ซูโหย่วเผิง :เคยชินกับการได้ทำอะไรแล้วต้องให้เต็มที่ และทำออกมาให้ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นผมคงมาถึงทุกวันนี้ไม่ได้
Tengxun Entertainment (เนื้อหา/ ลี่เสี่ยวลี้ รูปภาพ/จางเชา)
ผู้กำกับซูโหย่วเผิงวัย 43 ถูกผู้จัดแซวเรื่องอายุในงานโปรโมทหนังเรื่อง 《การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัย X》:“ผมฟังเพลงของผู้กำกับมาตั้งแต่อายุ 15 เลยนะ”
อดีตไอดอลวัยรุ่นที่อายุรุ่นเดียวกันกับ ซูโหย่วเผิง นั้น หลายคนยังคงรับบทประธานบริษัทเจ้าบงการให้เห็นกันบนหน้าจอ แต่ ซูโหย่วเผิง คิดว่า “การแสดงละครไม่มีความยืดหยุ่นพอ ผมอยากลองอะไรใหม่ๆบ้าง”
ซูโหย่วเผิง เข้าสู่วงการในฐานะสมาชิกของ เสี่ยวหู่ตุ้ย ที่มียอดขายอัลบั้มกว่า 15 ล้านแผ่น ต่อมาผันตัวเป็นนักแสดง ผลงานแต่ละเรื่องของเขา เช่น《องค์หญิงกำมะลอ》《Old House Has a Joy》《มนต์รักในสายฝน》ก็ดังระเบิดไปทั่วเอเชีย ถ้าจะพูดถึงไอดอลของประชาชนแล้ว ไอดอลดังๆในสมัยนี้ก็คงต้องเรียกเขาว่ารุ่นพี่ หลังจากนั้นเขาตั้งใจเปลี่ยนภาพลักษณ์พระเอกนักรักโดยการรับบทละครแปลใหม่ในหนังเรื่อง 《ฟงเซิง》 ต่อด้วยเรื่อง 《คังติ้งฉิงเกอ》ทำให้เขาค่อยๆห่างหายไปจาก“ละครหนังรักโรแมนติก”
ปี 2015 ผลงานกำกับเรื่อง 《โจ่วเอ่อ》ทำให้ผู้ชมได้รู้จัก ซูโหย่วเผิง ในภาพลักษณ์ใหม่อีกครั้ง และเมื่อมีข่าวว่าเขากำลังจะทำหนังซึ่งดัดแปลงจากนิยายชื่อดังของ เคโงะ คิงาชิโนะ 《การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัย X》ในเวอร์ชั่นจีนออกมา ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย :“ให้ ซูโหย่วเผิง มากำกับหนังจากนิยายสะท้อนชีวิตจริงอย่างนี้ จะรอดมั้ย ”
ซูโหย่วเผิง บอกว่า ระหว่างการถ่ายทำ《การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัย X》 เป็นความรู้สึกเหมือนกับ “จมอยู่ใต้น้ำ” ตลอดเวลา เขาตั้งมาตรฐานให้กับตนเองค่อนข้างสูง จากนั้นก็ตั้งใจทำให้ได้ตามเป้าหมาย ในฐานะของผู้กำกับแล้ว ซูโหย่วเผิง ยังถือว่าเป็นเด็กใหม่ในวงการนี้ และ《การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัย X》เป็นการท้าทายอีกครั้งในชีวิตของเขาเลยล่ะ
เปรียบเทียบความรู้สึกระหว่างถ่ายทำว่าเหมือน “จมอยู่ใต้น้ำ”
สำหรับซูโหย่วเผิงแล้ว การได้ถ่ายทำหนังเรื่อง《การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัย X》ถือเป็นเรื่องบังเอิญ หลังจากที่ถ่ายทำเรื่อง《โจ่วเอ่อ》เสร็จสิ้นไป มีหนังแนวเดียวกันหลายเรื่องเข้ามาหา ซูโหย่วเผิง แต่เขาคิดว่า การกำกับแค่หนังรักวัยรุ่นนั้น “มันไม่น่าสนใจพอ”
หลายปีก่อน ซูโหย่วเผิง เคยอ่านนิยายเรื่อง《การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัย X》ซึ่งตนก็ชื่นชอบมาก และเมื่อมีโปรเจคนี้เขามาหาเขา มันเป็นโอกาสที่สามารถตอบสนองความต้องการที่อยากทำหนัง “ลึกซึ้งและน่าสนใจ” ของเขาพอดี
สำหรับ ซูโหย่วเผิง แล้ว เสน่ห์ของ《การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัย X》ไม่เพียงแค่ว่าเป็น IP (ทรัพย์สินทางปัญญา)ยิ่งใหญ่ แต่เป็นเพราะว่าตัวเรื่องราวของนิยายเรื่องนี้ซับซ้อนและลึกซึ้งพอ
Tengxun Entertainment:จุดเริ่มต้นของการทำโปรเจคนี้คืออะไรครับ?
ซูโหย่วเผิง :หลังจาก《โจ่วเอ่อ》เสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว พอเริ่มเตรียมหนังเรื่องที่ 2 ผมรู้สึกว่าจะถ่ายแค่หนังรักมันน่าเบื่อ ผมอยากทำหนังที่น่าดูและลึกซึ้ง มีเรื่องราวให้คิดตาม ระหว่างที่คุยกันนั้นก็พูดถึง 《การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัย X》 ผมก็นึกขึ้นมาได้ว่า ผมเคยอ่านเรื่องนี้เมื่อหลายปีก่อน มันมีทั้งเรื่องราวการประชันฝีมือ ความอัศจรรย์ ความประหลาดลึกลับ ทั้งยังออกแนวโรคจิตนิดๆ แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เราก็เลยได้ยกเรื่องนี้มาคุยกันอีกครั้ง ว่าเรื่องราวมันควรเป็นอย่างไรบ้าง และผมจะสามารถถ่ายทอดอย่างไรได้บ้าง
Tengxun Entertainment:ช่วยเล่าถึงการเตรียมการตั้งแต่เริ่มต้นเลยได้มั้ยครับ? ตอนนั้นสถานการณ์เป็นยังไงบ้าง ตื่นเต้นมั้ยครับ?
ซูโหย่วเผิง:เรื่องตื่นเต้นไม่เท่าไหร่ แต่ความกดดันต้องมีอยู่แล้ว เหมือนกับคลิปที่ได้เปิดไปเมื่อกี้เลยครับ ความกดดันทำให้รู้สึกเหมือน “จมอยู่ใต้น้ำ”ตลอดเวลา แต่ถ้าพยายามสู้ก็สามารถออกจากภาวะนั้นได้ ผมคิดว่าขอแค่คุณตั้งใจทำให้เต็มที การคิดมากเรื่องความกดดันเหล่านั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย ขอแค่ทุ่มเทให้สุดความสามารถก็พอครับ
งานของ เคโงะ คิงาชิโนะ มีเสน่ห์ดึงดูดมาก เขามักจะรวมสิ่งที่ดูขัดแย้งเข้าด้วยกันได้ มันทั้งงดงามและดูโรคจิตหน่อยๆ โดยทั่วไปแล้วผลงานที่มีชื่อเสียงขนาดนี้ มักจะมีลิขสิทธิ์ที่ซับซ้อนพอตัว ถ้าไม่เคลียร์เรื่องลิขสิทธิ์ให้ดีคงแตะงานของเขาไม่ได้ แต่เราโชคดีมาก ที่ผ่านเรื่องลิขสิทธิ์ไปได้ และได้ทำหนังเรื่องนี้ครับ
Tengxun Entertainment:ตามนิยายต้นฉบับแล้ว นี่เป็นเรื่องราวที่สะท้อนสังคมของประเทศญี่ปุ่น แต่ตอนที่ชมเบื้องหลังการถ่ายทำนั้น เปลี่ยนให้มีกลิ่นไอของจีนเราได้ดีเลย ผู้กำกับมีวิธีการปรับเรื่องราวให้เข้ากับสังคมจีนอย่างไรบ้างครับ
ซูโหย่วเผิง:เหมือนว่าทุกคนมักโฟกัสไปที่เรื่องนี้ก่อนเสมอ แต่สำหรับผมแล้ว มันก็ไม่มีอะไรมากครับ ที่จริงแล้วก็เหมือนๆกัน ประเทศจีนก็มีนักศึกษา มีตำรวจ มีแม่ค้าขายข้าวกล่อง (และก็ต้องมีคน) เจอหญิงม่าย ผมว่ามันเป็นเรื่องปกตินะครับ
Tengxun Entertainment :ระหว่างการถ่ายทำนั้น คุณตั้งใจทำหนังให้ออกมาในรูปแบบไหนครับ? หนังแนวปริศนา ลึกลับ หรือว่า?
ซูโหย่วเผิง:เรื่องราวที่เกิดขึ้นในนิยายนั้นเป็นเรื่องถูกฟิคไว้อยู่แล้ว แต่สำหรับผู้กำกับแล้ว อยู่ที่ว่าผมจะถ่ายทอดเรื่องราวออกมาให้แบบไหน เริ่มจากมุมมองไหน อยากให้ผู้ชมผู้ความรู้สึกอย่างไร นี่เป็นปัญหาหลักๆเลย นิยายเรื่องนี้มีความพิเศษเฉพาะตัว ผมคิดว่าก็เป็นความซับซ้อนของเรื่องราวที่ทำให้ดูน่าสนใจครับ
ผมคิดว่าแกนเรื่องของนิยายค่อนข้างออกออกแนวตะวันตก มันเหมือนมือที่สะอาดแต่เปื้อนไปด้วยเลือด ผมใช้มือที่เปื้อนเลือดทำเรื่องบริสุทธิ์ คุณคิดยังไงกับความขัดแย้งนี้ ก็คือปัญหาที่ผมได้พูดไปเมื่อกี้ คุณจะใช้วิธีอะไรให้ทุกคนยอมรับคนๆนี้ ผมอยากให้ผู้ชมได้คิดหลังจากออกจากโรงหนังว่า คุณจะมองคนๆนี้อย่างไร
Tengxun Entertainment :คืออยากให้ผู้ชมได้คิดตาม?
ซูโหย่วเผิง :ผมชอบเรื่องราวที่ให้เราได้คิดต่อ ชอบเรื่องราวที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงาม ชอบการรวมสิ่งที่ดูขัดแย้งเข้าด้วยกัน ผมชอบดูหนังแนวนี้ครับ ผมให้ความสำคัญเรื่องการแสดง เรื่องบทละคร และเรื่องราวที่ลึกซึ้งในหนัง ส่วนเทคนิคอื่นๆผมคิดว่า ต้องทำออกมาให้ละเอียด แต่ผู้ชมต้องไม่รู้สึกถึงความละเอียดนี้ ถึงจะเป็นเรื่องที่เยี่ยมที่สุดสำหรับผม ถ้าหากว่าคุณเล่นกับเทคนิคมากจนผู้ชมก็สามารถจับได้ ผมว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ สำหรับผมแล้ว ผมชอบการชนะแผนการด้วยการไร้แผนการ ผมคิดอย่างนี้มาตลอดครับ
Tengxun Entertainment :ทำไมต้องตั้งมาตราฐานให้ตนเองสูงขนาดนั้นล่ะครับ?
ซูโหย่วเผิง :ผมคิดว่าหนังที่ดีควรจะเป็นแบบนี้อยู่แล้ว นี่เป็นทัศนคติของผม ผมใช้หลักการนี้กับงานทุกอย่าง ถ้าคุณค่อยหาข้ออ้างให้ตนเองแล้ว จะพัฒนาได้อย่างไรล่ะ? ผมคิดว่าต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนก่อน แล้วมุ่งไปให้ถึงเป้าหมายครับ
ผู้กำกับราศีกันย์สุดเป๊ะ:มีวิธีสื่อสารกับนักแสดงแต่ละคนอย่างไรบ้างครับ?
ในงานโปรโมทหนังนั้น ซูโหย่วเผิง ถูก หวางข่าย และ จางหลูอี เผาไปไม่น้อย “ผลงานชิ้นแรก“ กลายเป็นเรื่องที่ทุกคนชอบ“เผา”กันมากเป็นพิเศษ หวางข่าย บอกว่า ซูโหย่วเผิง นั้นให้ความสำคัญแม้กระทั่งรายละเอียดเล็กๆ ส่วน จางหลูอี บอกว่า ถูกผู้กำกับบังคับจนมาถึง“จุดพีคของฝีมือการแสดงแล้ว”
สำหรับ ซูโหย่วเผิงแล้ว หวางข่าย และ จางหลูอี เป็นนักแสดงที่มืออาชีพ การสื่อสารกับพวกเขา ต่างจากตอนที่สื่อสารกับนักแสดงวัยรุ่นในเรื่อง 《โจ่วเอ่อ》มาก ตอนที่กำกับเรื่อง 《โจ่วเอ่อ》นั้น หลายครั้งที่ผู้กำกับต้องลองแสดงให้ดูเอง แต่ในเรื่อง《การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัย X》นั้น การสื่อสารจะเป็นการปรึกษาเพื่อทำออกมาให้“ดี”และ “ดีกว่า”
นอกจากการสื่อสารกับนักแสดงที่ง่ายขึ้นแล้ว การเตรียมกันก่อนถ่ายทำและการตัดต่อก็ลำบากพอสมควร สำหรับเรื่องนี้ ซูโหย่วเผิง บอกว่า “ทุกฉากแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา” ยังแซวอีกว่า “มาผิดทางแล้ว ต้นทุนกับกำไรต่างกันมากเกินไปแล้ว”
Tengxun Entertain:ตอนเพิ่งเริ่มเปิดกล้องมีช่วงเวลาลองผิดลองถูกรึเปล่าครับ?
ซูโหย่วเผิง:เราไม่มีเวลามากขนาดนั้นครับ สิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดตอนเป็นนักแสดงคือ ผู้กำกับเองยังตัดสินใจไม่ได้ แต่ให้คุณแสดงซ้ำๆอยู่อย่างนั้น ผมคิดว่าผู้กำกับต้องวางแผนให้ชัดเจนก่อน
Tengxun Entertainment:มีภาพในสมองอย่างชัดเจนแล้ว?
ซูโหย่วเผิง :อันนี้เป็นพื้นฐานของการถ่ายทำอยู่แล้วครับ คุณต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ด้วย ว่านักแสดงน่าจะเล่นออกมาประมาณไหน ข้อผิดพลาดอาจจะเกิดตรงไหนได้บ้าง เราจะค่อยมาวางแผนและลองผิดลองถูกในกองถ่ายไม่ได้ เราต้องดำเนินงานตามในเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ และนี่ก็เป็นเรื่องที่เราควรทำอยู่แล้วครับ
Tengxun Entertainment :เคยมีคนในกองถ่ายบอกว่าคุณเป็นผู้กำกับเจ้าบงการบ้างรึเปล่าครับ
ซูโหย่วเผิง :ผมก็ไม่ได้จะควบคุมไปหมดซักทุกเรื่องหรอกครับ เพราะว่าในกองถ่ายมีเหตุฉุกเฉินบ่อยมาก ผมจะควบคุมแค่งานหลักๆเท่านั้น ผมจะบอกว่าบรรยากาศควรจะเป็นแบบไหน ผมจะควบคุมให้อยู่ในเส้นทางหลักเข้าไว้ ผมจะไม่อนุญาตให้คนอื่นออกไอเดียมันก็ไม่ได้ ถ้าผมจะทำเองหมดเลย แล้วจะหามืออาชีพอย่างพวกเขามาทำไมล่ะครับ ทุกอย่างมันเป็นไอเดียจากการทำงานเป็นทีมครับ
Tengxun Entertainment :ระหว่างการถ่ายทำเรื่อง《โจ่วเอ่อ》และ《การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX》คุณคิดว่าตนเองมีการเปลี่ยนแปลงรึเปล่าครับ?
ซูโหย่วเผิง:ความเปลี่ยนแปลงก็คือชำนาญขึ้นกว่าเรื่องแรก แต่หนังครั้งนี้ถ่ายยากกว่า ซึ่งก็เป็นความต้องการของผมเอง ถ้าให้ทำหนังแนวเดิม มันคงไม่มีความกดดันและคงน่าเบื่อเกินไป ผมมักจะชอบโดดจากที่ที่สูงกว่าตัวผมเสมอ ความรู้สึกมันเหมือนใกล้ตาย แต่เมื่อได้ลองสู้ ได้พยายาม สุดท้ายก็เหมือนได้มีชีวิตอีกครั้ง บางทีผมอาจจะเป็นพวกชอบทรมานตัวเองมั้งครับ
Tengxun Entertainment:ในฐานะที่เป็นกำกับ คุณสื่อสารกับนักแสดงอย่างไรบ้างครับ?
ซูโหย่วเผิง:เรื่องทั้งสองเรื่องค่อนข้างจะแตกต่างกัน นักแสดงในหนังเรื่องแรกเป็นนักแสดงใหม่หมดเลย ผมเป็นคนค่อนข้างให้เกียรติหนัง อยากให้ทุกคนแสดงด้วยความตั้งใจ ไม่ใช่ละครเฮฮาคอมเมดี้ สำหรับหนังเรื่องแรก ผมต้องบอกให้พวกเขามีทัศนคติแบบนี้ก่อน มันไม่ใช่ละครเฮฮาคอมเมดี้ที่พวกคุณคิดไว้ ต้องทำให้พวกเขาทั้งเจ็ดคนแสดงในเส้นทางเดียวกัน แต่สำหรับหนังเรื่องนี้ พวกเขาต่างเป็นนักแสดงมืออาชีพแล้ว การสื่อสารกันก็จะต่างกับเด็กๆบ้าง คือการสื่อสารแบบมีไอคิวครับ
Tengxun Entertainment:การสื่อสารแบบมีไอคิวหลักๆแล้วหมายถึงอะไรครับ?
ซูโหย่วเผิง:หลายครั้งที่พวกเขาทำให้ผมรู้สึกเซอร์ไพรส์ คุณดูในหนังเรื่องนี้ เมื่อกี้คุณบอกว่าหนังเรื่องนี้มีการเล่นคำอยู่มากมาย หลายครั้งมันก็แสดงยาก การแข่งขันกันระหว่างอัจฉริยะแบบนี้ คุณต้องสร้างภาพลักษณ์ของคนฉลาด จะมาพังด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ ที่จริงแล้วผมก็แค่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนที่ดี ค่อยช่วยพวกเขารักษาจุดสมดุลนี้ไว้ ผมอาจจะเข้าใจตัวละครตัวนี้อยู่ประมาณ 85 % หลายเรื่องมันก็เกินความเข้าใจของผม พวกเขาสามารถแสดงออกมาได้มากกว่านั้น มันเป็นเรื่องที่เยี่ยมมากเลยครับ บางครั้งผมคิดว่า 80 %นั้นก็ดีมากแล้ว แต่หลายเรื่องมันมีโอกาสทำได้ดีกว่านี้ ก็จะเป็นให้คำแนะนำ ปรึกษากันมากกว่าครับ
Tengxun Entertainment:ตอนนี้เวลานั่งดูจากจอผู้กำกับ เคยมีความรู้สึกว่า บทนี้เลยที่ผมอยากแสดงบ้างรึเปล่าครับ?
ซูโหย่วเผิง :ตอนนี้ไม่เคยมีความรู้สึกอย่างนั้นเลยครับ เพราะว่ายุ่งมากจริงๆ
Tengxun Entertainment:ทุ่มเทกับงานผู้กำกับอย่างเดียวเลยใช่มั้ยครับ?
ซูโหย่วเผิง:บางเรื่องมันไม่สามารถถ่ายทอดออกมาด้วยคำพูดได้ ความเข้าใจภาษาของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน การแสดงให้ดูเลยเป็นเรื่องที่ง่ายและเร็วที่สุด พวกเขาล้วนเป็นนักแสดงที่เก่ง แสดงได้ดีมากครับ บางครั้งก็ค่อยดูจังหวะ ต้องให้การแสดงของทุกคนอยู่ในเส้นทางเดียวกัน ควบคุมภาพรวมของหนัง
Tengxun Entertainment :คุณเป็นผู้กำกับที่ตั้งใจในหน้าที่ ดูแลควบคุมทุกรายละเอียดเลยรึเปล่าครับ?
ซูโหย่วเผิง:แน่นอนอยู่แล้วครับ ผมต้องเป็นคนคุมหางเสืออยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นทุกคนเดินไปคนละทิศคนละทาง มันก็คงไม่ใช่ ผมต้องค่อยควบคุมให้ทุกคนอยู่ในเส้นทางเดียวกัน หนังเป็นเหมือนเด็กน้อยที่คุณต้องดูแลตลอด ละสายตาไม่ได้เลยครับ
Tengxun Entertainment:เรื่องงานเทคนิคเช่นการตัดต่อหลังถ่ายทำ คุณเรียนรู้เรื่องงานพวกนี้ตอนถ่ายทำ《โจ่วเอ่อ》หรือสนใจตั้งแต่ตอนเป็นนักแสดงแล้วครับ?
ซูโหย่วเผิง:ไม่ครับ ตอนเป็นนักแสดงผมก็ตั้งใจทำหน้าที่นักแสดงอย่างเดียว วันๆเอาแต่อยู่กับตัวละคร ไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้เลยครับ เพราะว่าผมไม่เคยคิดว่าจะมาทำงานเบื้องหลังด้วยแหล่ะครับ
Tengxun Entertainment:แสดงว่าคุณเพิ่งฝึกเรื่องพวกนี้หลังจากที่เป็นผู้กำกับใช่มั้ยครับ?
ซูโหย่วเผิง:เป็นขั้นตอนของการเรียนรู้ครับ ตอนที่ตัดต่อนั้น ผมก็เพิ่งรู้ว่า อ๋อ ที่แท้เขาตัดต่อกันอย่างนี้นี่เอง ส่วนมากแล้วผมจะคิดว่าในมุมมองของผู้ชมว่าพวกเขาต้องการอะไร ในเรื่องมีการประลองฝีมือระหว่างสองอัจฉริยะ ส่วนผมก็ต้องประลองฝีมือกับงานรูปแบบต่างๆ ถ้าคุณทำให้พวกเขาเชื่อมั่นในตัวคุณไม่ได้ เขาก็จะไม่ให้งานที่ดีที่สุดกับคุณ เขาอยากรู้ว่าผู้กำกับมีดีขนาดไหนกัน ก็ต้องทำอย่างนี้ครับ
Tengxun Entertainment:ในโซเชี่ยวอาจจะมีคนคิดว่า นักแสดงไปกำกับหนังจะไหวมั้ย ถ่ายหนังIPสูงเพราะอยากหลอกเงินจากผู้ชม ได้ยินอะไรพวกนี้แล้วเสียใจมั้ยครับ?
ซูโหย่วเผิง :การที่มีคนคิดอย่างนี้ แสดงว่าผมยังไม่สามารถทำให้คนอื่นเชื่อในตัวผมได้ บางเรื่องที่คุณอยากนำเสนอ พอได้ถ่ายทอดออกมาโดยรวมแล้วอาจจะมีข้อบกพร่องบ้าง หรือไม่สมบูรณ์พอ ไม่ได้ทำให้คนอื่นอินไปด้วยก็เป็นได้ พวกเราตั้งใจทำกันมาก น่าจะดูออกได้ว่าไม่ได้ทำเพราะอยากหลอกเงินใคร เรายินดีรับฟังคำติชมอยู่แล้ว ทุกคนสามารถคอมเม้นท์ได้แบบไม่ต้องไว้หน้า แต่ว่าขอให้เป็นการคอมเม้นท์ที่มีเหตุมีผลด้วยครับ
Tengxun Entertainment :คุณคิดว่าตนเองเป็นคนที่ทำอะไรต้องทำออกมาให้ดีที่สุดรึเปล่าครับ?
ซูโหย่วเผิง :ถือว่าใช่ครับ ไม่อย่างนั้นผมก็มาถึงทุกวันนี้ไม่ได้ครับ