ผู้เขียน หัวข้อ: 2008 Rich Without Money  (อ่าน 12187 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
2008 Rich Without Money
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 05:43:04 PM »

ซูโหย่วเผิงสัจธรรมกับการเล่นโยคะ

“ ฝึกฝนธรรมะ ถึงจะรู้สัจธรรมอะไรบางอย่าง ความเคลียดเกิดจากการไม่ปล่อยวาง ที่จริงแล้ว หลายอย่างเรื่องนั้น มันไม่ได้เป็นปัจจัยที่จำเป็น เป็นเพียงตัญหาความโลภที่ดื่ออยากได้นั่นเอง ฉะนั้น พระพุทธองค์ได้กล่าวถึงการให้ทาน ก็คือเรียนรู้ที่จะให้แจกจ่ายออกไป การให้คือการปล่อยวาง"

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 9 ต.ค. 2008 Rich Without Money
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 05:46:26 PM »

ผู้รู้จักพอเป็นคนมั่งคั่ง "ซูโหย่วเผิง"

หากจะให้เอ่ยถึงวัยหนุ่มใต้ดวงอาทิตย์หรือวัยรุ่นไร้คู่ต่อสู้ "ซูโหย่วเผิง" น่าจะเป็นตัวแทนที่มีภาพพจน์ที่ดีที่สุดคนหนึ่ง ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา ตัวเขาเองเป็นคนที่ขาวใสสะอาดดังชิ้นผลไม้ขนมแข็ง ไม่ต้องซักถามสงสัยเลยว่าความดังของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นมันขนาดไหน ก็เหมือนกับการที่ไม่ต้องสงสัยว่า "หนัง องค์หญิงกำมะลอ" นั้นดังขนาดไหน

ประวัติศาสตร์บันเทิงเรียบๆได้เปิดออกที่ละนิดที่ละนิดดังภาพหนึ่งภาพ

แน่นอนที่จะเห็นถึงภูเขาสูงสองลูก ไกวไกวหู่ อู่อาเกอ"พระเอก-องค์หญิงกำมะลอ" แต่ระหว่างยอดเขาลูกนี้กับยอดเขาลูกนั้น จะเดินข้ามอุปสรรค์ใต้เขาลูกแล้วลูกเล่าได้อย่างไร?

เมื่อเอ่ยถึงการติดตามของคนทั่วไป เป็นความโชคดีของซูโหย่วเผิงที่ได้รู้จักกับยี่เจีย เป้สะพายตัวหนึ่ง หนังสือเล่มหนึ่ง ปล่อยร่างกายให้สบายๆ จิตใจก็ค่อยๆเปิดออกมาที่ละนิดๆ

ในห้องแต่งตัวที่สว่างไปด้วยแสงไฟ ซูโหย่วเผิงสวมใส่ชุดโยคะที่หลวมๆ ผิวพรรณที่เคยสวยแม้แต่หญิงสาวเห็นก็ยังอายนั้นได้กลับถูกแดดจนเปลี่ยนเป็นสีคล่ำ วัยหนุ่มที่ใต้คางมีหนวดยาวๆ แต่ขณะที่เห็นฟันขาวๆที่ออกมาจากรอยยิ้มของเขานั้น ก็ยังเป็น ไกวไกวหู่ เหมือนเดิม

วัยหนุ่มที่ถูกกำหนดไว้แล้ว

สำหรับซูโหย่าวเผิงแล้ว “เสี่ยวหู่ตุ้ย” เป็นความทรงจำที่ไม่เลือน เป็นช่วงที่รุ่งเรืองดังมากๆในชีวิตแห่งศิลปินของเขา “ ที่จริงแล้วการก่อตั้ง เสี่ยวหู่ตุ้ย เป็นเรื่องที่น่าบังเอิญ ผมได้อ่านในหนังสือพิมพ์ว่ามีการรับสมัครผู้ช่วยรายการ ก็เลยไปสมัคร ตอนนั้นก็จบมัธยมต้น กำลังรอเปิดเทอมอยู่ ก็เลยคิดว่าเป็นงานในช่วงปิดเทอมก็แล้วกัน คิดไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายมันเป็นงานตลอดชีพของผม คุณดูพวกคุณซิ ถึงตอนนี้แล้วยังพูดถึงเสี่ยวหู่ตุ้ย มันก่อตั้งไปแล้วยี่สิบแล้ว"

“เสี่ยวหู่ตุ้ย”กลายเป็นกระแสลมที่น่าภูมิใจในตอนนั้น ซูโหย่วเผิงในตอนนั้น งดงาม น่าเอ็นดูได้เข้าเรียนโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดของไต้หวัน เหมือนดังพ่อแม่ทุกคนล้วนอยากจะให้ลูกชายตัวเองเป็นคนที่รักของคนทุกคน

หากว่าผมจะบอกกับคุณว่า ผมไม่ใช่เป็นเด็กที่เชื่อฟังสักนิดเลย ยิ่งกว่านั้น แท้จริงผมไม่ชอบคำว่า ไกว(เชื่อฟัง) ภาพลักษณ์อย่างนี้เลย คุณจะคิดอย่างไร ? ตอนเด็กผมเป็นคนที่เชื่อฟัง แต่ว่าเมื่อมาถึงช่วงมัธยมต้น ในช่วงเวลาของ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ผมเป็นคนที่ดื่อแล้ว ยิ่งกว่านั้นผมชอบท่าเต้นกวนๆอย่างทางตะวันตกมากๆ ชอบที่สุดคือ มาดอนน่า กับ ไมค์โคมี่ เจียโคซิ่ง และมีอยู่ปีหนึ่ง เขาได้ไปจะงานคอนเสิร์ตเต้นแร๊พที่นิวยอร์ค ไม้ตีกลองที่หลุดออกมาจากมือกลองมาถูกที่ตา ครู่เดียวก็มีทั้งเลือดและน้ำตาไหลออกมา เขาเจ็บจนต้องนั่งลงไป ในใจคิดว่าตาคงไม่บอดไปนะ

เขาคิดอยากทำตัวพิศดารๆ อยากใส่เสื้อผ้าขาดๆ อยากเดินสู่เส้นทางที่ห้าวหาญ อยากโกนผม ไว้ผม ย้อมผม ... “ที่จริงหลายอย่างที่ผมอยากจะลองทำ เพราะความเป็นวัยรุ่น แต่ว่าทางค่ายนั้นได้จัดให้เราเป็นอย่างที่วางไว้เรียบร้อยแล้ว เสือน้อยสามตัว จะต้องมีตัวหนึ่งที่ออกแนวหล่อ ตัวหนึ่งออกแนวเด็กดี ตัวหนึ่งออกแนวโหดๆ "

เขาอาจไม่เคยได้ฟังสำนวนนี้ “ ฉันเป็นก้อนอิฐที่ปฏิวัติ ที่ไหนต้องการก็จะไปที่นั่น” แต่ความหมายของการจัดวางแนวนั้น มันต้องเป็นไปอย่างที่วางไว้ ดนตรีที่จริงเป็นดังสายน้ำ ศิลปินเป็นดังคนงานของสายน้ำ เขาถูกกำหนดให้อยู่ในตำแหน่งของตัวเอง อีกด้านหนึ่ง ชื่อเสียงที่เริ่มดังของเขาทำให้เขาต้องยอมรับ อีกด้านหนึ่ง ความกดดันก็ค่อยๆผูกมัดตัวเขา


ปีที่อยู่ม.6 การเรียนนั้นหนักมาก การแสดงก็ไม่สามารถจะหยุดได้ เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนลูกข่าง กำลังหมุดไปมาทั้งสองด้าน เขาจำต้องขยันในการเรียน ผลสอบเก็บคะแนนของทุกครั้ง ก็จะเป็นที่จับจ้องของแฟนๆ เขาก็ยังจำต้องออกไปแสดง ความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆในเวที ก็จะเป็นที่ประจักษืไม่อาจปกปิดได้ เวลากับความว่าง มันกลับแน่นไปหมด ดั่งซูโหย่วเผิงที่พูดไว้ “ เพราะว่าภาพพจน์ของไกวไกวหู่คือทั้งเล่นทั้งการแสดงเก่งและเรียนเก่ง ผมกลัวมากกับการที่จะทำให้ทุกคนผิดหวัง ตอนนี้มาคิดถึงตอนนั้น มันไม่เป็นตัวของตัวเองเลย ไม่เป็นธรรมชาติของตัวเอง ลืมตัวเอง แต่กลับถูกชะตาชีวิตจูงไปอย่างไม่มีทางเลือก"


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 9 ต.ค. 2008 Rich Without Money
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 05:50:48 PM »

บุคคล

ขณะที่จุดศูนย์กลางของไฟไม่ได้ส่องมาที่ตัวของคุณ


คำว่า พบกันใหม่จะให้พูดออกจากปากได้อย่างไร ? เฉินจื้อเผิงไปเกณฑ์ทหาร เสี่ยวหู่ตุ้ยได้แยกย้ายกันชั่วคราว อัลบั้มชุดที่หกของพวกเขาคือ (พบกันใหม่) “เชื่อเถิดว่าพรุ่งนี้พวกเราต้องพบกันอีกแน่นอน ดังเมฆขาวที่ยากจะจากท้องฟ้าสีคราม” เมฆขาวยากจะจากท้องฟ้า แต่ท้องฟ้าชั่งลืมเมฆขาวได้ง่ายจัง พวกเขาต่างคนก็ต่างมีความโดดเด่นของตัวเอง

“เสี่ยวหู่ตุ้ย” ดุจรถไฟขบวนหนึ่ง เมื่อถึงจุดหมาย ผู้โดยสารที่ลงจากขบวน ได้ยืนโดดเดี่ยวอยู่ที่ชานชลา จำต้องถามตัวเองว่า คุณมาจากไหน? คุณจะไปทางใด ? ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า “ก่อนนี้ยุ่งวุ่นกันตลอด ที่ค่ายเพลง งานโฆษณา โรงเรียน สอบ ... ยุ่งๆกันแทบทุกวัน แต่ว่า เมื่อได้พักหยุดแล้ว ปัญหาเรื่องราวหลายอย่างก็ยากจะหลีกเลี่ยง

ใต้หวันในตอนนั้นกับประเทศจีนก็เหมือนกัน ล้วนคิดว่าวิชาช่างนั้นเป็นวิชาที่ดี เพราะเขาเป็นคนที่เชื่อฟัง ฉะนั้นก็เลยเชื่อฟังความเห็นของทุกคน มหาลัยที่เรียนนั้นเป็นมหาลัยที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หวัน ทั้งยังเป็นคณะที่ดีที่สุดในมหาลัยนั้น แต่ว่า ไม่เคยมีใครเคยถามเขาเลยว่า จริงๆแล้วเขาชอบและสนใจในสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า กระดาษวาดรูป ตลับลูกปืนเพลา (เครื่องยนต์) อะไหล่ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นมือไม่คุ้นตาเลย เขาได้ใช้ความพยายามมากๆในการเรียนรู้ แต่ก็ไม่เข้าใจ หรือว่ายังหนุ่มอยู่ ทันทีทันใดสิ่งเหล่านี้ก็พังทลายลง


“ในตอนนั้นผมเองไม่ค่อยสนใจการเรียนเท่าไรนัก ทุกวันก็จะออกไปกับเพื่อนพาลไปกินเหล้า แข่งรถบ้าง จะว่าในช่วงทันใดนั้นมีเรื่องหลายเรื่องที่คิดไม่ตก ทำไมแฟนๆที่เคยชอบเราถึงได้น้อยลง ทำไมการบ้านถึงยากเย็นขนาดนี้ เหมือนดังคนที่อยู่จุดสุดยอดแล้วตกลงไปในก้นเหว เริ่มรู้สึกว่า ชีวิตคนเราไม่ได้เป็นอย่างภาษิตที่ว่า ทำนาไปด้วยเก็บเกี่ยวไปด้วย” (ความหมายคือ ลงแรงไปเท่าไรก็จะได้รับสิ่งตอบแทนเท่านั้น) ความรู้สึกในเวลานั้น ซูโหย่วเผิงได้ใช้สองคำมาเปรียบเทียบตัวเอง “กลัดกลุ้ม”

ปีที่อยู่มหาลัยปีสี่ กิจการของพ่อได้ล้มละลาย ไม่เพียงแต่เอาเงินที่ซูโหย่วเผิงเก็บหอมรอมริบมาที่ละน้อยมากหลายปีนั้นถูกใช้ไปหมด และยังมีหนี้สินอีกมากมาย เหตุเพราะเรื่องนี้ทำให้พ่อแม่เขาทะเลาะกันแทบทุกวัน และบ้านหลังนี้ที่ยิ่งอยู่ยิ่งเย็นชาลงไปนั้น ซูโหย่วเผิงอยู่เฉยๆไม่ได้อีกต่อไป


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 9 ต.ค. 2008 Rich Without Money
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 05:54:05 PM »

ปี 1995 ข่าวที่น่าสะเทือนใจได้ตามมา ซูโหย่วเผิงได้ลาออกจากมหาลัย ข่าวที่ได้ถูกตีแพร่ออกไปที่สาธารณะคือเขาได้ไปเรียนที่อังกฤษ แต่ซูโหย่วเผิงกล่าวว่า “ที่บอกว่าไปเรียนต่อ สู้บอกว่าไปเสเพต่อไม่ดีหรือ (เล่นคำ ไปเรียนต่อ ไปเสเพล) หรืออาจเป็นเพราะว่าผมดังเร็วเกินไป ชีวิตของความเป็นเด็กวัยรุ่นที่วัยรุ่นมีนั้นผมกลับไม่มีเลย ฉะนั้นก็เลยอยากจะไปในที่ๆไม่มีใครรู้จักไปใช้ชีวิตใหม่ที่นั่น”

“ การมองของคนนั้นเป็นดังหัวลูกศร เสี่ยวหู่ตุ้ย ในอดีต เมื่อผมเดินออกไป เป็นเป้าสายตานับพันหมื่น ลำตัวผมนั้นเต็มไปด้วยศรธนู ตอนหลังเมื่อไปที่อังกฤษ ไปที่ที่ไม่มีใครรู้จักผม เริ่มแรกยังมีความรู้สึกว่าอาจต้องโดนศรอีก แต่ก็รู้สึกว่าไม่มีเลย ระยะเวลาค่อยๆผ่านไป ก็เริ่มคลายความเคลียดลง บางเวลา อยากจะตามใจตัวเอง ไปทำเรื่องบางเรื่อง แต่คงเป็นเพราะมีนิสัยที่ไม่ดื่อ ก็เลยไม่ได้ไปทำ และได้ประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยศรธนูกับไม่มีศรธนูสักดอกเลย ผมรู้สึกว่าตัวเองก็คงได้รู้ถึงการอยู่กับศรนั้นได้ดีแล้ว"

แน่นอนจุดโฟกัสแสงไฟนั้นย่อมไม่มีวันดับ แต่มันคงไม่ได้ส่องอยู่ที่ตัวคุณตลอดเวลา ขณะที่แสงไฟโฟกัสไปที่ตัวคุณนั้น ต้องทำตัวดีๆ และเมื่อแสงไฟได้จากไป ก็ยังต้องทำตัวดีๆเหมือนเดิม เพราะว่าคุณจะไม่รู้ว่า แสงไฟนั้นจะส่องมาที่คุณเมื่อไร

ศูนย์กลางของตาชั่งจาน

ในเวลาที่ไม่สั้นไม่ยาวนี้ หลายคนคิดว่าเขาจะไม่กลับมาอีก ที่จริง เขาแค่เพียงเก็บตัวเงียบๆเอง ไม่ได้หยุดไปเลย อ่านหนังสือ ไตร่ตรอง เดินทาง ได้สะพายเป้ ร้องท้าธรรมดาๆคู่หนึ่ง IPOD หนึ่งตัว หนังสือออสเตเรียหนึ่งเล่ม นั่นคือวันเวลาที่เขาได้เข้าสู่หลักธรรมพระพุธท และในช่วงนั้น เขาได้รู้จักกับโยคะ

“เหมือนกับคนทั่วไป ผมเริ่มต้นด้วยการฝึกโยคะ ทั้งนี้ก็เพื่อสุขภาพ เพราะว่าในตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายเราเป็นเหมือนท่อที่อุดตัน จำต้องให้มันไหลได้ดี เมื่อระยะเวลาค่อยๆผ่านไป ผมรู้สึกว่าโยคะไม่เพียงแต่จะช่วยให้คลายกล้ามเนื้อเส้นเอ็นเท่านั้น มันยังให้คุณฝึกสมาธิ ทั้งสมาธิทั้งการคลายกล้ามเนื้อในเวลาเดียวกัน มันพูดยาก การเล่นโยคะจากในสู่นอกหรือจากนอกสู่ใน ร่างกายค่อยๆผ่อนคลาย จิตใจก็ค่อยๆปล่อยวาง


ผมชอบท่าจบที่ ตัวตรง (ไม่แน่ใจนะ) บางครั้ง ตัวคนเดียวอยู่อย่างเงียบๆ พักสายตา เพียงแค่หายใจเท่านั้น มันสามารถสะท้อนให้เราคิดถึงดังที่พระธรรมได้กล่าวไว้ “จิตใจว่างเปล่า” ความรู้สึกอย่างนั้น ใต้ฟ้าไม่มีอะไรที่อบอุ่นกว่าพลังแห่งการให้อภัยแล้ว ผมชอบคำเปรียบเทียบของเพื่อนคนหนึ่งมาก เธอพูดว่า ขณะที่ใจคนคนหนึ่งสามารถที่จะพักสงบอยู่ในร่างกาย ก็เหมือนดังถั่วลิสงที่นอนอยู่ในเปลือกของมัน หรือว่า จื่อ 子 นอนอยู่ใน โขว 口 囝 (เป็นคำภาษาจีน)"

เป็นดังนี้แหล่ะ เขาได้รอคอยอยู่อย่างสงบตลอดเวลา

ปี 1997 ชื่อเสียงที่โด่งดังจากหนัง(องค์หญิงกำมะลอ)ทำให้แสงฟ้าได้โฟกัสไปที่ตัวเขาอีกครั้ง จากนักร้องวัยรุ่นกลายเป็นนักแสดงที่เป็นขวัญใจของปวงชน เสมือนดังวงการบันเทิง “ต้าเซียน” หวงอัน ได้กล่าวไว้ โดยเหตุที่มีหนังเรื่องนี้ ซูโหย่วเผิงในภาพลักษณ์ก็ได้หลุดพ้นจากหลุมดำของ เสี่ยวหู่ตุ้ย สามารถลุกขึ้นทำด้วยตัวเอง ในด้านการแสดงภาพยนต์ ละคร เพลงทั้งสามอย่างนี้ไปด้วยกัน

จากหนังเรื่อง (องค์หญิงกำมาลอ) (ฉิงเซินๆหยี่หมงๆ) จนถึง(เจ๋ใต้ซวงเฉียว)เส้นทางการแสดงยิ่งเดินยิ่งกว้างไกล ระดับวัยวุฒิยิ่งอยู่ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ บุคลิกภาพก็ยิ่งนานวันยิ่งสับสน ในเรื่อง(อีเทียนสู่หลงจี้) เขาได้แสดงอย่างจิตใจที่ลังเลไม่มีความเด็ดขาด อยู่ในความสับสนไม่รู้จักเลือกข้างไหนดีตลอดเวลาอย่าง จางอู่จี้ แต่ว่า สิ่งที่ทุกคนจำเขาได้ก็ล้วนเป็นเรื่อง “องค์หญิงกำมะลอ” ที่แสดงในบท องค์ชายห้า

แม้ว่าซูโหย่วเผิงสามารถที่จะทำให้ผิวพรรณของเขานั้นเป็นอย่างชายชาตรีที่สีคล้ำๆ มีหนวดมีคราว ในนิตยาสารได้สื่อออกมาเป็นชายที่ห้าวๆ แต่ว่า เขาก็ไม่สามารถที่จะให้คนอื่นลืมความเป็น ไกวๆหู่ของเขา ไม่สามารถจะลืม องค์ชายห้า ในองค์หญิงกำมะลอ ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้มันอาจเป็นจุดสุดยอดของเขาก็ได้
ฟ้าสีครามทุกๆวัน


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 9 ต.ค. 2008 Rich Without Money
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 05:55:29 PM »

ใต้ฟ้าไม่มีพลังอันใดที่อบอุ่นกว่าการให้อภัย   
ผมชอบคำเปรียบเทียบของเพื่อนคนหนึ่งมากๆ เธอกล่าวว่า
ขณะที่คนคนหนึ่งสามารถให้จิตใจของเขานอนอย่างสบายในตัวเขา 
ก็เหมือนดังถั่วลิสงที่นอนอยู่ในเปลือกของมัน   
หรือว่า จื่อ นอนอยู่ใน โข่วกลายเป็นเจี้ยน

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 9 ต.ค. 2008 Rich Without Money
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 06:00:50 PM »

หลังจากที่เดินมาถึงจุดสุดยอดแล้ว มันจะค่อยๆไหลลงอีก นี่เป็นสัจธรรม และยิ่งกว่านั้นในวงการบันเทิง รุ่นใหม่ได้มาแทนรุ่นเก่าอย่างรวดเร็ว แผนการที่วางไว้มันไม่ทันเท่าเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้น หลายปีนี้ ผมได้เดินทางมาแล้วหลายเส้นทาง ได้ดูดวงมาแล้วหลายที่หลายแห่ง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นวิถีชีวิต ไม่รู้สึกเลยว่าบุคคลที่สำคัญนั้นต้องเป็นศิลปินเท่านั้น

“คนที่เคยมีประสบการณ์ที่สูงสุดและตกต่ำสุดของชีวิตถึงจะเข้าใจกันและกัน ชีวิตคนเราก็เหมือนกับตาชั่งจาน เดี๋ยวทางซ้ายโยกขึ้น เดี๋ยวทางขวาโยกขึ้น ตอนนี้ ให้อะไรกับผม ผมก็รับได้ ความคึกคักนั้นก็ดี ความเงียบสงบนั้นก็ดีเหมือนกัน การเรียบๆง่ายๆก็เป็นสัจธรรม การเกริกก้องก็เป็นสัจธรรมเหมือนกัน ทุกอย่างล้วนแต่ชะตา การทำถึงนั้นเป็นสิ่งไม่ง่าย แต่ผมรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนเป้า เหมือนดังศูนย์กลางของตาชั่ง"

ขณะที่วัยรุ่นผ่านไปกว่าครึ่งนั้น ซูโหย่วเผิงไม่รู้สึกใจหาย


“ ช่วงวัยรุ่น ผมมีความทะเยอทะยาน เป็นคนหนึ่งที่ที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ ผมชอบคำพูดของเหล่าซือมาก  “ผู้รู้จักเพียงพอเป็นผู้มั่งมี”  คิดๆแล้ว สิ่งที่เคยแสวงหานั่นก็ได้มาหมดแล้ว หากจะโลภกว่านี้อีก ก็เหมือนกับให้ความโลภมาจูงเราไป ชีวิตอย่างนี้มันถูกจูงอย่างไม่เป็นอิสระ หากผู้หนึ่งที่ไม่อยากจะได้มากกว่านี้ จะต้องได้สิ่งที่ต้องการทั้งๆที่ไม่มีสิ่งนั้นเลย ความตามใจปรารถนาอย่างนี้อาจทำให้จิตใจตกต่ำ หรือว่าเป็นแง่ลบ ที่จริงสภาพอย่างนั้นก็เหมือนการไม่รู้จักพอ ตามใจตัวเอง"

การเป็นผู้ใหญ่นั่นเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง

ขณะที่กำลังวิเคราะห์ชีวิตของซูโหย่วเผิงนั้น หวงอัน พูดอย่างไม่อ้อมค้อม ในเรื่องการเข้าสังคมนั้น “ไกวๆหู่” จะไม่สามารถเรียนรู้ถึงการอยู่ในสังคงที่มีเล่ห์เหลี่ยมให้รอด เพราะทุกอย่างล้วนแสวงหาแต่สิ่งที่ดี รวมทั้งมีความรู้สึกที่ไว มักจะทำร้ายความรู้สึกคนอื่นอย่างไม่ตั้งใจ ซูโหย่วเผิงอดีตก็เคยเป็นคนที่มีชาตินิยมที่ต้องดีไปหมด จุดบกพร่องของคนคนหนึ่งนั้นล้วนจะเป็นจุดดีของเขา กลอุบายไม่มาก เพียงแต่เปรียบเทียบกับตัวเอง ดูเหมือนกับในแง่บวกไม่พอ ที่จริง มันกลับกลายเป็นการได้รับ ฉะนั้น คุณดูเขาสิ อายุตั้งสามสิบห้าแล้ว ใบหน้ายังเหมือนเด็กที่เป็นที่ชอบของทุกคนเหมือนเดิม คนประเภทนี้ ให้คำพูดของหวงอันว่า ผู้มีคุณนั้นมีมากมาย ฉะนั้น ได้ดังไปกับดาราครั้งแล้วครั้งเล่า ชื่อของซูโหย่วเผิงไม่เคยดังมากกว่าอย่างนี้ และก็ไม่เคยดับไป

ซูโหย่วเผิงได้ยอมรับต่อสาธารณะว่าเคยทำงานเพื่อที่จะได้เงิน “ ผมเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ผมต้องการชีวิตที่อิสระ สิ่งนี้ต้องการเงินมาเป็นที่หนุนหลัง ขณะที่คุณมีปัญหากับคนในครอบครัวแล้ว ความฝันมันไกลเกินจริงๆ ฉะนั้นบางปีทุ่มเทกับงานอย่างมาก หวังว่าจะมีสักวันที่ตัวเองเลือกเองได้ ตังเองเป็นเจ้านายของตัวเอง หากพูดว่าช่วงยากจนนั้นมันไม่มีอิสระ แต่แม้จะมีเงินทองเพิ่มมามากมายก็ยังมีหลายคนที่ไม่มีอิสระ  “ การเป็นผู้ใหญ่ก็เหมือนการวาดภาพภาพหนึ่ง คือเรียนรู้จักขั้นตอนการปล่อยวาง ตอนไม่มีเงินก็เคลียด ในเมื่อมีเงินมีชื่อเสียงแล้ว ครั้งเดียว

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 9 ต.ค. 2008 Rich Without Money
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 06:02:55 PM »

"ชีวิตก็ยังเคลียดเหมือนเดิม หลังจากนั้น บำเพ็ญธรรมะ ถึงจะเข้าใจถึงสัจธรรมบางอย่าง การเคลียดก็เพราะปล่อยวางไม่ได้ ที่จริงแล้ว อะไรหลายๆอย่าง มันไม่เป็นปัจจัยที่จำเป็น เพียงแต่เป็นตัญหาความปรารถนาของใจเราเท่านั้น ฉะนั้น พระพุทธองค์กล่าวว่า ก็คือการเรียนรู้ในการให้ การให้คือการปล่อยวาง”

หลายปีนี้ เขาได้เข้าร่วมเป็นผู้ช่วยผู้ประสพภัยทั้งเล็กๆใหญ่ๆมากมาย ปี2005 ได้ร่วมกับมูลนิธิเยาวชนจีน ได้ตั้งมูลนิธิซูโหย่วเผิง ที่ปักกิ่ง ได้ให้ความช่วยเหลือด้านกำลังทรัพย์สำหรับเด็กในด้านการศึกษา

“ นิสัยมนุษย์มีจุดอ่อนมากมาย และมีคนก็ได้เก็บสิ่งนี้ไว้ในใจก็มี นี่เป็นจุดแข็งของนิสัย มีนิสัยเป็นคนที่ชอบเปิดใจกับคนรอบข้าง ฉะนั้นผมก็ยินดีที่จะช่วยเหลือคนที่ต้องการการช่วยเหลือ พวกเขาสุขใจ ผมก็สุขใจ เข้าสู่วงการนานหลายปีแล้ว หวนคิดถึงชีวิตของตัวเอง ได้รับการอุปถัมป์มากมายจากคนรอบข้าง ก่อนจะถ่ายหนัง "องค์หญิงกำมะลอ" เป็นช่วงตกต่ำของชีวิต หนทางข้างหน้าว่างเปล่า ด้านการเงินก็มีปัญหา ในทันใดนั้น เส้นทางเปลี่ยนไป เหมือนดังความอัศจรรย์ ฉะนั้นผมรู้สึกขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง หลังจากตอนนั้น ผมถึงเข้าใจ การเป็นผู้ใหญ่นั้นเป็นหน้าที่อย่างหนึ่ง ชายคนหนึ่ง ไม่มีะไรเลย คุณก็ต้องแสดงถึงความรับผิดชอบต่อครอบครัว รับผิดชอบต่อสังคม"

เขาได้พูดเรื่องเล็กๆเรื่องหนึ่ง ในงานพิธีเปิดโรงเรียนความหวัง ซึ่งอยู่ภายใต้การสร้างของชื่อเขานั้น เขาได้มาที่เหอหนัน ได้รับการต้อนรับจากคนในพื้นที่อย่างมาก ครูใหญ่ได้พูดกับเขาทั้งน้ำตาว่า ขอบคุณท่าน พวกเราจะจดจำท่านตลอดไป” ในตอนนั้นซูโหย่วเผิงลึกซึ้งใจมาก ผู้ที่จำเขาได้นั้นมากมายจริงๆ มีทั้งคนรัก มีทั้งคนชัง มีทั้งแฟนๆ แต่คำที่ว่า “จดจำ”นั้นมันไม่เหมือนกัน

“ชีวิตไม่ดับ เหตุและผลไม่สูญ ทุกสิ่งกำลังหมุนเวียน คุณสามารถทำผิดมากมาย ทำร้ายใครบางคน ทำในเหตุที่ไม่สมควร แต่ว่าคุณก็ยังสามารถที่จะทำในสิ่งที่ดีได้ ทำในเหตุที่ดี แต่ไม่ว่าจะเป็นผลที่ดี หรือไม่ดี ผล เป็นสิ่งที่พวกเราล้วนต้องไปเผชิญกับมัน รับผิดของมัน"


### จบสัมภาษณ์  ###


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 2008 Rich Without Money
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: พฤษภาคม 25, 2021, 02:46:09 PM »