ผู้เขียน หัวข้อ: 2004 Ast Present Future  (อ่าน 9137 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
2004 Ast Present Future
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 08:51:52 PM »
Thanks, http://tieba.baidu.com/f?kz=547406315

บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิงจากนิตรสาร Ast Present Future ปี 2004


ช่วงการเติบโตของโหย่วเผิง

เขาดูแมลงปอแดงที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าที่สดใส ดูใบโลกกับเปลือกหอยบนหาดทราย ได้บินไปโลกใหม่พร้อมกับผีเสื้อ วันเวลาของแมงปอสีแดงนั้นไม่มีแล้ว เพราะเขาได้เติบโตไปแล้ว ได้บินไปสู่พรุ่งนี้กับความฝัน ไกวๆหู่ในอดีต ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง อาชีพการร้องเพลงและการศึกษานั้นทำให้เขาภาคภูมิใจ วันเวลาของสิบหกปี พริบตาเดียวความบริสุทธิ์เดียงสาได้เปลี่ยนกลายเป็นความเป็นผู้ใหญ่ สิ่งเดียวที่ยังคงไม่เปลี่ยนคือความจริงใจของนิสัย ราศีกันย์อย่างโหย่วเผิงนั้นแสวงหาความสวยงามสมบูรณ์ รักในดนตรี เริ่มจากเสี่ยวหู่ตุ้ยมาจนถึงวันนี้ ได้ทำอัลบั้มไม่ต่ำกว่าสามสิบอัลบั้ม เล่นละครโทรทัศน์แล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบเรื่อง ภาพยนตร์สิบเรื่อง

ความกดดันทำให้ผมเติบโต

หลายปีที่ไม่ได้เจอโหย่วเผิง เขาที่พึ่งผ่านอายุสามสิบเอ็ด (31) ไปหมาดๆ ให้ความรู้สึกที่เป็นผู้ใหญ่กับเรา เริ่มเข้าสู่วงการเมื่ออายุสิบห้า (15) อย่างไกวๆหู่ ในสายตาคนอื่นแล้วการเป็นดารานั้นอนาคตรุ่งโรจน์ ชีวืตเขาที่เต็มไปด้วยความถูกรักนั้นกลับเติบโตท่ามกลางความกดดัน

ช่วงนั้นผมจะสอบเข้ามหาลัย มีความกดดันจากภายนอกมากมาย คนทั้งโลกกำลังจ้องมองไปที่คุณความรู้สึกนั้นมันไม่เป็นสุขเลย เหมือนกับว่ากำลังรอคุณส่งการบ้านผลงาน รอดูว่าคุณสามารถส่งทำไหม ตอนหลังผมออกจากมหาลัยไต้หวันไปที่อังกฤษ อย่าคิดว่าการออกไปต่างประเทศจะสุขสบาย แท้จริงแล้วมันย่ำแย่ยิ่งกว่าเตรียมสอบเข้ามหาลัย และต้องเผชิญกับความกดดันที่แรงกว่า

ตอนเด็กนั้นผมเพียงแค่ชอบร้องเพลง แต่ก็ไม่เคยคิดว่าเมื่อโตขึ้นแล้วจะเป็นศิลปิน ความรู้สึกก็เหมือนกับทำงาน ในตอนนั้นทางบริษัทก็คิดว่าฐานะจริงของผมนั้นเป็นนักเรียน หากว่าผมไม่ร้องเพลงอีก ก็สามารถไปเรียนหนังสือต่อได้ ฉะนั้นผมถึงได้เข้าใจถึงการทำงานเป็นอาชีพจริงๆว่าเป็นอย่างไร ต้องรอให้ผมจบมหาลัยแล้ว ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายคนหนึ่ง (ผู้ใหญ่ทำงานแล้ว) ความกดดันอย่างนั้นมาจากครอบครัว มาจากเศรษฐกิจ ร่วมทั้งตัวเองด้วย ผมกำชับกับตัวเองว่าจะต้องทำให้สำเร็จ ตอนนั้นอายุผมนั้นยังเก้อเขินอยู่ จะไปแสดงบทอะไรถึงจะดี ตอนนี้หวนคิดไปแล้ว หากว่าตอนนั้นไม่ฝึกฝนผ่านชีวิตช่วงนั้นมาได้แล้ว คุณก็คงจะไม่เห็นผมในวันนี้ พวกเราก็คงไม่ได้มาคุยกันตรงนี้ด้วย หวนคิดถึงหนทางอันขมเปรี้ยวที่เดินผ่านมานั้น สายตาของเขานั้นได้มีความรู้สึกที่ซาบซึ้งออกมา


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 2004 Ast Present Future
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 09:09:48 AM »

ทุกอย่างเริ่มจากศูนย์

ตอนนั้นเป็นจุดตกต่ำสุดของชีวิต งานไม่มีแล้ว เงินทองก็ไม่มี ความมั่นใจก็หายไป แม้อนคตข้างหน้าก็มองไม่เห็นทางออกเลย จะเดินผ่านช่วงชีวิตนั้นได้อย่างไร สิ่งที่สำคัญกว่าอื่นใดคือกลับสู่ศูนย์ใหม่ ก็คือปล่อยวางสิ่งของในอดคีต ลืมผลงานที่เคยสร้างไว้ในวงการเสีย ตอนเล่นละครนั้นก็เป็นคนใหม่อีกคน ถ้าเป็นเช่นนี้ก็คือต้องไปเรียนรู้ทุกอย่าง ช่วงเปิดกล้องละครเรื่อง(องค์หญิงกำมะลอ)นั้น อากาศเดือนกรกฏาคมของปักกิ่งนั้นสูงถึงสี่สิบองค์ศา เรื่องนี้นั้นต้องถ่ายทำตั้งห้าเดือนกว่าๆ หน้าหนาวนั้นติดลบแปดองค์ศา ผมในตอนนั้นไม่เคยที่จะออกจากบ้านนานอย่างนี้มาก่อน สิ่งที่ต้องปรับคือท่าทีในใจ เพราะผมเข้าสู่วงการเมื่ออายุสิบห้า ก็นับว่าเป็นผู้น้อยในวงการ เมื่อเทียบกับนักแสดงหน้าใหม่ของทางจีนแล้วผมแทบจะสู้อะไรไม่ได้เลย ทางที่ดีที่สุดก็คือวางตำแหน่งของตัวเองให้ต่ำที่สุด ถึงสามารถผ่านพ้นเวลานั้นมาได้

แม้ว่าโหย่วเผิงจะผ่านชีวิตที่ตกต่ำที่สุดมาแล้ว แต่เขาไม่เคยคิดที่จะฆ่าตัวตายเลย เพราะเขาเชื่อในพุทธศาสนา โดยเฉพาะเขาคิดว่าการฆ่าตัวตายนั้นเป็นการกระทำที่ไม่รับผิดชอบต่อคนในครอบครัวและคนที่ห่วงใยเขาด้วย เขาคิดว่าในเมื่อมีความกล้าในการที่จะฆ่าตัวตายแล้วทำไมไม่มีความกล้าที่จะไปเผชิญกับความจริงล่ะ “เริ่มจากศูนย์” นั้นพูดมันง่าย แต่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างแล้วเริ่มใหม่นั้นมันไม่ง่ายเสียเลย โหย่วเผิงก็คิดว่าแม้สภาพจืตใจในตอนนั้นจะเสียใจขนาดไหนก็ตาม เพียงแค่สามารถยอมรับว่าตัวเองนั้นเทียบกับใครก็ไม่ได้ และต้องยอมรับว่าตัวเองนั้นไม่มีอะไรดีเลย ปล่อยวางศักดิ์ศรีและเกียรติ เพียงแค่มองตัวเองเป็นศูนย์ แล้วเริ่มใหม่ ทุกคนก็ล้วนสามารถที่จะพิชิตโลกของตัวเองได้


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 2004 Ast Present Future
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 09:13:39 AM »

ไม่เคยละทิ้งดนตรีเลย

แม้ว่าจะเปลี่ยนไปเล่นภาพยนตร์มานานหลายปี โหย่วเผิงไม่เคยที่จะละทิ้งจิตใจที่รักในดนตรีเลย ขณะที่กำลังถ่ายรูปนั้นก็ยังขยับปากร้องเพลงเสมอๆ เอ่ยถึงขวัญใจของเขามาดานน่า โหย่วเผิงชื่นชอบความสง่าของเธอมากๆ แม้ว่าตัวเองโตแล้วก็ไม่สามารถที่จะเทียบเท่ากับการแสดงร้องเพลงของเธอ แต่ก็เลื่อมใสในความมุ่งมานะของเธอมากๆ โหย่วเผิงก็รู้สึกว่าตัวเองก็มุ่งมานะเหมือนกัน เขาพูดติดตลกว่าชีวิตตัวเองก็เหมือนกับชีวิตควาย ฉะนั้นต้องดิ้นรนฝันฝ่าสู้ชีวิต

ช่วงก่อนคุณแม่ของเขาได้ไปเยี่ยมเขาในกองถ่ายเรื่อง(หม่อสู่ฉิงเหยียน) เมื่อเผชิญกับคำถามของสื่อทำไมโหย่วเผิงมักจะขาดไปนิดๆหน่อยๆ คุณแม่เขาได้กล่าวว่าผู้จัดการคนก่อนของเขานั้นไม่ดีต่อโหย่วเผิง แล้วโหย่วเผิงจะมองเส้นทางการแสดงของเขาอย่างไร? โหย่วเผิงก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาทันใด “หากจะพูดแล้ว มันมีสาเหตุมากมาย ผมก็อยากจะมีสิ่งแทนส่วนตัวของผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพลงหรือเรื่องภาพยนตร์ ก็จะต้องดูโอกาส ปีที่แล้วผมแสดงภาพยนตร์เรื่อง(อีเทียนสู่หลงจี้/ดาบมังกรหยก) ผมรู้สึกว่าการที่จะแสดงบทของจางอู่จี้นั้นมันไม่ง่าย ส่วนเรื่องเพลงนั้น (อดีตอนาคต/Before and After) แม้ว่าจะไม่สามารถกล่าวว่ามีสิ่งแทนอะไร แต่ว่าผมเองก็ดีใจมากที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับอาจารย์ซงและอาจารย์ซือซง พวกท่านได้เขียนในสิ่งที่ผมอยากจะพูด ในนั้นร่วมทั้ง เพลง(ม่งเจี้ยนเป่ยจี่กวง/Dreams of Northern Light) (หลินซือเหยี่นเหยีน/Part-time Actor) เป็นต้น ตลอดเวลาผมอยากที่จะใช้เพลงสื่อถึงสิ่งที่ผมอยากจะพูด นั่นก็คือเพลงที่ผมต้องการ เพลงในสมัยนี้นั้นไม่ใช่จะทำได้ง่ายๆ ร่วมทั้งเวลาที่ผมจะมีให้กับการทำเพลงก็ไม่ใช่ว่าจะเยอะ อย่างไรก็ตามตอนนี้ก็กำลังยืนหยัดต่อสู้ต่อไปอยู่

ตอนนี้นิยมในการแต่งเพลง ไม่รู้ว่าโหย่วเผิงจะเขียนเพลงของตัวเองอีกหรือเปล่า? เขากล่าว “ตอนเด็กผมเคยเรียนคีบอร์ด แต่เหตุที่ไม่ค่อยมีเวลาฝึก ฉะนั้นน้อยมากที่จะเล่นเปียโน เมื่อกี้ที่ได้เล่นเปียโนที่ห้องถ่ายรูปนั้น ก็รู้สึกมีอารมณ์ดนตรีมากๆ แต่ว่า ผมก็รู้ดีกว่าสิ่งที่ตัวเองเขียนนั้นก็ดีสู้มืออาชีพไม่ได้ ครั้งนี้เพลงที่อาจารย์ทั้งสองได้เขียนนั้นถือว่าดีมากๆ และได้เขียนถึงคำพูดในใจที่ผมอยากจะสื่อออกมาล้วนๆ ทุกครั้งที่ผมทำอัลบั้ม ก็ตั้งใจไปทำเป็นอย่างมาก

สุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็ยากจะคาดคิด อัลบั้มในอดีตนั้นผมไม่กล้าจะเอ่ย (อดีตอนาคต/Before and after)สำหรับอัลบั้มนี้มันเป็นอัลบั้มที่ผมภูมิใจมากๆ หวังว่าหลังจากที่ผมไปต่างประเทศแล้ว จะสามารถนำเพลงใหม่ๆกลับมาฝากบ้างเล็กน้อย หรือว่าชีวิตที่อยู่ต่างประเทศนั้น จะมีรสชาติชีวิตที่ต่างออกไป เมื่อกลับมาก็จะเขียนเพลงใหม่ๆของตัวเองบ้าง


ผมจะเป็นตัวของตัวเอง

โหย่วเผิงมีความใฝ่ฝันมากมาย นอกจากจะสร้างผลงานทางเพลงและภาพยนตร์แล้ว เขาก็ได้ตั้งใจที่จะไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศมาตลอด “การไปเรียนต่อที่ต่างประเทศนั้นเป็นความใฝ่ฝันของผมตลอดมา ไปประเทศที่แตกต่างเรียนรู้เข้าใจวัฒนธรรมที่ต่างกันออกไป รู้จักเพื่อนใหม่และสิ่งใหม่ๆ คิดไม่ถึงว่าปีนี้สามารถมีเวลาไปทำมัน ผมน่าจะไปเรียนต่อด้านการแสดงที่อเมริกา นอกจากนี้ ผมอยากจะอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันนั้น ผมก็สามารถที่จะไปผจญกับมัน หากว่ายังมีใจก็มีเรื่องหลายอย่างที่สามารถจะไปทำมันได้ เริ่มแรกผมไปเล่นละคร หลังจากนั้นผมก็สามารถที่จะเลือกเล่นในบทละครที่ผมชอบ สามารถเป็นถึงพระเอกเบอร์หนึ่ง ต่อจากนี้ผมจะทำอะไรได้อีกล่ะ?

ผมมักจะคิดเรื่องนี้บ่อยๆ ในด้านเพลงดนตรีนั้นผมก็อยากจะทะลุทะลวงมันเรื่อยมา ผมอยากจะเดินเส้นทางของตนเองตลอดเวลา ไม่อยากจะมีชีวืตที่จมอยู่กับชื่อเสียงของอคีต ฉะนั้นภาพลักษณ์ของผมในระยะนี้นั้นมันได้สะท้อนออกมาทางเพลงและภาพยนตร์ ให้เห็นว่าโหย่วเผิงจะไม่เป็นโหย่วเผิงคนเดิมที่คุณคิดอีกต่อไปแล้ว ผมได้กลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ผมไม่อยากจะสร้างภาพลักษณ์เพื่อนใครคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป ตั้งใจและหวังว่าจะเป็นตัวของตัวเองที่ตามใจฉัน ในสายตาของโหย่วเผิงผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่นั้นจะต้องมีความรับผิดชอบ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว เพราะว่าเขาไม่เพียงแต่รับผิดชอบต่อครอบครัวของเขา เขายังรับผิดชอบต่ออาชีพเพลงและการแสดงของเขาอีกด้วย


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 2004 Ast Present Future
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2010, 09:17:09 AM »

อนาคตที่อิสระ

ที่ผ่านมาโหย่วเผิงได้เจอกับผู้กำกับกวนที่ไต้หวัน ความรู้สึกที่ผู้กำกับกวนมีต่อโหย่วเผิงนั้นไม่เลวเลยทีเดียว โดยเฉพาะรู้สึกว่าโหย่วเผิงนั้นเป็นตัวของตัวเองขึ้นเยอะ อนาคตน่าจะมีโอกาสได้ร่วมงานกัน หากว่าจะแสดงในบทของรักร่วมเพศนั้น โหย่วเผิงจะปฏิเสธหรือเปล่า? โหย่วเผิงกล่าว “บทที่ไม่เหมือนกัน ผมเองก็รับได้ สำคัญคือผมต้องดูเนื้อบท ตัวละคร และเรื่องราวว่าคุณค่าแก่การจะรับแสดงหรือเปล่า ส่วนบทรักร่วมเพศหรือไม่นั้น ผมก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับแสดง ผมก็ไม่ใส่ใจกับปัญหาที่ว่าจะทำให้ภาพพจน์เสียหาย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกลัวการแสดงของตัวเองจะไม่อิงกับบท ตอนนี้ยังไม่มีเนื้อบท ผมก็ยากแก่การจะตอบว่าจะเล่นบทอย่างนั้นหรือเปล่า

โหย่วเผิงเข้าใจว่าโลกของภาพยนตร์นั้น เป็นโลกแห่งขั้นตอนการเรียนรู้ ถ่ายฉากละครโทรทัศน์นั้นวันหนึ่งสามารถถ่ายได้กว่ายี่สิบฉาก ถ่ายภาพยนตร์แต่กลับไม่เหมือนกัน ผู้กำกับเรียกร้องให้ผู้แสดงต้องตีบทแตกทั้งอิงกับบทให้มากที่สุด วันหนึ่งนั้นก็จะถ่ายได้ประมาณหนึ่งฉาก ถ่ายภาพยนตร์นั้นมันให้ความพอใจกับผู้กำกับและผู้แสดงมากๆ ในโลกของภาพยนตร์นั้นนักแสดงสามารถเป็นผู้แสดงได้เลย ในภาพยนตร์นั้นนักแสดงจะดังได้ หากแต่ถ่ายละครโทรทัศน์นั้นก็จะไม่มีสิ่งนี้

ฉะนั้นเพียงแค่มีโอกาส โหย่วเผิงก็หวังเรียนรู้ทางด้านนี้เยอะหน่อย

นักแสดงหลายคนก็ใฝ่ฝันอยากเป็นผู้กำกับ โหย่วเผิงหลังจากยี่สิบปีแล้วจะทำงานเป็นผู้กำกับได้หรือเปล่า อนาคตจะมีโอกาสในการกำกับการแสดงหรือเปล่า อย่างไรก็ตามหากเล่นละครเยอะแล้วก็จะมีความคิดวิธีการอยู่ ขณะที่ถ่ายทำนั้น ได้ดูเนื้อบทแล้วตัวเองก็มีภาพ แล้วทางผู้กำกับให้ผมแสดงอย่างนั้น แม้ว่าสุดท้ายผมจะเชื่อฟังคำพูดของผู้กำกับ การเป็นนักแสดงก็ล้วนมีขั้นตอนการจิตนาการภาพ จากตัวหนังสือในเนื้อบทสามารถเปลี่ยนเป็นภาพความคิด ขณะที่คุณแสดงนั้นก็คือได้เอาความคิดของคุณมาเป็นขั้นตอนการสร้างสรร แสดงออกถึงความคิดอารมณ์ของตัวอง ฉะนั้นความคิดของแต่ละคนก็จะต่างกันออกไป

เมื่อพูดถึงอนาคตของตัวเองแล้ว โหย่วเผิงยิ้มแล้วพูดว่า อีกยี่สิบปีหลังผมก็คงไม่แสดงแล้ว ผมไม่อยากเป็นเถ้าแก่ เพราะชีวิตผมนั้นจะออกในแนวสไตล์ชอบศิลปะ หวังว่าจะไปใช้ชีวิตที่อิสระ ไปประเทศต่างๆ เรียนรู้วัฒนธรรมที่หลากหลาย รู้จักเพื่อนใหม่มากมาย จะชอบสังคมที่มีวัฒนธรรม ผมอยากจะไปประเทศต่างๆถ่ายรูป ถ่ายอะไรมากมายมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ผมหวังอยากจะมีชีวิตอย่างนี้ ไม่ใช่ทำแต่งานเป็นเถ้าแก่ เมื่อก่อนผมมีความกดดันมากมายในชีวิต และได้ไปต่างประเทศถ่ายรูปจากที่นั่นมากมาย ให้เพื่อนๆดูความสง่าของผม ผมคงไม่เป็นเถ้าแก่ของบริษัทใหญ่ แม้ว่าผมจะยังไม่แต่งงานมีคู่ แต่ผมก็ยากจะมีคู่ที่เข้าใจและคล้ายๆผม ไปต่างประเทศด้วยกันกับผม บางครั้งเมื่อเห็นสามีภรรยาในโลกนี้นั้น บางคู่ก็มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ก็เหมือนกับฟ้าประทานมาเป็นคู่กัน สำหรับตัวเขาเองแล้ว เขาคิดว่าสวรรค์ให้ความกดดันกับเขามากมาย และเวลาที่ยังเหลืออยู่นั้น เขาก็จะพยายามที่จะทำอะไรเพื่อสังคม เขากล่าวว่า เพียงแค่ขอมีกำลังแรงกาย ผมก็จะขอช่วยเหลือคนที่ต้องการให้ช่วย รวมทั้งงานโรงเรียน งานช่วยเหลือเด็กยากไร้ และกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ต่างๆเป็นต้น