ผู้เขียน หัวข้อ: 2009 โหย่วเผิงท้าทายบทบาทโรคจิต  (อ่าน 7131 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
2009 โหย่วเผิงท้าทายบทบาทโรคจิต
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 08:00:00 PM »
โหย่วเผิงท้าทายบทบาทโรคจิต ภาพพจน์ที่เป็นผู้ใหญ่

จากองค์ชายห้าใน(องค์หญิงกำมะลอ) ถึง ตู้เฟยใน(มนต์รักในสายฝน) จางอู่จี้ใน(อีเทียนสูหลงจี้/มังกรหยก) ตลอดเส้นทางแสดงของนักแสดงโหย่วนั้นภาพพระเอกได้ประทับอยู่ในดวงใจของทุกคนเรื่อยมา แต่ว่าหลังจากปี 2005 แล้ว โหย่วเผิงก็ไม่เล่นละครหนังอีกเลย ห่างจากจอเกือบสองปีเต็ม โหย่วเผิงได้ตัดสินใจเลือกที่จะร่วมงานกับค่ายโรงเรียนซูโจวหูน่า รับเล่นละครเย้ออ้ายทั้งหมดยี่สิบเจ็ด(27)ตอน ในเรื่องนั้นเล่นเป็นหมิงเทาที่เป็นโรคจิต ได้ประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนบทของตัวเอง

กระหายสัมผัสการเปลี่ยนแปลง บทบาท “คงไม่ใช่กระแสหลัก”

บทบาทในเรื่องเย้ออ้ายที่โหย่วเผิงเล่นนั้นได้แตกต่างจากที่ผ่านมา จากเรื่องนี้ โหย่วเผิงกล่าวว่า  คิดอยากจะเล่นบทอย่างนี้ตลอดมา นับตั้งแต่ได้เริ่มแสดงในละครทีวีมาจนถึง ณ วันนี้ บทที่ตัวเองเล่นนั้นล้วนเป็นกระแสหลัก(บทหลัก)มาตลอด เป็นบทที่ปกติสามัญทั่วไป ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามประสบการณ์ อายุการทำงาน ความสามารถที่ได้เพิ่มขึ้น เพื่อฝีมือการแสดงที่ดีขึ้น ก็เลยต้องเลือกบทที่ในสายตาของทุกคนดูแล้วมันแหวกแนว บทของในเรื่องเย้ออ้าย เป็นผู้ป่วยโรคจิตที่สับสนคนหนึ่ง แม้ว่าเรื่องราวของภาพยนตร์นั้นสนุก แต่ว่าบทนั้นเล่นไม่ง่ายเลย ก็จะยิ่งรู้สึกว่าการรับบทอย่างนั้นเป็นการพัฒนาทักษะการแสดงของตัวเองให้ดีขึ้น

เล่นบทนี้ต้องทำการบ้านอย่างหนัก

มาเล่นในบทที่ไม่มีเนื้อบท และยังเป็นบทที่ไม่เคยลองมาก่อน โหย่วเผิงก็ได้มีซึ่งความลำบาก อย่างแรกคือต้องเข้าใจในตัวบทอย่างทะละปุโปร่ง ทำการบ้านทื่พื้นฐานมา ไม่เพียงแต่ไปสังเกตุทุกกิริยาบทของผู้ป่วยทางจิตที่โรงพยาบาลแล้ว ทั้งยังคลุ่นคิดภาวะจิตใจของมนุษย์ตลอดเวลา แต่ว่าบทของผู้ป่วยทางจิตในเรื่องก่อนของภาพยนตร์เย้ออ้ายนั้นไม่มีตัวละครนี้ บทนี้นั้นไม่มีที่ให้เลียนแบบ เป็นบทที่ใหม่ๆสดๆกันเลย เพื่อจะให้บทออกมาดี โหย่วเผิงก็ได้แต่เพียงเข้าใจ ลึกซึ้ง คลุ่นคิดกับตัวบทของมัน มีเพียงให้ตัวเองละลายให้อยู่ในอารมณ์ของบทเท่านั้น ถึงจะเข้าถึงจิตวิญญาณของตัวบทมัน ในช่วงเวลานั้น โหย่วเผิงได้เป็นเพื่อนที่ดีกับผู้ป่วยทางจิต ขณะที่เขาถ่ายทำ เหตุที่อิงกับบทเกินไป ด้วยความอยากจะให้ได้ถึงอารมณ์ของบทอย่างนั้น ฉะนั้นบางครั้งอารมณ์ก็แตกซ่านออกมา ต้องใช้เวลาเยอะหน่อยในการถ่ายทำ

รับการท้าทายเดินสู่ภาพยนตร์

สำหรับการรับเล่นบทที่แตกต่างอย่างนี้ โหย่วเผิงก็ยังมีใจในการเล่นต่อไป “ แท้จริงแล้วสองปีก่อนจะรับเล่นบทนี้ ผมแทบจะไม่รับละครการแสดงอะไรเลย หลักๆก็คือความเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของผมนั้นทำให้ผมไม่อยากจะรับบทเดิมๆเก่าๆอย่างนั้นอีกแล้ว พวกเขาไม่มีอะไรที่ให้ผมสนใจ” เมื่อพูดถึงการโตเป็นผู้ใหญ่ของเขา หน้าตาของเขาหน้ายังครึ๋ม “ผมรู้สึกว่าตัวเองมีหน้าหน้าตา ต่อหน้าผู้ชมต่อหน้ากล้องเป็นเพียงหน้าหนึ่งของผม ผมได้รอโอกาสตลอดเวลา ให้ผู้ชมได้เห็นถึงอีกหลายๆหน้าของผม ขณะที่ผมได้อ่านเนื้อบทของเย้ออ้าย ผมรู้ว่าโอกาสมาแล้ว บทนี้โหดเหี้ยมมาก มีความท้าทายมาก สำหรับบทอย่างนี้นั้น ก็ยังเป็นที่ดึงดูดผมมากเหมือนกัน ก็ยังจะไปเล่นอีก” เมื่อเย้ออ้ายออกอากาศแล้วโหย่วเผิงก็ได้เตรียมตัวสำหรับที่จะรับการตอบรับของผู้ชมที่ไม่เหมือนเดิม เขาหวังว่าอนาคตของเขานั้นจะท้าทายการดูของผู้ชมอย่างไม่หยุด

ขณะที่ได้เอ่ยถึงภาพยนตร์สองเรื่องที่ได้ฉาย (สี่กามเทพ)และ(ตามหาหลิวซันแจ่) โหย่วเผิงก็ยังแถลงว่า ภาพยนตร์กับละครทีวีนั้นก็ยังมีความแตกต่างกันเยอะ การสร้าง การถ่ายทำสิ่งที่อยากได้มานั้นล้วนต่างกัน ทั้งสองเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่ผมได้เปลี่ยนไปเล่นภาพยนตร์จากละครทีวี ก็สามารถพูดได้ว่าเป็นผลงานภาพยนตร์ชิ้นแรกและชิ้นที่สองของผม ต่อจากนี้ไปก็ยังจะมีบทภาพยนตร์ที่แตกต่างกันไปที่จะเล่นอีก