ผู้เขียน หัวข้อ: 2008 “ยอดเยี่ยม” ของการทำงานการกุศล  (อ่าน 6967 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
2008 “ยอดเยี่ยม” ของการทำงานการกุศล
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 05:36:19 PM »


เชื่อเถอะว่า นี่ไม่ใช่เป็นการเล่นลักษณะท่าทางของซูโหย่วเผิง ถ้ามาเปรียบกับนักศิลปินที่รุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เขาเป็นคนที่มีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมที่สุด แต่เยาว์วัยก็ประสบผลสำเร็จในชีวิต ได้โดดเด่นมีชื่อเสียงขึ้นใต้แสงไฟแห่งบนเวที แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ได้สูญเสียสิ่งที่คนธรรมดาคนหนึ่งพึ่งที่จะได้รับไม่น้อยเลยที่เดียว

ตอนอายุ15 ผมถูกคัดเลือกเข้าวงเสี่ยวหู่ตุ้ย จนดังในชั่วค่ำคืนเดียว ซูโหย่วเผิงกล่าวว่าในตอนนั้นฝันก็ฝันไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะดังขนาดนี้ ในเวลาเดียวกันก็คาดไม่ถึงเลยว่า ภายหลัง 2 ปีขณะที่จะสอบเข้ามหาลัยนั้น ความกดดันที่เขาจะต้องเผชิญกับมันนั้นมันใหญ่ขนาดไหน แต่เด็กในสายตาคนอื่นนั้นเขาจะเป็นเด็กที่เก่งและเป็นนักเรียนที่ดี การแข่งขันต่างๆนั้นก็ได้รับที่หนึ่ง เรียนมัธยมนั้นเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดดังที่สุด ในสายตาทุกคนนั้น การที่สอบเข้ามหาลัยนั้นเป็นเหมือนกับว่าเป็นทางเลือกเดียวของไกวๆหู่ “ ผมไม่สามารถบอกว่าผมไม่เรียนมหาลัย ไปเป็นศิลปินเลย ทัศนะมุมมองในตอนนั้นก็อย่างนี้แหละ การเป็นนักศึกษานั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนเลือกให้ผม” และไม่ได้ทำให้ทุกคนผิดหวัง ซูโหย่วเผิงสอบได้อันดับ 5 จากผลสอบของนักเรียนใต้หวันทั้งหมดและได้เข้าไปเรียนในมหวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เรียนทางเทคนิคช่างกล “ ช่วง ม.6 นั้นผมได้ลาหยุดงานเป็นเวลา 1 ปีเต็มๆ เตรียมตัวอย่างสุดชีวิต ก็เพื่อที่อยากจะพิสูจน์ตัวเองให้กับทุกคนเห็น การที่ไปสมัครสอบคณะช่างกลนั้น ก็เพราะมันเป็นวิชาอาชีพที่ทุกคนว่าสอบเข้ายาก ในสมัยมัธยมนั้นวิชาพวกฟิสิกส์ เคมี ชีวะและคณิตนั้นผลการเรียนของเขาดีมาก และเขาไม่ชอบวิชาที่ต้องท่องต้องจำอะไรอย่างนั้น แต่เมื่อหลังจากที่เขาเข้าสู่มหาลัย เขาพึ่งรู้สึกว่าแท้จริงตัวเองไม่ชอบพวกเรื่องเครื่องกลเลย พวกประสาทสัมผัสกับมนุษย์ศาสตร์นั้นถึงจะเป็นสิ่งที่เขารักและสนใจอย่างแท้จริง จนมาถึงเวลานี้นั้น เขาพึ่งมองออกว่าจะวางแผนเรื่องอนาคตของตัวเองอย่างไร

จนสุดท้าย ขณะที่เข้าสู่ปีที่ 3 ซูโหย่วเผิงได้ตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกคนอึ้งไปหมดเลย – ลาออก  ในขณะนั้นได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ยากมากๆ จากคำพูดของซูโหย่วเผิงนั้นให้รู้สึกถึงการเบื่อหน่าย “ในตอนนั้นเสี่ยวหู่ตุ้ยก็แยกกันแล้ว ตัวผมเองก็ได้ไปตามทางของผมคนเดียว ทุกสัปดาห์นั้นต้องบินไปพรีเซนต์งานที่ฮ่องกง เวลาที่จะอยู่ที่มหาลัยนั้นน้อยมากจริงๆ” ด้านหนึ่งจะต้องดำเนินงานด้านการแสดงต่อไป  ด้านหนึ่งจะต้องเป็นนักศึกษาที่ดี ผู้ดิ้นรนที่อยากจะดีทุกอย่างอย่างซูโหย่วเผิงนั้นก็คิดว่าอยากจะทำให้ทั้งการเรียนและการงานดีพร้องกันไปทั้งสองด้าน แต่เขาก็สังเกตได้ว่านั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ “ วิชาชีพเครื่องจักรกลที่ผมเรียนนั้น มีเนื้อหาที่ต้องดูมากขนาดนั้นเชียว มีสูตรที่ต้องท่องจำมากขนาดนั้นเลยหรือ รวมทั้งยังการการฝึกลงมือทำที่ไม่รู้จักจบ ทั้งเรียนในชั้นเรียนส่วนมากแล้วผมก็ไม่ได้เข้าอีกด้วย ผมได้พยายามต่อสู้เรื่องนี้กับทางบริษัท และสิ่งที่ได้รับอย่างมากก็แค่ได้มีเวลาอ่านหนังสือ1สัปดาห์ก่อนจะสอบเพื่อยัดความรู้เข้าไปโดยไม่รู้ว่าจะรับหรือไม่แค่นี้เอง ซูโหย่วเผิงจำได้ว่าในตอนนั้นเขากลัวมากที่จะไปร่วมรายการหรือว่าไปร่วมกิจกรรมกับทุกคน เพราะว่าทุกครั้งที่ผู้นำเนินรายการเชิญเขาออกมานั้นก็มักจะแนะนำตัวเขาว่าเป็นนักศึกษาที่ “เรียนดีประพฤติเยี่ยม” ประโยคนี้ สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเอง และยิ่งกว่านั้นคือยากจะเผชิญกับมัน “ในตอนนั้นผมอยู่ในมหาลัยนั้นผลการเรียนก็ไม่ใช่ว่าจะดีเยี่ยม”

ซูโหย่วเผิงกล่าวว่าเพื่อนักเรียนที่มหาลัยไต้หวันของเขานั้นมีหลายรูปแบบหลายสไตล์ ไม่ได้มีเพียงแต่พวกหนอนหนังสือเท่านั้น “พวกเขาต่างคนต่างมีบุคลิกนิสัยส่วนตัวของเขาเอง และทั้งยังพัฒนาเติบโตไปตามธรรมชาติที่มันควรจะเป็น และตัวผมเองนั้นก็ควรจะมีการเติบโตของตัวของผมเอง แต่ไม่มีใครให้เวลาและโอกาสอย่างนี้กับผม ตั้งแต่เริ่มแรกนั้น ชะตาก็ให้ป้ายติดตัวผมแล้ว ว่าผมควรจะเป็นเด็กที่รักการเรียนการอ่าน และชื่อ ไกวๆหู่นั้นก็ยิ่งตีตราให้ชีวิตผมว่าเป็นคนที่ภาพลักษณธดีเลิศตามธรรมเนียมความคิดของชาวจีน และความกดดันที่หนักหน่วงที่ตามมานั้นทำให้เขายากจะรับไหว ผมไม่ใช่สุเปอร์แมน ผลเองก็


ถึงแม้จะผ่านช่วงปีแห่งการก่อตั้งแล้ว เห็นได้ว่าซูโหย่วเผิงนั้นยังหนุ่มมาก หนุ่มแน่นเหมือนดังชายชาตรี ใบหน้าของเขานั้นสามารถใช้ความงดงามมาเปรียบ เสมือนวันเวลาไม่ทิ้งรอยเหี่ยวย่นไว้ให้เขาเลย หรือว่าเหตุเพราะเขาอาจอยากหลุดพ้นจากภาพลักษณะไกวๆหู่นั้น ทุกครั้งที่เขาต้องเผชิญกับแลนกล้องนั้น เขาล้วยแสดงถึงสีหน้าที่เงียบคลึม ไม่เห็นรอยยิ้มแม้แต่น้อยเลย ได้ซ่อนสายตาที่เหลียมคมเสมือนกำลังบ่งบอกถึงการเป็นผู้ใหญ่และการเปลี่ยนแปลงของเขา แต่ว่า ขณะที่เขาได้นั่งลงเปิดอกอย่างจริงใจกับคนอื่นนั้น คุณจะสังเกตเห็นถึงความเดียงสาบริสุทธิ์ภายในใจของเขา ยังอบอุ่นเหมือนเดิม



“ยอดเยี่ยม” ของการทำงานการกุศล

ในเว็ปไซส์ส่วนตัวของซูโหย่วเผิงนั้น สำหรับ “มูลนิธิของซูโหย่วเผิง”นั้น การแนะนำรูปแบบการบริจาคนั้นได้จัดไว้ให้เห็นได้อย่างโดดเด่น “มูลนิธิ”นี้ เป็นการร่วมมือระหว่างซูโหย่วเผิงกับมูลนิธิเยาวชนจีนก่อตั้งขึ้นในเดือนกันยายน 2005 ฤดูใบไม้ผลิต(ช่วงตรุษจีน) ของปี 2007 ซูโหย่วเผิงได้สร้างโรงเรียนประถมศึกษาซีว่างที่เหอหนันผ่านทางมูลนิธินี้ ได้สัมผัสกับเด็กๆที่ได้รับการช่วยเหลือซูโหย่วเผิงกล่าวว่า “ นัยน์ตาของเด็กๆเหล่านี้ ผมได้เห็นถึงความกระหายในการอยากเรียนของพวกเขา”

ที่จริงก่อนหน้านี้หลายสิบปีนั้น ซูโหย่วเผิงเคยเข้าร่วมกิจกรรมงานสาธารณะประโยชน์มากมายกับเสี่ยวหู่ตุ้ย “ตอนนั้นล้วนเป็นการจัดของทางบริษัทให้พวกเราไปร่วม เหตุเพราะยังอยู่ช่วงวัยรุ่นเกินไป ยังไม่ค่อยเข้าใจถึงหน้าที่รับผิดชอบต่อสังคมคืออะไร ซูโหย่วเผิงเริ่มคิดเรื่องสาธารณะประโยชน์กับงานการกุศลจริงๆจังๆนั้น คือช่วงวัย30ที่เขาเริ่มรู้จักการแทนคุณขอบคุณ “หลายปีที่ผ่านมานั้นการงานอาชีพนักศิลปินนั้นขึ้นๆลงๆ  มีถึงจุดสูงสุดและตกต่ำสุด ให้ผมเข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองได้รับนั้นไม่ใช่เป็นการบังเอิญหรือเป็นสิ่งที่สมควรจะได้รับ” ซูโหย่วเผิงกล่าวว่าตอนนี้เขาเรียนรู้จักการฉวยความสุขแล้ว “หลายครั้งชื่อเสียงเกียรติยศนั้นเป็นของอนิจัง เป็นสิ่งที่ทุกคนให้คุณ และยังเป็นสิ่งที่มาจากสังคม ขณะที่คุณกลายเป็นคนมีชื่อเสียง ทุกกิริยาบทของคนนั้นล้วนมีอิทธิพลต่อสังคม ชื่อเสียงนั้นไม่ได้เป็นของคุณคนเดียวแล้ว การทำคุณตอบแทนนั้นเป็นหน้าที่จำเป็นต้องมี

เผชิญกับความสงสัยว่าการทางานการกุศลหรือว่า “ทำให้เหมือนดีได้หน้า” ซูโหย่วเผิงได้เปิดเผยออกมาอย่างเซ็งๆ เขารู้สึกว่าการทำงานการกุศลที่เป็นรูปเป็นร่างและการออกไปกาศให้เป็นที่รู้จักกันทั่วนั้นมันทำความลำบากใจแก่เขา การทำการกุศลของคนดังนั้นเสมือนกับ “โยนอิฐเพื่อล่อให้โยนหยกออกมา” (ใช้ความคิดเห็นที่ตื้นๆเพื่อล่อให้คนอื่นแสดงความคิดเห็นที่ลึกซึ้งและเฉียบแหลมออกมา) แต่ว่าให้ชาวโลกทุกคนได้รู้กันทั่วหน้าว่าตัวเองกำลังทำในสิ่งที่ดีและยังทำให้คนอื่นรู้สึกว่าล่าชื่อเสียงและคำเยินยอ จากสิ่งนี้ก็ทำให้ซูโหย่วเผิงนั้นลำบากใจเหมือนกัน  แต่เขาก็ยืนหยัดและเข้าใจว่าคนดังพึงมีหน้าที่ในการที่จะประกาศงานสาธารณะประโยชน์และงาการกุศล สิ่งที่พวกเราที่เป็นคนดังได้เปรียบที่สุดก็คือการที่ตัวเองมีอิทธิพลต่อสังคมนั้นแหล่ะ ผ่านทางอิทธิพลที่มีอยู่นั้นผลัดดันทุกคนร่วมมือกันทำ อย่างนี้ถึงจะเป็นประโยชน์สูงสุด” ซูโหย่วเผิงกล่าวว่ากำลังจะเอาเสื้อผ้าของตัวเองเปิดขายทางอินเตอร์เน็ต หลังจากนั้นเอายอดเงินที่ขายได้ทั้งหมดมอบให้กับโรงเรียนซีว่าง  “สร้างโรงเรียนประถมศึกษาซีว่างนั้นต้องใช้งบ2แสนหยวน หากว่าเงินที่ขายเสื้อผ้านั้นยังไม่พอ ที่ขาดอยู่นั้นผมจะเป็นคนรับผิดชอบเอง” จากน้ำเสียที่จริงจังนั้นทำให้ทุกคนเชื่อได้ว่าเขาตั้งใจกับโครงการนี้จริงๆ  หากว่าแน่เป็นการ “ทำเพื่อเอาหน้า”แล้วล่ะก็ ถ้างั้นก็นับได้ว่าซูโหย่วเผิงได้ใช้รูปแบบที่จริงใจที่สุดแล้ว


ถามเขาว่าได้ตั้งเป้าไว้ไหมว่าอนาคตจะสร้างโรงเรียนซีว่างซูโหย่วเผิงกี่แห่ง เขาพูดอยางหัวเราะว่า “นี่ยังจะต้องดูรายรับในอนาคตของผมด้วย แต่ว่าถ้าหากขอเพียงมีความเป็นไปได้ มูลนิธิของผมนั้นก็จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ” “หากว่าวันหนึ่งได้ลาจากวงการแล้วคุณจะทำอะไร?” เขาคิดแล้วคิดอีกตอบว่า “ผมอาจจะไปทำงานด้านช่วยสังคม”
   
เรียนรู้การปล่อยวาง เชื่อถือมั่นใจตัวเอง

ตลอดปี 2007นี้ ซูโหย่วเผิงกล่าวว่าเขาไม่ได้ถ่ายหนังสักเรื่องเลย หลังจากที่ตั้งตัวได้แล้วอย่างซูโหย่วเผิงนั้นตัดสินใจจะไม่ทำงาน “บ้างาน”อย่างนั้นอีก นอกจากจะทำการแสดงให้ดีแล้ว ไม่หยุดในการถ่ายละครแล้ว เขายังรู้สึกว่าในชีวิตนี้ยังมีความฝันที่พิเศษที่รอเขาไปสานต่อ

“ สร้างโรงเรียนซีว่างแห่งหนึ่งต้องใช้งบ2แสนหยวน หากว่าเงินจากการขายเสื้อผ้าไม่พอ ที่ขาดผมจะรับผิดชอบเอง”