ผู้เขียน หัวข้อ: [2017.04.09] ซูโหย่วเผิง นึกอยากเปลี่ยนฉายา “ไกวไกวหู่ หรือ เสือเชื่องๆ”  (อ่าน 5010 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด


[2017.04.09] 乖乖虎苏有朋:一心想换“标签”
http://character.workercn.cn/361/201704/09/170409135052548.shtml

ซูโหย่วเผิง นึกอยากเปลี่ยนฉายา “ไกวไกวหู่ หรือ เสือเชื่องๆ” ของตัวเอง

ซูโหย่วเผิงเมื่อเดินเข้าประตูมา เขาทักทาย ถอดเสื้อนอกออก และนั่งลงไปในคราวเดียวกัน ใบหน้าของเขายังคงแสดงภาพลักษณ์ของ “ไกวไกวหู่ หรือ เสือเชื่องๆ” เหมือนเดิม แต่พื้นเพลักษณะนิสัยนั้นไม่เหมือนเดิมแล้ว

ในกลุ่ม “แฟนคลับองค์หญิงกำมะลอ” เขายังคงเป็น “องค์ชายห้า” ผู้เป็นสุภาพบุรุษและอ่อนโยน
ในสายตาของ แฟนคลับ ฉงเหยา  เขาเป็น “ตู้เฟย” ที่ ใสซื่อและน่าหลงใหล
ในดาบมังกรหยก เขาคือ จางหวู่จี้(เตียบ่อกี้) ผู้มีความเอื้ออาทร 

ต่อมาซูโหย่วเผิงเริ่มเปลี่ยนแปลงบทบาทของตัวเอง เริ่มต้นจากการรับบทเป็นไป๋เสี่ยวเหนียน  ที่สับสนทางเพศ มีลักษณะตุ้งติ้งในภาพยนตร์เรื่อง เฟิงเซิง The Message   จนกระทั่งในปัจจุบัน ซูโหย่วเผิงได้รับหน้าที่กำกับภาพยนตร์เรื่อง การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX (The Devotion Of Suspect X ) ซึ่งเป็นผลงานเรื่องที่สองของเขาหลังจากที่หันมานั่งแท่นป็นผู้กำกับ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการท้าทายผลงานคลาสสิคสุดลึกลับของ ฮิงาชิโนะ เคโงะ  ซึ่งหลังจากเปิดตัวได้เพียงแค่ 9 วันก็กวาดรายได้ไป 300 ล้านหยวน  มันเป็นเรื่องยากจริงๆที่จะมีใครทำได้เหมือนเขา ใบหน้าเด็กๆของเขาที่เต็มไปด้วยหนวดเครา กลับถูกแซวว่าเป็นผู้กำกับที่เก่งที่สุด ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เขาพิถีพิถันในทุกรายละเอียด

คำสำคัญ:  ฝ่าด่านต่างๆเพื่อเก็บแต้ม

ในมุมมองของนักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกล่าวว่า ในด้านของผู้กำกับ ผลงานของซูโหย่วเผิงเปรียบเหมือนการ  “ฝ่าฟันอุปสรรคในด่านต่าง ๆ ของเกมส์” แม้จะร้องมาหลายเพลงก็ยังหนีไม่พ้นภาพลักษณ์ของเสือตัวน้อยแสนเชื่อง ถ่ายละครมาก็หลายเรื่อง แต่ก็ยังถอดภาพพจน์องค์ชายห้าไม่ได้  ดังนั้นจึงใช้ความท้าทายต่างๆเป็นเครื่องมือ เช่นการเป็นผู้กับกับภาพยนตร์เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ก็เหมือนกับการเล่นเกมส์ที่ต่อสู้เพื่อเก็บแต้มและพิชิตด่านที่ยากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น เรื่อง การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX (The Devotion Of Suspect X ) ภาพยนต์เรื่องนี้การถ่ายทำเป็นเรื่องยากมาก ไม่เพียงแต่เพราะต้นฉบับนี้ได้รับการยกย่องอย่างถึงขีดสุด แต่นวนิยายแนวลึกลับของ ฮิงาชิโนะ เคโงะ  ต้องใช้ความละเอียดประณีตเพื่อให้ได้รับความสำเร็จ การย้ายสถานที่ที่เกิดขึ้นในเรื่องไปยังอีกประเทศหนึ่ง มันเป็นเรื่องยากมากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ปรับเปลี่ยนเนื้อเรื่องบางอย่าง

ตลอดกระบวนการถ่ายทำเป็นกระบวนการที่ซูโหย่วเผิงรู้สึกขัดแย้ง ยุ่งเหยิง และเป็นกังวล รวมถึงยังเป็นกระบวนการที่ยากลำบากสำหรับทีมงานผู้สร้างทุกคน และเพื่อให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สมบูรณ์แบบที่สุด เกือบทุกฉากที่ซูโหย่วเผิงต้องถ่ายซ้ำ   ครั้งที่มากที่สุดคือ นักแสดงนำอย่างจางหลู่อี โดน NG ไป 50 ครั้ง นักแสดงในกองถ่ายเล่าว่า พวกเขาบอกว่าเรื่องที่มีความสุขที่สุดในกองถ่ายคือ ตอนที่ซูโหย่วเผิงลุกขึ้นยืนจากจอมอนิเตอร์ เพื่อไปเข้าห้องน้ำ เพราะมันทำให้พวกเขาได้มีเวลาหยุดพัก

ปี 2015 มีการเปิดตัวภาพยนตร์เรื่องแรกของซูโหย่วเผิง เรื่อง หูข้างซ้าย (The Left Ear) ซึ่งสามารถกวาดยอดขายมาได้ 4.85 ล้านหยวน แต่กระแสจากภาพยนตร์เรื่องนี้แบ่งเป็นสองทาง กระแสหนึ่งบอกว่า “มันทำให้ฉันได้รับบทเรียนมากมาย” ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า ตัวเขาเองและสาธารณะชนมีความเข้าใจต่อภาพยนตร์วัยรุ่นแตกต่างกัน เขาไม่สามารถใช้ “ความทรงจำสมัยวัยรุ่น” มาใช้ได้ในขณะนี้ และด้วยข้อจำกัดของวรรณกรรมทำให้ไม่สามารถตอบสนองต่อรสนิยมของทุกคนได้

ใครจะรู้ว่าหลังจากี่ผ่านด่านแรกมาได้ ด่านที่สองกลับยากยิ่งกว่า  ซูโหย่วเผิงไม่ได้เป็น “แฟนคลับที่คลั่งไคล้” ในผลงานนิยายของฮิงาชิโนะ เคโงะ  และเพื่อที่ให้นิยายญี่ปุ่นเรื่องนี้สามารถผสมผสานกลิ่นไอความเป็นจีนลงไปได้ เขาได้ทำการบ้านอย่างหนัก ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มีการแก้ไขสิบกว่าฉาก โดยเขาเชิญผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ มาเพื่อ "จับผิด"  ภาพยนตร์เรื่องนี้ เพื่อความละเอียดประณีต เขายังเชิญศาสตราจาารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ระดับแนวหน้าของประเทศมาเขียนสูตรคณิตศาสตร์ที่กำลังอยู่ในระหว่างศึกษาค้นคว้า โดยเขียนไว้บนกระดานดำในห้องนอนของตัวละครสือหง เพื่อที่จะให้ผู้เชี่ยวคนอื่นที่ดูภาพยนต์เรื่องนี้รู้สึกสมจริงมากยิ่งขึ้น

“ถ้าถามว่า การฝ่าด่านต่างๆเพื่อเก็บแต้มเรื่อยๆแบบนี้  รู้สึกเหนื่อยบ้างมั๊ย? พูดตามจริงก็เหนื่อย ผมใช้เวลา 2 เดือนในการเตรียมนักแสดง   4 เดือนสำหรับการถ่ายทำ และอีก 1 เดือนสำหรับวางฉายในโรงภาพยนตร์” แต่ว่าเพื่อที่จะเป็นผู้กำกับ เขาชี้ไปที่หัวใจของเขา "ผมเตรียมใจมาแล้ว 6 ปี"
 
คำสำคัญ:การทำลาย

หลังจากที่  “เสี่ยวหู่ตุ้ย” แยกตัวบินเดี่ยว ไม่ใช่ซูโหย่วเผิงคนเดียวที่มีแนวโน้มว่าจะมีอนาคตที่ดี ในขณะเดียวกัน “อู๋ฉีหลง” เป็นคนที่มีบุคลิกคล่องแคล่วว่องไว จึงได้ฉายา “เสือสายฟ้า” และเฉินจื้อเผิง เป็นคนที่รักสวยรักงาม มีบางกระแสยังบอกอีกว่าเขาหน้าเหมือน “เลสลี่ จาง” จึงได้ฉายา “เสือหล่อ” ไปครอง ก็กำลังได้รับความนิยมในวงกว้าง

แต่กับซูโหย่วเผิงที่เป็นพวกคลังวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ ตั้งแต่เด็กเขาก็เป็นพวกเด็กเรียน แม่ของเขาที่เป็นครูเคยเปิดเผยว่า ตอนที่ซูโหย่วเผิงอยู่ชั้นประถม เขาชอบเข้าเรียนคลาสพิเศษมาก เขาลงเรียนเกือบ 10 วิชา เช่น คณิตศาสตร์โอลิมปิก ภาษาอังกฤษ การเขียน การเขียนพู่กันจีน คีย์บอร์ด ลูกคิด เป็นต้น พ่อแม่ของเขากลัวเขาจะเครียดเกินไป  จึงอยากลดวิชาเรียนลง แต่จู่ๆเขากลับหยุดความกระตือรือร้นเหล่านั้นลง

เขาพูดถึงความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ซูโหย่วเผิง เขาเล่าว่า “ความท้าทายและการทำลายเป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จทุกครั้ง ผมหวังว่าจะมีความก้าวหน้า หวังว่าทุกคนจะลืมทุกสิ่งที่ผ่านมาของผม เรื่องเหล่านี้ต้องการเวลาและโชค ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถรอคอยโอกาสได้”

โอกาสครั้งแรกคือตอนที่รับบทเป็น "ไป๋เสี่ยวเหนียน"  ในภาพยนตร์เรื่อง เฟิงเซิง The Message เป็นผู้ชายรุ่มร่ามที่หลังจากถูกทรมาน เขาถูกขังไว้ในน้ำ หลังจากนั้นก็ถูกเฆี้ยนจนตาย  ไม่มีใครคาดคิดซูโหย่วเผิงปฏิเสธที่จะแสดงบทไอดอล แล้วไปรับบทแปลกๆที่มีอารมณ์ซับซ้อนแทน แต่ในบทบาทนี้เขาได้รับการยอมรับจากผู้ชมมากเกินกว่าที่คาดคิดไว้  เนื่องจากเขาได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ซูโหย่วเผิงรู้สึกเหนื่อยต่อภาพลักษณ์เจ้าชายผู้ทรงเสน่ห์เป็นอย่างมาก

ในฐานะที่เป็นผู้กำกับเป็นธรรมดาที่จะต้องแสดงความเหน็ดเหนื่อยออกมา ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการที่จะกำกับการแสดงออกมาให้ดีที่สุด เขาทั้งวิตกกังวล สับสน และพยายามใส่ใจทุกรายละเอียด ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความคุ้มค่าของผู้ชม "พูดยังไงดีล่ะ ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่งก็หวังว่าทุกคนจะยอมจ่ายเงินมาดูหนังเรื่องนี้  เพื่อที่จะให้กลุ่มผู้ชมที่ไม่สนใจผลงานของเรายอมมาดูภาพยนตร์เรื่องนี้ ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า  "ในปัจจุบันนี้มีคนดูภาพยนตร์มากขึ้น  ไม่ควรประมาทต่อสติปัญญาของพวกเขา ถ้าหากผมที่เป็นผู้กำกับสนใจแต่ความต้องการของตัวเอง ไม่สนใจตลาดภาพยนตร์หรือผู้ชม แน่นอนว่ายอมมีผลกระทบที่ไม่ดีตามมา ในเรื่องนี้ผมค่อนข้างระมัดระวังมาก”

เขาหวังว่าภาพยนตร์ของตัวเอง “ต้องสนุก มีศิลปะ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นธุรกิจ”

คำสำคัญ: ความทรงจำ

ไม่มีความทรงจำ ก็เก่งไม่ได้ สมัยเมื่อเป็นวัยรุ่นในสายตาของเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ซูโหย่วเผิงเป็นคนที่เก่งมาก ทั้งร้องเพลง ทั้งเรียนหนังสือ แต่ก็ยังสอบได้ที่ 1 เสมอ ไม่มีใครรู้ นี่เป็นผลที่แลกมาจากการอดหลับอดนอนมาหลายคืน “โลกภายนอกพูดว่าฉันดีอยู่แล้ว แต่ถ้าหากฉันรู้สึกว่าดีไม่พอ นั่นก็คือยังดีไม่พอ”

เขาเป็นคนที่ชอบความสมบูรณ์แบบ ในอีกแง่หนึ่งคือ เขาค่อนข้างเข้มงวดกับตัวเอง

เคยมีช่วงเวลาหนึ่ง ซูโหย่วเผิงชอบร้องเพลงของ “เสี่ยวหู้ตุ้ย” ใน KTV ถึงแม้ว่า“เสี่ยวหู้ตุ้ย” จะแยกวงมาแล้วหลายปี แต่พวกเขาก็ยังถูกสื่อสอบถามเกี่ยวกับความเป็นไปของวง เขากล่าวว่า  “คนอื่นจะไม่ถามความเป็นไปในปัจจุบันของคุณ แต่เขาจะใส่ใจอดีตของคุณ”

ในสายตาสาธารณะประชาชน เขายังคงเป็น “เสือเชื่องๆ” ที่เต็มไปด้วยพลังเชิงบวกเสมอ อย่างไรก็ตามเขายังจำตัวเองตอนอายุ 16  มีเพียงแค่การทำงานพิเศษในวันอาทิตย์ และเป็นกังวลเกี่ยวกับคะแนนที่ลดลง “ในขณะที่เดินไปตามถนน  เห็นหญิงอุ้มลูกอยู่ ผมกลัวว่าเธอชี้มาที่โปสเตอร์ของผมแล้วพูดว่า ลูกดูสิ เขาคือเสือเชื่องๆที่รู้จักแต่ซ้อมละคร แต่คะแนนผลการเรียนแย่มาก”

เสียงหัวเราะในวันนี้ช่วยปกปิดความยากเจ็บปวดในช่วงวัยรุ่นเสมอมา ซูโหย่วเผิงพูดว่า เขาชอบงานในฐานะวง “เสี่ยวหู่ตุ้ย” มากๆ  แต่สำหรับฐานะที่เป็นเด็กคนหนึ่งที่พึ่งจะเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว ไม่สามารถไม่ใส่ใจบทเรียนได้ ผลการเรียนลดลง ทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างมาก นั่นคือเหตุผลที่ตอนนี้เขากำลังคิดที่จะต่อสู้กับการถอดภาพลักษณ์หล่อน่ารักแบบเมื่อก่อน ในบางครั้งเขาอยากใช้พฤติกรรม “กบฏ” เพื่อบอกให้โลกรู้ว่า ฉายานี้ผูกมัดตัวเขาไว้นานเกินไปแล้ว

ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า เรื่องที่ทำให้ผมกลัวมากที่สุด ก็คือการที่ทุกคนหลงใหลในความทรงจำ “ในตอนที่คุณมองไม่เห็นผม ผมกำลังพยายามที่จะไม่ให้ตัวเองจมไปกับสิ่งเหล่านั้น นี่เป็นสิ่งที่ยากและลำบากมาก”  จนถึงปัจจุบันนี้ ซูโหย่วเผิงไม่ได้รังเกียจที่จะถูกทุกคนตั้งฉายา “มองย้อนกลับไปของ "เสี่ยวหู่ตุ้ย" และ "องค์หญิงกำมะลอ"  เป็นสัญลักษณ์ของช่วงวัยรุ่นที่แสนงดงามของใครหลายคน เพราะชอบ ทุกคนก็เลยจดจำได้ สำหรับเรื่องนี้ผมรู้สึกขอบคุณมาก”

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด