หากว่ามีมาดอย่างประธานธิบดีเหมาแล้ว นับว่าเป็นพี่ใหญ่เลย
ทางจางหันอี๋, หวังจงจิน, โจวซิน ที่ได้ออกมาปรากฏตัวในงานฉลองสองปีของค่ายหัวอี้ที่เพิ่งเสร็จไป เรื่อง “พี่ใหญ่” นั้นก็เป็นประเด็นร้อนเหมือนกัน ทางหัวอี้ยอมที่จะออกประเด็นร้อน “พี่ใหญ่” แน่นอนคนเยอะความก็เยอะ บอกว่าตัวเองไม่อยากจะเป็นผู้ชายที่ดื้อที่สุดของค่าย เช่นนี้ก็จะได้รับการสนับสนุนจากทางบริษัทก่อน เมื่อเทียบกับก่อนหน้าที่ (หวงเสี่ยวหมิง) ที่เด่นเป็นพิเศษ สองสามปีมานี้ทาง (จางหันอี๋) ก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน แต่เมื่อมามองเส้นทางของแต่ละคนแล้ว ล้วนแล้วแต่ไม่มีการแข่งขันกันเลย แต่การไม่มาร่วมงานของ (หวงเสี่ยวหมิง) กับการปรากฏตัวของ(จางหันอี๋) นั้นเป็นสิ่งที่น่าคิดเหมือนกัน
(จางหันอี้) นั้นไม่ชอบและยังรู้สึกเบื่อกับฉายา “พี่ใหญ่” (ดาราเนื้อหมอที่สุด) นี้ “อะไรคือพี่ใหญ่ แล้วใครคือพี่รองล่ะ น้องแท้ๆยังต้องคลอดตามมาตามเวลา ค่ายหัวอี้มีดารามากมาย ทุกคนต่างมีผลงานของตัวเอง คงไม่จำเป็นจะต้องไปออกงานพร้อมกันก็ได้มั้ง” ก่อนหน้านี้นั้น (จางหันอี๋) ยังกล่าวว่าในใจเขาพี่ใหญ่คือ (หวังจงจิน) พี่รองคือ (หวังจงสือ) แต่ว่าเมื่อได้ชมภาพยนตร์(เจี้ยนกว่อต้าแย่)แล้ว เอาพี่ใหญ่ของประเทศจีนมาเปรียบแล้ว เมื่อเทียบกับท่านแล้ว พวกเราเป็นใคร อย่าไปเปรียบว่าใครเป็นพี่ใหญ่เลย” จริงๆแล้วฉายาพี่ใหญ่นั้นก็เป็นเพียงตั้งขึ้นเฉยๆ ใครจะเป็นพี่ใหญ่นั้นล้วนเป็นการโปรโมทของทางบริษัทเอง สำหรับจางหันอี๋แล้ว ไม่ว่าจะเป็นพี่ไรก็ตาม อย่างน้อยเขามีรางวัลต่างๆที่เขาได้รับมาเป็นหลักประกันให้เขาว่าเขาเองก็ไม่น้อยเหมือนกัน นี่เป็นความภูมิใจที่ดาราหลายคนไม่มี “อย่าไปเทียบเรื่องใครเป็นพี่ใหญ่ ต้องเทียบด้วยผลงานรางวัลต่างๆ” นี่เป็นเสียงที่จางหันอี๋สะท้อนออกถึงการเป็นพี่ใหญ่ หลังจากเรื่อง(จีเจียเห้า)แล้ว เขาเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่จากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างเรื่อง (อีวหลงซี่ฟ่ง) (เฟิงเซิง) และดารารับเชิญอย่างเรื่อง(เจี้ยนก๋อต้าแย่) รวมทั้งยังมีอีกเรื่องที่กำลังจะเข้าโรงที่ตอนนี้เขาเองก็ยังเก็บเป็นความลับอยู่ อายุของจางหันอี๋ นั้นไม่น้อยแล้ว แต่เขาเองก็ยังเดินไปทีละก้าวทีละก้าว แต่ไม่ใช่เพื่อเงินแล้วทุ่มเป็นบ้าเลยอย่างนั้น และเขามีกฏระเบียบหลายๆอย่างที่เขาต้องไม่ฝ่ามัน แม้ว่าจะอยู่ในวงการบันเทิง เขาถือว่าหากไร้วินัยก็ไร้ชีวิต ที่เพิ่งเซ็นสัญญากับไปคือซ่งเจียงของ(ซินสุ่ยฝู) “เรื่องนี้นั้นทีมงานของพวกเขาได้มาหาผมตั้งนานแล้ว รอผมตอบรับตลอดเวลา ผมเองก็ได้นำมาคิดแล้วคิดอีกสุดท้ายก็ได้ตัดสินใจไป บทซ่งเจียงนั้นเล่นไม่ง่ายเลย แต่ว่าแต่เด็กผมเองก็ได้อ่านเรื่องนี้มาแล้ว สำหรับตัวละครนั้นผมเองก็รู้ดี แต่ผมก็ไม่มั่นใจว่าจะแสดงได้ดีไหม สำหรับบทที่คุ้นหูนั้น ทุกคนต่างก็มีจิตนาการณ์ของตัวเอง ฉะนั้นจะแสดงอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าไม่พอใจบ้าง” ซ่งเจียงในฉบับ หลี่เสียเจี้ยน นั้นมันต่างกับของซ่งเจียงเสียอี้ และครั้งนี้นั้น ทีมงานได้เลือกจางหันอี๋ หวังว่าเขาสามารถจะสร้างความเป็นซ่งเจียงเสียอี้ขึ้นมา “ซ่งเจียนแน่นอนเป็นวีรบุรุษ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องเขาแล้ว เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อพี่น้องของเขา ฉะนั้นผมจะพยายามที่จะเป็นซ่งเจียงที่เก่งกาจ แต่ว่าความกดดันก็ไม่น้อยเลย”
จางหันอี๋ที่รับบทที่เป็นพระเอกบทที่เป็นผู้ดีมาตลอดนั้นเวลานี้เขาน่าจะหันไปหาบทที่ท้าทายและทะลุทะลวงภาพลักษณ์เก่าของตัวเองแล้ว เช่นตอนนี้ไม่เล่นบทซ่งเจียง แต่ว่าไปรับเล่นบทที่มีภาพลักษณ์ที่ดีหน่อย เพื่อแสดงออกถึงฝีมือการแสดงของตัวเองบ้าง “มันไม่จำเป็นครับ อย่าคิดจะเปลี่ยนปฏิวัติภาพลักษณ์ตัวเองเด็กขาด ไม่มีอะไรให้ทำลายภาพลักษณ์ตัวเอง เพียงแค่แสดงในบทของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว ทุกวันคิดเพียงว่าผมต้องท้าทายบทใหม่ แสดงไปแล้วครั้งหนึ่งก็คงไม่รับบทอย่างนั้นอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มักจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะกระจิตกระใจนั้นไม่ได้จ่ออยู่กับบทที่ตัวเองแสดงเลย แต่ไปจดจ่อกับการที่จะเปลี่ยนแปลง เรื่องอย่างนี้นั้นมีแต่ก็หาได้ยาก หรือว่าบังเอิญวันหนึ่งคุณเจอเรื่องที่ดี และมันก็ไม่เหมือนเรื่องที่เคยเล่นมา คุณก็เล่นได้ดี นี่ถึงเป็นการเปลี่ยนแปลงปฏิวัติ” สำหรับจางหันอี๋ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ละเรื่องที่ติดต่อกันมานั้นก็จะเห็นภาพลักษณ์คอมมิวนิส ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวหลงเถ้าในเรื่องเจี้ยนก๋อต้าแย่ “สำหรับภาพยนตร์ประเภทนี้นั้น แค่ได้เข้าร่วมแสดงก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว ฉะนั้นไม่เคยเรียกร้องไว้ อย่างไรก็ตามผมเองก็ไปดูมาแล้ว สนุกจริงๆ”สามารถเขียนว่าผมนั้นงูๆปลาๆได้หลายอย่าง ซอปักกิ่ง ซอเครื่องดนตรี 4 สาย ผมล้วนเล่นได้เพลงสองเพลงเมื่อถ่ายฉากแรกเสร็จแล้ว จางหันอี๋ได้กลับไปในห้องแต่งตัวหยิบซอขึ้นมา ในห้องแต่งตัวนั้นมีเสียงซอดังขึ้น “โถ อย่าถามผมเรื่องอิ๋งตี้เลย มาเขียนเรื่องฝีมือการเล่นดนตรีผมจะดีกว่าเยอะ ผมเล่นเครื่องดนตรีเป็นหลายอย่าง” จางหันอี๋ที่เรียนเล่นเครื่องดนตรีแต่เด็กนั้นมีความฉลาดในเพลงพื้นเมือง ไม่ว่าจะเอาดนตรีอะไรมาให้ เขาก็สามารถดีดเป็นเพลงได้ “ลูกสาวผมตอนนี้กำลังเรียนเปียโน สมัยนี้เด็กเรียนเพลงพื้นเมืองนั้นน้อยมาก เรียนเปียโน เรียนวาดรูป นี่เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทำแล้วจะดูเป็นกุลสตรีขึ้น” ความเป็นอยู่ของจางหันอี๋นั้นจะว่าเรียบง่ายหรือพิถีพิถันก็ว่าได้ เขาบอกว่าตัวเองนั้นเรียบง่าย ไม่เรื่องมากกับการกินการใส่ ขอเพียงแค่กินอิ่มใส่อุ่นก็พอแล้ว มีชีวิตที่เรียบๆง่ายๆก็สุขใจแล้ว แต่ดูอีกด้านเขาก็เป็นคนที่พิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ เสื้อต้องเข้ากัน อยากจะให้เขาหยิบซอขึ้นมาเพื่อถ่ายรูป แต่เขากลับบอกว่า “เสื้อกับซอไม่เข้ากัน” เมื่อเห็นเชิ้ทสีแดงก็บอกว่านี่คงจะเข้ากันได้ เขาเองก็ไม่รู้เรื่องยี่ห่อ ไม่ว่าจะยี่ห่ออะไรหากไม่สวยก็ไม่เอาแล้ว ฉะนั้นจะบอกว่าจางหันอี๋ใส่สื้อเป็นเหตุเป็นผลหรือมีหลักการนั้นยากจะพูด นอกจากจะแสดงแล้ว งานอดิเรกที่เขาชอบทำคือการสะสมของโบราณ เครื่องแต่งบ้าน จัดวางของโบราณ ช่วงนี้เขาสนใจกับการเก็บก้อนหิน เห็นหินที่เก่าแก่และมีประวัติศาสตร์ “จริงๆแล้ว การจะชอบของโบราณกับการชอบประวัติศาสตร์มันเกี่ยวข้องกัน เพราะทุกชิ้นล้วนมีประวัติของมัน” และในวาเลนไทล์นั้นจางหันอี๋ได้ซื้อเครื่องประดับผมให้กับภรรยากล่องหนึ่ง “เธอชอบมากๆ มันสวยจริงๆ ทุกวันจะมองจ้องที่กล่อง เมื่อใส่มันแล้วจะดูสวยมาก” จางหันอี๋ที่ชื่นชอบของสะสมโบราณนั้นมีเหตุผลว่ามันจะช่วยเราเก็บแรงไว้ เพราะดูชมที่บ้านก็ได้ “หากไม่มีอะไรทำก็ชงชาดื่ม มองดูของสะสม มันดีขนาดไหน” พูดรวมๆแล้ว จางหันอี๋เป็นชายที่อนุรักษ์นิยมมากๆ ชอบเพลงพื้นเมือง ไม่ค่อยสนใจเครื่องดนตรีของยุโรปสักเท่าไหร่ ชอบศิลปะโบราณ ละครเพลง “เป็นไม่เป็นก็อยากจะลองทำดู” ชื่นชอบในวัฒนธรรมจีน อ่านประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา อ่านแล้วอ่านอีก ชอบของเก่า ภาษาสมัยนี้เรียกว่าของโบราณ ยิ่งเก่ายิ่งมีค่า แต่เขาไม่ได้ทำเป็นธุรกิจ ทำเพื่อตัวเองชื่นชมเท่านั้น ชอบดื่มชา ไม่เรียกร้องว่าต้องเป็นชาที่ราคาแพง คือชาที่ดีเลิศ เป็นชาสมัยราชวงศ์หมิง เขาเป็นผู้ชายปักกิ่งที่เรียบง่ายมีวัฒนธรรมคนหนึ่ง สองปีก่อนที่สัมภาษณ์เขา เขาหยอกล้อว่า มีความตลกในสไตน์ปักกิ่งมากมาย หลายเรื่องพูดขึ้นมาแล้วรู้สึกสนุกมากๆ สองปีผ่านไป สไตน์ตลกปักกิ่งยังอยู่ แต่ไม่มีความหยอกล้อให้เห็นแล้ว อาจเป็นเพราะเจอสื่อเยอะไป ทำให้หมดมุกไปแล้ว