https://www.facebook.com/AlecfanclubinThailand/posts/1471357239569431[2017.03.29] 苏有朋:改编《嫌疑人X的献身》压力特别大 最开始被书
http://www.weibo.com/ttarticle/p/show?id=2309351000894090565091298603#_0【专访】苏有朋:改编《嫌疑人X的献身》压力特别大 最开始被书迷骂懵了
http://www.jiemian.com/article/1206945.htmlซูโหย่วเผิง:แรงกดดันอย่างหนักจากการปรับ-เรียบเรียงบทภาพยนตร์ “The Devotion of Suspect X”ในช่วงแรกถึงกับโดนบรรดาหนอนหนังสือด่าจนงงไปเลย
ถึงวันนี้ ซูโหย่วเผิงในฐานะผู้กำกับ ไม่สนใจกับฉายา “ไกวไกวหู่” (เสือน้อยสามตัวในสมัยนั้น)อีกต่อไป
หลังจาก ผลงานชิ้นแรกจากการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง “The Left Ear” เสร็จสิ้นไปในปี 2015ภาพยนตร์เรื่องที่ 2ของผู้กำกับซูโหย่วเผิง เป็นอีกครั้งที่เขาเลือกปรับ-เรียบเรียงเนื้อหาภาพยนตร์มาจากในนิยาย แต่ทว่า ในครั้งนี้นิยายที่ว่านั้น เป็นผลงานประพันธ์เรื่อง“The Devotion of Suspect X”ของคุณฮิงาชิโนะเคโงะ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงหรือจำนวนฐานผู้ชมก็ชนะ“The Left Ear” ไปอย่างขาดลอย นอกจากนี้ก่อนที่จะมีการนำมาดัดแปลงเป็นเวอร์ชั่นภาษาจีน ก็ได้มีการนำมาดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเกาหลีมาแล้วเมื่อเป็นงานเขียนอันเลอค่ามาก่อน จึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่จับตามองของบรรดาผู้ที่คลั่งไคล้ในผลงานนิยายฉบับoriginalซึ่งงานนี้ก็สร้างแรงกดดันให้แก่ผู้กำกับไปไม่น้อย
ถึงแม้ว่าภาพยนตร์วัยหนุ่มสาวอย่าง “The Left Ear” จะไม่ค่อยโดดเด่นเท่าไรนัก โดยล่าสุดจากการให้คะแนนโดยกลุ่มโซเชียลเน็ตเวิร์คจีน พบว่าคะแนนยังแตะไม่ถึง 6.0ของเส้นระดับมาตรฐานคะแนนแต่อย่างไรก็ตาม ผลงานของเขาก็ยังกวาดตั๋วชมไปถึง 480ล้านใบเลยทีเดียว ทำให้ซูโหย่งเผิงคว้ารางวัลม้าทองคำปีนี้ไปครองจากการได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้กำกับหน้าใหม่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งปีซึ่งสำหรับผู้กำกับหน้าใหม่แล้ว การได้ก้าวมาถึงจุดนี้ถือเป็นสถิติความสามารถที่ไม่ธรรมดาการประสบความสำเร็จเชิงธุรกิจได้สร้างความมั่นใจแก่ซูโหย่วเผิงในการเดินหน้าสู่การเป็นผู้กำกับอย่างไม่ต้องสงสัย คราวก่อนที่ซูโหย่วเผิงได้ถูกขอสัมภาษณ์ เขาได้กล่าวถึงหัวใจสำคัญเกี่ยวกับสายการทำงานของเขาว่า การเปลี่ยนแปลงของตนเองนั้นถือว่ามีความเด็ดขาดมาก เมื่อเลือกแล้วก็จะไม่มีการหันหลังกลับไปอีกแน่นอน
“The Devotion of Suspect X”ถือเป็นการเรียบเรียงผลงานการประพันธ์ของคุณฮิงาชิโนะเคโงะ ให้ออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์เป็นเวอร์ชั่นแรกของจีน ซึ่งในประเทศจีนนั้นงานประพันธ์ของคุณฮิงาชิโนะเคโงะ ชิ้นนี้นับว่ามีหนอนหนังสือที่คลั่งไคล้ในนิยายเรื่องนี้อยู่เป็นจำนวนมาก แค่จำนวนผู้อ่านในโซเชียลเน็ตเวิร์คจีน ไม่ว่าจะเป็นเวอร์ชั่นไหนก็ล้วนได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ไปกว่าหมื่นข้อความ และในขณะเดียวกัน การให้คะแนนก็มักจะอยู่ในระดับ 9.0 โดยประมาณ
แต่จะว่าไป ในกลุ่มผลงานประเภทที่มีแฟนคลับของผู้ประพันธ์ฉบับ original เยอะมากๆแบบนี้ แต่ไหนแต่ไรมาเมื่อจะมีการนำมาเรียบเรียงให้ออกมาในรูปแบบของภาพยนตร์ ก็มักจะต้องเจอกับคำถามของเหล่าบรรดา FC ทั้งหลายว่า คุณจะสามารถสะท้อนเรื่องราวของนิยายเรื่องนั้นให้ออกมาเจ๋งได้หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นซีรีย์ต่างประเทศเรื่อง... แฮรี่พอตเตอร์ หรือจะเป็นซีรีย์จีนเรื่อง “บันทึกจอมโจรแห่งสุสาน”ก็ตาม ในช่วงเริ่มปรับ-เรียบเรียงเป็นบทภาพยนตร์ใหม่ๆก็มักจะต้องเผชิญกับปัญหาในทำนองนี้เช่นกัน
สำหรับผู้กำกับที่มีผลงานเพียงแค่ชิ้นเดียวอย่างซูโหย่วเผิงแล้ว กับผู้คนที่สงสัยในตัวเขาที่มีจำนวนมากมายมหาศาลเต็มเหยียดตั้งแต่ขุนเขายันมหาสมุทร เมื่อข่าวการเข้ามารับตำแหน่งผู้กำกับของเขาได้ถูกประกาศออกไป ผู้ที่คลั่งไคล้ในผลงานประพันธ์ฉบับดั้งเดิมในอินเทอร์เน็ตก็เริ่มสงสัยในความสามารถของเขาว่าจะสามารถนำนิยายเรื่องนี้ถ่ายทำออกมาให้ดีได้หรือไม่ ได้มีเพื่อนชาวเน็ตออกมาพูดล้อแบบขำๆว่า “นักแสดงน่ะ ฉันเลื่อมใสจริงๆแหละนะ แต่ผู้กำกับนี่สิ มันน่าตะขิดตะขวงใจยังไงก็ไม่รู้อ่ะ” กับสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้ ซูโหย่วเผิงก็ออกมาพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ในช่วงเริ่มต้น ผมรู้สึกกดดันมาก ก่อนหน้านี้ก็ถูกบรรดาหนอนหนังสือออกมาด่าจนผมถึงกับงงไปเลย เพราะฉะนั้นผมจะต้องทำให้มันออกมาดีให้ได้เท่านั้น”
ในงานแถลงข่าวภาพยนตร์รอบปฐมทัศน์แห่งนครเซี่ยงไฮ้ครั้งนี้ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของกระบวนการการจัดงาน จากรูปแบบงานแถลงข่าวที่ซับซ้อนเหมือนเมื่อก่อนตามแบบฉบับของที่ปักกิ่งกลายมาเป็นรูปแบบงานที่ซูโหย่วเผิงกับหวังข่ายและจางหลู่ยีได้ออกมาพูดหยอกล้อกันแทนและประเด็นที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือ ประเด็นที่ก่อนหน้านี้มีเหล่านักแสดงได้ออกมาฟ้องว่า ผู้กำกับซูโหย่วเผิงนั้น เข้มงวดจนโหดร้ายเกินเหตุหวังข่ายพูดแบบหัวเราะว่า ในช่วงที่ถ่ายทำ เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้กำกับจะลุกขึ้นยืน เพราะมันจะแปลว่าเขาค่อนข้างพอใจในการแสดงที่พึ่งถ่ายเสร็จไปเมื่อกี๊ น่าจะไม่ต้องถ่ายซ้ำแล้ว ในส่วนที่เลือกหวังข่ายและจางหลู่ยีเข้ามารับบทนักแสดงนำ ซูโหย่วเผิงได้ให้เหตุผลว่า “ขอแค่เขามีคาแรคเตอร์ที่เหมาะกับตัวละครในนิยาย มีมาดของความเท่ห์ รวมไปถึงมีแววตาของคนประเภทที่ไอคิวสูงๆแบบที่ผมหวังไว้ ซึ่งพวกเค้าทั้งคู่ก็มีน่ะนะ” ในขณะเดียวกันกับการเลือกใช้นักแสดงประเภทที่ “เรทติ้งแรง” แบบนี้ เขาเชื่อว่าในการทำภาพยนตร์ควรจะต้องคิดในเรื่องของความบาลานซ์ในส่วนที่เป็นความต้องการของตลาดกับความเป็นศิลปะให้ดี ไม่ควรทุบเรทติ้งทิ้งด้วยไม้ไผ่เพียงท่อนเดียว
และกับผู้ซึ่งเป็นคนที่รู้จักสนิทสนมกันมานานอย่างหลินซินหรู ซูโหย่วเผิงได้กล่าวว่า “ทุกคนต่างก็ยิ่งมีชีวิตอยู่ก็จะยิ่งไม่รู้สึกหวั่นเกรงต่อสิ่งใด ยิ่งไม่ต้องรู้สึกว่าถูกอะไรผูกมัด ยิ่งมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง” และเขายังพูดแบบล้อเล่นอีกว่า “ต่อไปจะไม่มีทางไปเล่นหนังเรื่องที่มีหลินซินหรูเป็นผู้กำกับเด็ดขาดครับ เพราะเธอจะต้องแก้แค้นผมแน่ๆ”
บทสัมภาษณ์ซูโหย่วเผิงโดย jiemian.com (เจี้ยเมี่ยนบันเทิง)
เจี้ยเมี่ยนบันเทิง:นี่เป็นผลงานชิ้นที่ 2 ที่คุณเป็นผู้กำกับ จากภาพยนตร์เรื่องแรกที่เป็นหนังแนววัยรุ่น เสร็จแล้วก็มาต่อด้วยเรื่องที่สองที่เป็นหนังแนวระทึกขวัญไปเลยทำไมคุณถึงเลือกที่จะฉีกแนวการทำหนังแบบนี้คะ
ซูโหย่วเผิง:คือ...ปกติแล้ว ผู้กำกับที่เป็นระดับมืออาชีพ ในมือพวกเขาที่กำลังถ่ายทำงานชิ้นนี้อยู่ ข้างหลังก็อาจมีแผนงานชิ้นอื่นๆรออยู่แล้ว ค่อยรอดูว่าจะหยิบงานชิ้นไหนออกมาถ่ายก่อน ตอนแรกที่ผมถ่ายทำเรื่อง “The Left Ear” ถือเป็นความสำเร็จแบบที่ไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรมาก ถือว่าเป็นกรณียกเว้นเลยด้วย พอถ่ายเสร็จก็เลยไม่มีใครมาช่วยผมสานต่อ ทีนี้ทุกคนก็เลยช่วยคิดเรื่องแนวภาพยนตร์แทน ตอนนั้นที่เลือกแนวภาพยนตร์ก็แอบมีความใฝ่ฝันของตัวเองด้วยเล็กๆก็คือ.. หวังว่ามันจะมีกลิ่นอายของความเป็นศิลปะ แล้วก็มีใจความสำคัญของเรื่องที่ชวนให้เก็บไปคิด จะต้องดูมีรสชาติ
ซึ่งของแบบนี้ บางทีมันก็ดูเข้มข้นไปครับ คนดูอาจจะรับไม่ไหว ก็เลยคิดว่าอยากจะให้มีส่วนที่เอาใจความต้องการของตลาดบ้าง ก็...อาจจะมีท้องเรื่องที่สนุกสนานรวมไปถึงมีเนื้อหาที่เข้มข้นซ่อนอยู่ภายใน เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่ว่า พอถ่ายทำหนังแนววัยรุ่นเสร็จก็คิดจะเปลี่ยนมาเป็นแนวระทึกขวัญเลย จริงๆแล้วมันไม่ได้ซับซ้อนอะไรขนาดนั้นครับ ผมก็แค่คิดแบบซื่อๆว่าอยากจะเป็นผู้กำกับที่สามารถเล่าเรื่องราวแบบนี้ออกมาได้ก็เท่านั้นเอง
เจี้ยเมี่ยนบันเทิง:จากผลงานเรื่องแรก “The Left Ear”เป็นผลงานที่มีเนื้อหาเรียบเรียงมาจากนิยาย ทำไมในเรื่องที่สอง ถึงยังเลือกเรียบเรียงเนื้อหาจากนิยายที่เป็นที่รู้จักอีกคะ
ซูโหย่วเผิง: ตามหลักแล้ว ผมเป็นคนที่ไม่ชอบทำอะไรที่ซ้ำซากจนเกินไปครับ เพราะฉะนั้น ในทุกๆครั้งก็มักจะเป็นการสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ เหมือนกับตอนที่เราสู้กับสัตว์ประหลาดอยู่น่ะครับ ในด่านแรก เราก็คิดว่า กว่าจะผ่านมาได้ก็ไม่ใช่ง่ายๆ ก็เลยรู้สึกว่าโอเคละ ปรากฏว่าพอมาด่านที่สองสัตว์ประหลาดก็จะเก่งขึ้นกว่าเดิม ในด่านที่สองสำหรับผมเป็นผลงานที่นับว่าเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก มีผู้คนจำนวนมากที่กำลังจับตามองในเรื่องนี้อยู่ เพราะอย่างนั้น ระดับความยากก็เลยเพิ่มขึ้นครับ ตามหลักแล้ว ผมไม่ชอบอะไรที่ซ้ำๆ แต่จะชอบความรู้สึกที่แปลกใหม่ ตอนปี2005 สมัยนั้นผมก็อ่านนิยายนะครับ รู้สึกว่านิยายเรื่องนี้สนุกดี ต่อมาพอทุกคนพูดถึงหนังแนวนี้ขึ้นมา ก็เลยเหมือนมีประเด็นมาพาให้ผมเข้ามาจัดการพอดี ก็เลยเริ่มต้นกันแบบนี้แหละครับ
เจี้ยเมี่ยนบันเทิง: สำหรับบรรดาหนอนหนังสือแล้ว “The Devotion of Suspect X” (ฉบับนิยาย) นับว่าเป็นงานประพันธ์ที่เรียกได้ว่าเป็นคัมภีร์เลยทีเดียว แบบนี้แล้ว ในช่วงที่คุณปรับ-เรียบเรียงบทภาพยนตร์ คุณพยายามยึดตามแบบของต้นฉบับเดิม หรือได้มีส่วนที่ตัวคุณเองตีความเพิ่มเข้าไปด้วยคะ
ซูโหย่วเผิง:ในครั้งนี้พวกเราได้วิเคราะห์กันค่อนข้างเยอะครับ ผมคิดว่าตัวผมเองก็เหมือนหนึ่งในบรรดาหนอนหนังสือที่ผันตัวเองมาเป็นผู้กำกับนะครับ มันจะต้องสรุปกระบวนการอย่างเป็นขั้นตอน ในตอนแรกผมเองก็เป็นผู้ที่คลั่งไคล้ในการอ่านหนังสือคนนึง ในตอนนั้นผมแค่มีความสุขในเทคนิคของการเขียนและสุดท้ายก็ส่งไปให้หัวใจของตัวเองได้รู้สึกและสัมผัสกับมัน แต่ว่า พอผมมาเป็นผู้กำกับ ผมจะต้องทำความเข้าใจกับมันใหม่ทั้งหมด ว่าจริงๆแล้วคดีมันเป็นยังไงกันแน่ มันเป็นเรื่องราวของอะไร คุณใช้กลยุทธในการเขียนแบบไหนที่ทำให้ได้ผลตอบรับจากคนดูในแบบที่คุณต้องการ ผมจะต้องคงคุณค่าของเทคนิคการเขียนของผู้ประพันธ์เดิมไว้ครับ
หลังจากที่เข้าใจในเทคนิคการเขียนแล้ว ผมก็จะต้องสรรหามุมของผมที่จะหันมามองเรื่องเรื่องนี้ ที่จะนำมาเล่าเรื่องราว นอกจากนี้ยังจะต้องทำให้มีความแตกต่างกับเวอร์ชั่นอื่นๆด้วย เพราะในเวอร์ชั่นอื่นๆก็มักจะมีการแสดงออกถึงเทรนด์ของคุณค่าเชิงวรรณกรรมที่ค่อนข้างจะโดดเด่น หมายถึง เรื่องนี้กับการตีความของผู้สร้างนั่นเอง ซึ่งผมก็มีการแสดงท่าทีในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน แต่การแสดงท่าทีของผมนั้นก็จะค่อนข้างจะคลุมเครือนิดนึง ผมอยากจะเก็บพื้นที่ไว้ให้ผู้ชมได้วิเคราะห์ต่อเองด้วย เพราะฉะนั้น ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็จะมีบางส่วนที่ทำออกมาไม่ค่อยเหมือนกันกับเวอร์ชั่นอื่นๆ
เจี้ยเมี่ยนบันเทิง: เนื่องจากทางต้นฉบับได้มีบรรยากาศที่แสดงออกถึงความเป็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นพอนำเรื่องนี้มาถ่ายทำที่ประเทศจีน ก็จะมีหลายๆอย่างที่จะต้องปรับเปลี่ยน คุณได้คิดเรื่องที่จะปรับเปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำอย่างไรบ้างคะ
ซูโหย่วเผิง:พวกเราขบคิดเกี่ยวกับปัญหาในเรื่องนี้ไม่หยุดเลยครับ คอยหาช่องโหว่กับเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมา ในการถ่ายทำภาพยนตร์ของเรา เราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านมา ที่สำคัญคือเมื่อสัปดาห์ก่อนก็มีเสียงซักถามในสื่อโชเชียลที่พากันด่าผมจนผมถึงกับงงไปเลย ผมก็เลยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถทำให้มันออกมาดีให้ได้ เพราะฉะนั้นพวกเราเลยเต็มที่และจริงจังกับทุกๆรายละเอียดและที่คุณพูดถึงรายละเอียดในเรื่องฉากการถ่ายทำ ในส่วนนี้พวกเราทำออกมาดีมากครับ อย่างเช่น จักรยาน จากเนื้อเรื่องในนิยายได้พูดถึงจักรยานใหม่ที่หายไป ซึ่งเจ้าของจักรยานก็ไปแจ้งความและเมื่อแจ้งความแล้วก็จะสามารถระบุเวลาที่จักรยานของเขาถูกขโมยได้และจะนับว่าเป็นหลักฐานชิ้นหนึ่งของเขาเลย ทีนี้ในข้อแรก ที่ประเทศจีนเวลาที่คุณซื้อจักรยานดีๆมาซักคัน คุณจะไม่มีทางจอดมันทิ้งไว้ข้างถนนแน่ๆ แต่ถ้ามันเป็นแค่จักรยานธรรมดาๆ ถ้าคุณจอดมันทิ้งไว้ข้างถนนแล้วมันหาย คุณก็คงจะปล่อยมันหายๆไปคุณคงไม่ถึงกับไปแจ้งตำรวจหรอก ปัญหาแบบนี้พวกเราจำเป็นต้องช่วยกันคิดหาทางแก้ครับ ปัญหาแบบที่ว่ามานี้มีอยู่เยอะเลยนะครับซึ่งพวกเราจะต้องทำเต็มที่จนทุกคนสามารถรู้สึกได้ว่ามันใช่และดูน่าเชื่อมากที่สุด ผมคิดว่าเมื่อเข้าไปในหนังแล้วการที่คนดูจะเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่เรื่องราวนั้นๆได้สะท้อนออกมานั้นถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
จดหมายจากคุณฮิงาชิโนะเคโงะ
“ประเทศจีนในวันนี้นับว่าเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีภาพยนตร์จากทั่วโลก การที่นิยายของผมได้ถูกนำมาถ่ายทำที่ประเทศจีนนั้น นับเป็นเกียรติของผมเป็นอย่างยิ่ง ขอขอบคุณทุกๆท่านที่ตั้งใจ การที่ได้เห็นผู้ที่มีความสามารถอันยอดเยี่ยมอย่างพวกคุณช่วยกันรังสรรค์ผลงานภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์และไม่ได้ยึดติดกับต้นฉบับมากเกินไปจนขาดความยืดหยุ่นนั้นทำให้ผมรู้สึกยินดีและรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นผลงานของพวกคุณในเร็ววัน”
เจี้ยเมี่ยนบันเทิง:ในระหว่างการปรับ-เรียบเรียงบทภาพยนตร์ ได้มีการติดต่อกับคุณฮิงาชิโนะเคโงะ บ้างไหมคะ
ซูโหย่วเผิง:จริงๆแล้วไม่ได้ติดต่อกันเลยครับ เขาเป็นเทพนะอันนี้ต้องบอกก่อนเลย แต่สุดท้ายที่พวกเราได้รับจดหมายฉบับนั้นจากเขาก็ทำให้รู้สึกคาดไม่ถึงเหมือนกันนะครับข้อตกลงสันติภาพทางด้านลิขสิทธิ์ฉบับเมื่อก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่ามันค่อนข้างยาวผมก็เลยไม่ค่อยเคลียร์กับมันเท่าไหร่ จนผมเขียนบทละครไปถึงช่วงกลางๆท้ายๆของเรื่องแล้วนั่นแหละ จู่ๆก็ได้รับข่าวแจ้งมาว่าคุณฮิงาชิโนะเคโงะ อยากจะเห็นตัวบทละครของพวกเรา จนวันนี้แหละครับผมถึงจะเข้าใจในความหมายของเขาว่าจริงๆแล้วเขาไม่ได้มีเจตนาเข้ามาก้าวก่ายการรังสรรค์ผลงานของพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียวเขาเพียงแค่ต้องการจะเตือนพวกเราด้วยความปรารถนาดีและด้วยความมิตรมากๆว่า ผู้ที่มีอำนาจในลิขสิทธิ์นั้นคือตัวนิยายของเขาเองก็คือ...ลิขสิทธิ์ของผลงานฉบับที่เรียบเรียงใหม่ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่นก็ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสถานีโทรทัศน์ฟูจิเทเลวิชัน ส่วนผลงานที่เป็นเวอร์ชั่นเกาหลีก็เป็นลิขสิทธิ์ของเกาหลีทางนั้นไป เพราะฉะนั้นจำไว้นะพรรคพวก ในเวลาที่พวกคุณสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นเวอร์ชั่นของจีนไม่ต้องแคร์กับเรื่องข้อพิพาททางลิขสิทธิ์นะ จุดประสงค์ของเขาเท่าที่ผมเข้าใจก็คงจะเป็นประมาณนี้แหละครับ
เจี้ยเมี่ยนบันเทิง:ทำไมสุดท้ายคุณถึงเลือกหวังข่ายกับจางหลู่ยีเข้ามารับบทแสดงนำคะ ในมุมของผู้กำกับ สองคนนี้มีอะไรที่คุณรู้สึกว่าเหมาะกับบทบาทของตัวละครในท้องเรื่อง?
ซูโหย่วเผิง:พวกเขาสอดคล้องกับคาแรคเตอร์น่ะครับ คนทั้งสองที่ต่างก็มีความเป็นอัจฉริยะในหลายๆด้าน แต่ในอีกหลายๆด้านก็ยังเป็นตัวที่เอามาใช้วัดกันได้แบบพอดิบพอดี แบบนี้ถึงจะสามารถเพิ่มบรรยากาศของการตัดความสัมพันธ์ของชายทั้งสองได้ ซึ่งจริงๆแล้วพวกเขาทั้งสองคนต่างก็มีผลงานการแสดงไม่น้อยนะครับ ถึงแม้ว่าผมจะดูไม่หมด แต่ผมก็พอมองออก ที่สำคัญที่สุดคือต้องมาเจอหน้ากันจริงๆแล้วลองมาพูดคุยกันน่ะครับ พวกเราต่างก็เป็นนักแสดง ถ้าคุณดูแค่สิ่งที่แสดงออกมาในภาพยนตร์ที่เขาเล่น คุณจะรู้ได้ยังไงว่าจริงๆแล้วเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่ผมคิดว่าการคุยกันแบบเจอหน้ากันจริงๆเนี่ยเป็นขั้นตอนที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีโอกาสได้เลือก นักแสดงที่เก่งๆเขาก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกเช่นกันนะครับว่าพวกเขาจะไปอยู่ในกองถ่ายแบบไหน ไปอยู่กับผู้กำกับแบบไหน ซึ่งจริงๆแล้วผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆที่ได้เจอพวกเขาทั้งสองคน
เจี้ยเมี่ยนบันเทิง:บรรดาหนอนหนังสือที่คลั่งไคล้ในนิยายฉบับ original เนี่ยมีเยอะมากมายขนาดนั้น และในขณะเดียวกัน ภาพยนตร์ที่เป็นเวอร์ชั่นญี่ปุ่นกับเกาหลีก็ยังมีจุดพีคที่ดีไม่แพ้กันเลยทีเดียว ผู้กำกับอย่างคุณรู้สึกกดดันบ้างหรือเปล่าคะ? เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นที่ผ่านมา คุณคิดว่าความพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเวอร์ชั่นจีนอยู่ตรงไหนคะ?
ซูโหย่วเผิง:แรงกดดันเนี่ยจัดว่าได้ใจสุดๆไปเลยครับ มันเป็นการฝึกฝนทางจิตใจอย่างหนึ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนให้ความเศร้าและปวดร้าวกลายมาเป็นพลังให้ได้ เพราะฉะนั้นการบ้านที่ผมจะทำก็คือ หาคำตอบว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหนังแนวปริศนานี้กันแน่ มันเปรียบเทียบกับอะไรไม่ได้เลย แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่หนังแนวปริศนาจริงๆหรอก แต่ก็เป็นลักษณะที่มีความเป็นปริศนาคลุมไว้ภายนอก ข้างในมันเต็มไปด้วยอารมณ์ที่พันกันอยู่เต็มไปหมด จริงๆแล้วคำพูดที่แฝงไปด้วยความรู้สึกต่างหากที่ดูน่าสงสัย ผมพูดแบบนี้เดี๋ยวก็มีบรรดาหนอนหนังสือออกมาไม่พอใจผมอีก (หัวเราะ) โดยหลักการแล้ว มันไม่ใช่หนังแนวไขคดีปริศนาซะทีเดียวหรอกนะครับ ผลงานเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะฉะนั้นภาพยนตร์ของเราจะเซ็ตให้มันออกมาเป็นหนังแนวปริศนาไปเลยก็ไม่ได้ ถ้าหากคุณอยากจะดูหนังในแนวไขปริศนาแบบเพียวๆแล้วล่ะก็ บอกได้เลยว่าถ้าคุณเดินเข้าโรงหนังแล้ว คุณจะต้องเดินออกมาด้วยความผิดหวังแน่ๆ เพราะมันสอบตก แนวภาพยนตร์ของหนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน การถ่ายทำในเวอร์ชั่นของพวกเราก็จะพยายามใช้มุมมองในหลายๆอย่างที่ไม่เหมือนกัน โดยมองเรื่องนี้ในแง่มุมที่ไม่เหมือนกันเพื่อให้ทุกๆคนได้คิด-วิเคราะห์ในมุมที่แตกต่างกันไป