ผู้เขียน หัวข้อ: [03-ก.ย.-10] ซูโหย่วเผิงระลึกถึงไม่ดีกว่าพบกันใหม่หรือ  (อ่าน 7587 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
ซูโหย่วเผิงระลึกถึงไม่ดีกว่าพบกันใหม่หรือ


สมัยนั้น ขณะที่แฟนๆ เสี่ยวหู่ตุ้ย ล้นหลาม  ซูโหย่วเผิงก็ยังเป็นคนที่เด่นที่สุด และมาในตอนนี้  อู่ฉีหลงที่ได้หย่ากับภรรยากลายเป็นพ่อม่าย    เฉินจื้อเผิงเองที่อยากจะเอาอย่างพี่ใหญ่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ  มีแต่ซูโหย่วเผิง ที่เริ่มจากใบหน้าใสๆ อย่างเด็ก  จนมาถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีภาพที่ดี  มีเพียงเขาเท่านั้น  ที่เหมาะสมรับตำแหน่งตัวตั้งตัวตีของ เสี่ยวหู่ตุ้ย ได้


การรวมตัวอีกนั้นได้ระเบิดอารมณ์อย่างไม่หยุด

                 ก่อนอื่น พวกเขาได้ร่วมย้อนอดีตเมื่อ10กว่าปีที่แล้วกับซูโหย่วเผิง ตอนนั้นจื้อเผิงได้เข้าไปเกณฑ์ทหาร  เสี่ยวหู่ตุ้ย ได้มีการแสดงสุดท้ายที่จะแยกจากัน “ตอนนั้นจื้อเผิงจะไปเกณฑ์ทหารพวกเราได้จัดคอนเสิร์ด “แล้วพบกันใหม่”กับแฟนๆ  จากนั้นตอนอยู่บนเวที จริงๆแล้วคือ  ก่อนขึ้นเวที ตัวผมเองก็เป็นคนที่เล็กที่สุด ไม่รู้ซึ้งถึงความรู้สึกของการลาจาก ไม่รู้เลยว่าทุกคนจะจากกันในทันใด”  “ต้องโทษที่ตอนนั้นอายุน้อย การลาจากอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่รู้เลย”  วันนี้ให้ซูโหย่วเผิงหวนความทรงจำตอนนั้น มันน่าขำเหมือนกัน  คอนเสิร์ด แล้วพบกันใหม่ ครั้งนั้น  ซูโหย่วเผิงคิดว่าเป็นงานคอนเสิร์ดทั่วๆ ไปที่เคยจัด “ทันใดที่ได้ร้องเพลง “ชิงผิงก่อเล่อเหยียน” บนเวที  ก็รู้สึกว่าสมองมึนไปหมด  คิดขึ้นทันทีว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้ขึ้นมาร้องหรือเปล่า?  ชั่วชีวิตนี้คงจะไม่มีโอกาสได้ร้องหรือเปล่า?  ผมไม่สบายใจในทันใด แล้วก็ร้องไห้ออกมา”

                 เมื่อมาเปรียบการการแสดงในงานราตรีตรุษจีนปีนี้นั้น   ถือว่าซูโหย่วเผิงนั้นเป็นคนที่ลำบากมากในการที่จะมาร่วมแสดง  และเวลาซ้อมนั้น ก็ตื่นเต้นมากๆ  ก่อนที่จะมีการแสดงหนึ่งเดือนนั้น  ซูโหย่วเผิงจะไม่ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องของ เสี่ยวหู่ตุ้ย เลย  และทางผู้จัดการส่วนตัวของเขาก็จะปิดกั้นด้วย  และเธอจะตอบว่า “ถามเรื่องอื่นได้ แต่ไม่ให้ถามเรื่องเสี่ยวหู่ตุ้ย”  มันเหมือนว่าเป็นการปิดกั้นสื่ออย่างนั้น  ทำให้ตอนหลังก็มีข่าวเกิดขึ้นมากมาย   เสี่ยวหู่ตุ้ยไม่สามารถจะรวมตัวกันได้นั้น  ปัญหานั้นอยู่ที่ตัวของซูโหย่วเผิง   จากนั้น และมีบางคนต่อว่าซูโหย่วเผิงว่า  เขาดังแล้วไม่ยอมไปเกี่ยวข้องกับเพื่อนอีก 2 คน  จริงๆแล้ว  หากเป็นความจริงก็ไม่เห็นจะเป็นไร  เพราะการทำอย่างนี้นั้นก็ใช่ว่าจะผิด  มีใครบ้างจะอยากทำลายอาชีพที่ตัวเองสร้างมาอย่างลำบาก  ให้กลับไปเป็นอย่างเดิมล่ะ  และยิ่งกว่านั้น  ตอนนั้นซูโหย่วเผิงพักการเรียนแล้วไปขยายงานที่จีน      2 คนที่เป็นพี่ชายนั้นก็ไม่เห็นมีใครมาช่วยหนุนเขา

         เสือน้อยทั้ง 3 คนก็กำลังเติบโต   อย่างไรก็ตาม  ซูโหย่วเผิงก็ยังเป็นน้องเล็กของเสี่ยวหู่ตุ้ย ทันทีที่ขึ้นซ้อมบนเวที  ก็ทำให้สีสันพุ่งขึ้น “ครั้งแรกที่ได้ซ้อมต่อหน้าผู้ชม พวกเราได้ลอยขึ้นมาจากใต้เวที  ดนตรีดังขึ้นมา จากนั้นคนที่อยู่ข้างล่างต่างก็ปรบมือ  ผมองก็รู้สึกว่ามีความสุขมากๆ อารมณ์ผมร้อนแรงขึ้นมา  ผมไม่รู้จะทำอย่างไร คุณรู้ไหม?  จากนั้นอารมณ์ก็พุ่งขึ้น จากนั้นก็มายืนอยู่ในตำแหน่งของตัวเอง  จากนั้นเสียงดนตรีก็ได้ดังขึ้น  ผมก็รู้สึกเหมือนกับกลับเข้าสู่เสี่ยวหุ่ตุ้ย แล้วความรู้สึกอย่างนั้นก็อั้นไม่อยู่ จากนั้นมาถึงเพลงที่ 2 อารมณ์ถึงจะนิ่ง และมาถึงเพลงที่ 3 “ชิงผิงก่อเล่อเหยียน”   เพราะว่านานแล้ว  ความรู้สึกของการเป็นขวัญใจนั้นมันหายไป และรู้ไหมว่านานแล้วที่ผมไม่ได้ขึ้นเวทีไปร้องเพลง”

             หากว่า เสี่ยวหู่ตุ้ย สามารถที่จะอิทธิพลคนรุ่นนั้น  ถ้าอย่างนั้น สามารถที่จะบอกได้ว่า ซูโหย่วเผิง นั้นสามารถมีอิทธิพลกับคนตั้ง 2 รุ่น   รุ่นแรกคือแฟนๆในสมัยเสี่ยวหู่ตุ้ย   และอีกรุ่นหนึ่งคือ  เป็นแฟนคลับสมัยองค์หญิงกำมะลอ  นอกจากแฟนๆ 2 ยุคสมัยนี้แล้ว  ยังมีแฟนคลับรุ่นป้าน้าอามากมายที่ชื่นชอบเขา  สามารถที่จะทำให้คนมากมายชื่นชมเขา  สามารถที่จะเดินบนเส้นทางบันเทิงกว่า 10 ปี  สิ่งเหล่านี้นั้น  เป็นที่ภูมิใจของซูโหย่วเผิง  และยังเป็นที่ประทับใจสำหรับเขาด้วย   เขายังหวังว่าอีก 10 ปีข้างหน้านั้น   เขายังมีผลงานอีกมากมายให้ทุกคนชม สามารถที่จะให้ทุกคนเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเขา   ถ้าเช่นนี้ เชื่อว่าเขายังคงมีอิทธิพลต่อคนยุคหลังปี 90 อีกด้วย

การหวนอดีตไม่ใช่เป็นทุกอย่างของชีวต

                ราตรีปีเสือที่ เสี่ยวหู่ตุ้ย ได้รวมตัวกัน คนนับล้านรอคอยด้วยความตื่นเต้น หลายๆคนยังคิดว่า เสี่ยวหุ่ตุ้ย  น่าจะจะมาปรากฏที่ตงซัน   อย่างน้อยควรจะมีการจัดงานคอนเสิร์ดทัวร์ทั่วประเทศ   ซูโหย่วเผิงกลับปฏิเสธว่าเรื่องเหล่านี้เป็นไปได้ยาก ทำให้ทุกคนที่รอคอยนั้นต้องใจห่อใจเหี่ยว  ในเน็ตนั้นก็ได้มีข้อความต่อว่าซูโหย่วเผิงมากมาย  บ้างก็บอกว่าเขาเล่นตัว  สร้างความแตกแยก  แม้ข่าวจะออกมามากมาย  แต่ซูโหย่วเผิงก็ได้มีการตอบเหมือนกัน
เพราะว่าซูโหย่วเผิงนั้นเป็นคนที่ไม่อยากร่วมวง!
“คอนเสิร์ดแล้วพบการใหม่”ในครั้งที่แล้ว  ต้องรอเวลากว่า 10 ปี ถึงจะมาพบกันใหม่ แต่ซูโหย่วเผิงก็ยังคิดว่า เก็บไว้เป็นความทรงจำก็ยังจะดีกว่า “ผมคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ความคลาสสิกของเสี่ยวหู่ตุ้ย นั้น  มันไม่เพียงแต่จะหมายถึงพวกเรา 3 คน   มันได้เปลี่ยนกลายเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งไปแล้ว  ได้กลายเป็นสิ่งที่มีความหมายของวงการบันเทิงของชาวจีนไปแล้ว  ผมกล้าที่ให้พวกเรามารวมกันตลอดเวลา   มันคงจะไม่เหมือนกับความคิดของทุกคน  เพราะเราทุกคนล้วนมีสถานการณ์ที่ไม่เหมือนกัน   ผมจะขอยกตัวอย่าง หากว่าไมเคิลยังอยู่   แล้วเขาจัดงานคอนเสิร์ด หากว่าเขาเต้นแล้วหกล้ม  ทุกคนก็คงคิดว่าหากว่าไม่จัดก็คงจะดีกว่า   ภาพลักษณ์ที่ดีๆ ที่มีในใจนั้น    กลับต้องมาถูกทำลายลงไปเพราะเหตุการเต้นแล้วหกล้มครั้งนี้  เสี่ยวหู่ตุ้ย ก็เหมือนกัน ผมไม่อยากจะทำลายมัน   เพราะว่าพวกเราไม่ได้เตรียมตัวมาดี   ก็จะทำให้ความคลาสสิกเสื่อมลงไป”

                      นี่เป็นจุดเด่นมีปัญญาของซูโหย่วเผิง  แต่ว่า ในความฉลาดนั้นก็มีความเลือดเย็นอยู่  และก็มีคนว่า ซูโหย่วเผิงไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์  เขากลับคิดว่ามันเป็นเรื่องน่าขำ  เพราะชีวิตคนเราไม่ได้อยู่กับอดีต “จริงๆ แล้วคืนแสดงนั้น  ผมเองก็ตื้นตันใจมาก ได้คิดถึงอดีตมากมาย แต่ว่าอารมณ์อย่างอยู่  คุณก็จะรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของทุกคน  อีกอย่าง ผมเองก็รู้ว่าผมเป็นคนที่ชอบหวนอดีต  แต่ว่าชีวิตผมใช่ว่าจะอยู่แต่ในอดีต  ผมไม่อยากจะให้ชีวิตนั้นจมอยู่แต่อดีตทุกๆ วัน   ทุกคนจะเห็นได้จากเรื่อง เฟิงเซิง   แท้จริงแล้วผมเป็นคนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง  ผมนั้นมองไปข้างหน้า ไม่ชอบที่จะเดินถอยหลัง  ผมคิดว่านี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทุกคนยังชื่นชอบผมอยู่”

                        ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่ เสี่ยวหู่ตุ้ย แล้ว แต่เป็นยุคของ เฟิงเซิง แล้ว และครั้งนี้ที่ได้ยินเพลง “หูเตี๋ยเฟยยา”   ก็เพื่อจะย้อนหวนอดีต อดีตนั้นสามารถจะหวนคิดได้ แต่ไม่สามารถที่จะก๊อปปี้ได้  หากจะยืนกรานที่จะจัดคอนเสิร์ดเพื่อเรียกเรดติ้งของ เสี่ยวหู่ตุ้ย แล้ว  คงจะเป็นสิ่งที่เศร้า

                         อย่างไรก็ตาม  ซูโหย่วเผิงก็ยังบอกว่าความสัมพันธ์ของเขากับพี่ชายอีก 2 คนยังเหมือนกับว่าเพื่อนร่วมสงคราม  เป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นแต่สมัยวัยเด็ก “ผมอยากจะยกตัวอย่างหนึ่ง   2 ปีก่อนผมไปอัดรายการหนึ่ง แขกผู้มีเกียรติที่ยืนอยู่ด้านหน้าผม คือจื้อเผิง และวันนั้นยังเป็นวันเกิดของเขาด้วย  ทางรายการได้ให้ผมเป็นคนส่งของขวัญวันเกิดให้กับเขา ตอนนั้นผมเองก็ได้ฟังเพลงใหม่ของเขาที่ร้องบนเวที ผมเห็นถึงประสบการณ์มากมายบนใบหน้าของเขา   ผมนั้นรู้สึกตื้นตันใจมาก   ตอนขึ้นเวทีผมเองก็อั้นอารมณ์ไม่อยู่แล้ว   และไม่รู้ว่าไปกอดเขาแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ความสัมพันธ์ของพวกเราทั้ง 3 คนนั้นเป็นเหมือนเพื่อนทหารร่วมรบด้วยกัน  จะไม่มีวันจางหายตลอดไป....