี “โรคเก่าตกค้างเหลืออยู่” ถ้าคุณถามผมว่า มีวันหนึ่งไม่มีชื่อเสียงแล้ว ถูกผู้คนลืมไปแล้ว สำหรับผมแล้วนี่ไม่เป็นปัญหาซักนิด ที่จริงแล้วผมก็หวังว่าเมื่อถึงวันนั้น จะสามารถนอนอยู่บนชายหาดอย่างไร้กังวลใดๆ ไม่ต้องคอยกังวลว่าคนอื่นจะดูออกว่านี่คือซูโหย่วเผิง ถ่ายรูปของเขาไปลงเหว่ยป๋อ” เขาบอกว่ารอกิจกรรมโปรโมทภาพยนตร์โจ่วเอ่อเสร็จสิ้น เขาจะกลับไต้หวันไปปฏิบัติวิปัสสนาทำจิตใจให้นิ่ง

   ในช่วงสิบวันที่ไปปฏิบัติวิปัสสนาที่อินเดียนั้น(ปี 2013) เป็นครั้งแรกที่เขาสามารถรับรู้ได้ว่าทำอย่างไรถึงเป็น “ลมที่พัดผิวทะเลสาบไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย”  “นี่คือไร้ตัวตน คือปล่อยให้มันผ่านมาแล้วผ่านไป เพียงแค่ได้สัมผัส ก็จะรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วการปล่อยวาง ช่างง่ายดายอะไรเช่นนี้ ช่วงเวลานั้นสิ่งที่ผมสามารถรู้สึกได้มากที่สุดก็คือความสำนึกและความตระหนัก” ช่วงที่วิปัสสนาอยู่นั้น ต้องสงบนิ่ง สำรวมวาจา สภาพที่นั่งนิ่งสำรวมวาจาเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับเขา เขากินข้าวเพียงสองมื้อต่อวัน  รู้จักพอประมาณ เดินทางสายกลาง “วัตถุดิบสดใหม่มาก จัดวางได้ดี ในข้าวก็จะมีการผสมถั่วเขียว ข้าวสาลี มันฝรั่งลงไปด้วย การกินเจและนั่งสมาธิ ทำให้กิเลสน้อยลงมาก เตียงของที่นั่นแคบมาก เสื้อผ้าต้องซักเอง ก่อนไปก็เอาไปเปลี่ยนด้วยหลายตัว ปรากฏว่ากลับไปพร้อมกับเสื้อผ้าที่ตัวเองซักสะอาดหมดแล้ว”

Q&A

T:ทุกครั้งที่ไปเยือนสถานที่หนึ่ง คุณชอบเก็บสะสมของที่ระลึกอะไรมากที่สุด?

S:ผมชอบสะสมแก้วสตาร์บัคของแต่ละเมือง แต่ว่าไม่ได้ตั้งใจจะไปซื้อนะ ถ้าผ่านก็ซื้อ ถ้าไม่ผ่านก็ไม่ไปตามหา ที่มีเยอะที่สุดก็คือในประเทศ มันบันทึกช่วงวันเวลาที่ผมทำงานหนักในแต่ละที่ กาแฟทุกแก้วที่ดื่มไปนั้นก็เพื่อปลุกตัวเอง ทำสิ่งที่ออกใหม่ให้ใหญ่ๆ ทำให้ชื่อเสียงของเมืองเล็กน้อยลง สำหรับผมแล้วมันค่อยๆทำลายเสน่ห์และความน่าสนใจที่มีอยู่แล้วของเมืองไปทีละน้อย

  T:ปัจจุบันแนวคิดหยุดพักหนึ่งปีนั้น มีอิทธิพลต่อหลายๆคน คุณคิดว่าการหยุดเพื่อท่องเที่ยวหนึ่งปี สามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือ ? (职场间隔年 คือการพักผ่อนหนึ่งปีหลังเรียนจบ เพื่อหาแรงบันดาลใจหรือเป็นการหยุดพักเพื่อเริ่มต้นใหม่)

S:ตอนนั้นผมก็เป็นอย่างนี้เหมือนกัน  แบกภาระการเรียนของไกวไกวหู่ พักการเรียนไปเที่ยวคนเดียว เมื่อออกไปจริงๆแล้วถึงพบว่า ถนนมีหลายเส้น ไม่ใช่มีเพียงเส้นแคบๆเส้นเดียวที่สามารถเดินไปได้ ถ้าสำรวจค่านิยมในตอนนั้น สิ่งที่ได้รับความนิยมสูงสุดในยุคนั้นน่าจะเป็นเรื่องดนตรี เมื่อนั่งฟังหลายคนพูดกันบนรถที่ท่องเที่ยว ถึงรู้ว่าค่านิยมในการฟังเพลงของคนตะวันตกกับตะวันออกไม่เหมือนกัน คนหนุ่มสาวหลายคนในยุโรปพักการเรียนเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อเดินทางสำรวจโลก ประสบการณ์เหล่านี้สามารถเพิ่มคะแนนให้เขาได้ตอนนำเสนอในมหาวิทยาลัย  ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วผมก็กลับมาร้องเพลงแสดงละครต่อ แต่ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

T:บนเหว่ยป๋อของคุณมีประโยคหนึ่งเป็นคำพูดของ Khyentse Norbu “ถ้าหากไม่ใช่เจ้าชายของอินเดีย ทุกวันนี้ฉันก็คงยังไม่เข้าใจว่าที่จริงแล้วฉันเป็นคนพเนจรคนหนึ่ง” คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนพเนจรมั๊ย ?

S:ที่จริงแล้วช่วงเวลาหลายปีตั้งแต่จากไต้หวันมาอยู่แผ่นดินใหญ่ ก็มีความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้น ตอนนั้นโดดเดี่ยวมาก ยิ่งเพิ่งผ่านช่วงที่เกิดความสับสนในใจ ตอนนี้ผมเวลาที่ผมใช้ในไต้หวันและแผ่นดินใหญ่ก็ไม่ค่อยต่างกันมากนัก บางครั้งก็ชิน บางครั้งก็แปลกที่

   เขาไม่ได้เดินทางไปแสวงบุญทุกปี ในใจของเขานั้น การท่องเที่ยวแสวงบุญตามที่ต่างๆนั้นไม่ใช่การปฏิบัติธรรม “นับถือศาสนาพุทธ ไม่ใช่ต้องทำตัวเป็นนักท่องเที่ยว สิ่งเก่าแก่ที่พวกเราเห็นกันนั้น เป็นเพียงแค่ทางผ่านของคนที่มาก่อนเท่านั้น  ถ้าพวกเขาไม่ได้ผ่านมาก่อน ก็คือยังไปไม่ถึงนั่นเอง อย่างไรก็ตามการท่องเที่ยวไม่ใช่คำสอนของศาสนาพุทธ ไม่ใช่การไถ่ถอนความรู้สึกบาปในจิตใจ” ที่ข้อมือของซูโหย่วเผิงมีข้อความเป็นภาษาสันสฤตแถวหนึ่ง เมื่อสองปีก่อนเขาบอกกับพระอาจารย์ว่าอยากปล่อยวาง ก็เลยได้ข้อความที่ไม่รู้ความหมายนั้นมา “พยายามมาแล้วหลายปี ที่จริงมันก็มีประโยชน์อยู่นะ”