ผู้เขียน หัวข้อ: [ซูโหย่วเผิง] ไหล่ของคุณแม่ดังภูเขา  (อ่าน 7682 ครั้ง)

Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
[ซูโหย่วเผิง] ไหล่ของคุณแม่ดังภูเขา
« เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 07:38:16 AM »

โหย่วเผิง :ไหล่ของคุณแม่ดังภูเขา


พี่เลี้ยง”(หมายถึงทั้งให้เกิดให้การดูแลและปรึกษา) คุณแม่ให้รักที่ไร้พรมแดนแก่ผม

คนล้วยพูดว่า “แม่ลูกใจเดียว” แม้วันเกิดของผมก็ยังตรงกับคุณแม่ นี่เป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา แต่ว่า เหตุเพราะการงานนั้น น้อยมากที่ผมกับคุณแม่จัดงานวันเกิดด้วยกัน นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเสียใจ

คุณแม่ผมเป็นคุณครู แต่ท่านก็ไม่เหมือคุณแม่ที่เป็นคุณครูอย่างนั้น เข้มงวดกวดขันกับลูกทุกเวลา แต่เด็กท่านก็ให้อิสระกับผมกับการก้าวเดินในสิ่งที่ผมฝันไว้ ไม่เคยที่จะตีกรอบให้กฏผม ไม่สร้างความกดดันแก่ผม จำได้ตอนเรียนประถม เพื่อนนักเรียนหลังเลิกเรียนต่างล้วนรีบกลับบ้านไปทำการบ้านอ่านหนังสือ แต่ผมชอบดูทีวี ทุกวันทำการบ้านเสร็จที่โรงเรียนแล้ว กลับบ้านสิ่งแรกที่ทำก็คือเปิดทีวี ไม่ว่าหนังกาตูนร์ หนังเป็นตอนๆผมล้วนชอบทั้งนั้น ทั้งดูไปด้วยทั้งแสดงตามไปด้วยบนเตียงให้คนในบ้านดู ทุกครั้งที่ถึงเวลานี้ คุณแม่จะหยุดทำงานในมือ ให้รอยยิ้มที่มั่นใจแก่ผม ฉะนั้นพูดได้ว่า เทนิคการแสดงผมนั้นได้ผ่านการฝึกฝนจากในบ้าน สิ่งนี้อาจเป็นหนึ่งเดียวในโลกที่มีอย่างนี้

ตั้งแต่เล็กจนโต ผมก็เป็นคนหนึ่งที่มีจุดยืน(มีความคิดของตนเอง) แต่ทุกเรื่องผมก็จะได้รับการเห็นชอบจากคุณแม่แล้วค่อยไปทำ เพราะผมให้เกียติกับความคิดของคุณแม่ ฉะนั้น ผมก็รู้สึกว่า การเป็นแม่นั้นก็เหนื่อยนะ นอกจากจะดูแลการเป็นอยู่แต่ละวันของลูกให้ดีแล้ว ยังต้องพูดคุยเข้าใจถึงความคิดของลูกบ่อยๆด้วย แก้ไขปัญหา ลำบากไม่น้อยเลย แต่คุณแม่บอกว่า “ในวงการนั้นมีผู้คนทุกรูปแบบ มันทำให้เรากลายเป็นคนอารมณ์หุนหัน ในการงานของคุณนั้นมีคุณเพียงคนเดียว มีเรื่องราวที่อันอั้นอยู่ในใจมากมายที่ไม่มีผู้ให้ระบาย มีไม่กี่คนที่เป็นมิตรที่สามารถไว้วางใจได้ ไม่มีแฟน เรื่องเหล่านี้สามารถบอกกับแม่เท่านั้น คุณแม่ก็จะเป็นแม่นมที่ให้รักอย่างไรพรมแดน

คุณแม่นั้นรักในงานของท่านมาตลอด แม้ว่าตอนหลังผมมีกำลังทรัพย์สามารถที่จะเลี้ยงดูท่าน ท่านก็ไม่อยากที่จะวางงานสอน ระยะเวลานานที่ผมออกจากบ้านไปถ่ายหนัง ไม่สามารถจะกลับบ้านได้ ท่านเองก็เป็นห่วงเป็นใยฉันตลอดเวลา ห่วงสุขภาพของผม และยังห่วงปัญหาส่วนตัวผมอีกด้วย ตอนนั้นท่านพูดบ่อยๆว่า “ ถึงแม้ฉันไม่สามารถจะอยู่เคียงข้างดูแลคุณทุกวัน คุณจะต้องหาแฟนสักคนคอยอยู่เคียงข้างดูแลคุณนะ” ตอนหนัง ท่านได้มาเยี่ยมห้องนอนในกองถ่ายบ่อยๆ ก็เริ่มรู้ว่าการหลับนอนของผมไม่เป็นเวลาเลย กินข้าวนอนหลับก็ไม่กำหนดเวลา ยิ่งไม่มีเวลาหาแฟน หลังจากที่คิดไตร่ตรองแล้ว ท่านได้สละเวลาที่หลังเกษียรต้องพักผ่อนอยู่ที่บ้านอย่างสบาย เพื่อดูแลผมอยู่ข้างๆอย่างพี่เลี้ยง ผมไปที่ไหนท่านไปที่นั่น ท่านได้เป็นพี่เลี้ยงคุณแม่ที่ให้ความรักการดูแลอย่างไร้พรมแดน คุณแม่เก่งมาก นอกจากทุกวันได้ทำอาการบำรุงและน้ำหวานที่มีรูปแบบแตกต่างกันไปให้ผมทานแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือได้เป็นหมอทางจิตใจของผมด้วย ได้บรรเทาความกลุ้มในใจมากมาย มีการช่วยเหลือและการสนับสนุนของท่านแล้ว ทุกอย่างที่ผมทำนั้นมีกำลังทำเพิ่มขึ้นกว่าก่อนสองเท่า คุณแม่ที่หลั่งน้ำตานั้นได้ร่วมทุกข์กับผมด้วยกัน

จบ ม.สามปีนั้นที่ปิดภาคฤดูร้อย ผมเป็นคนแรกที่ได้เข้าร่วมวงขวัญใจผู้ชายไต้หวัน “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ได้จัดจำหน่ายอัลบั๊มชุดแรก(เซียวเหยาอี๋ว)ของวง ได้จัดทำคอร์ดเสริดโฆษณาถึงยี่สิบครั้ง แม้งานที่ทำมันหนักมาก แต่ก็สามารถไปเที่ยวได้ทุกที่ ก็ยังได้รับการต้อนรับจากผู้คนมากมาย รู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยอยู่บนเมฆอะไรอย่างนั้น เวลานี้การเรียนของม.สี่ได้เริ่มแล้ว กระจิตกระใจของผมยังไม่สามารถให้มันกลับมาสู่สภาพเดิมเลย

ตอนมัธยมต้นการบ้านผมไม่มีปัญหาเลยดีมาก แต่เมื่อถึงมัธยมปลาย ผมยิ่งอยู่ก็ยิ่งรู้สึกว่าจนกระทั่งจวนจะสอบแล้วก็ยังเตรียมตัวไม่พร้อมยังเกิดความสับสนวุ่นวาย ฉะนั้น ตอน “เสี่ยวหู่ตุ้ย”บันทึกอัลบั้มชุดทีสอง(หนันไหปู้คู)แล้ว ทางบริษัทก็ได้ประกาศออกไปว่าต่อไปการออกคอร์นเสริดจะพยายามไม่ให้กระทบกระเทือนถึงการเรียนของพวกเรา “ไกวๆหู่”จะสอบปลายภาคแล้ว ฉะนั้นพวกเขาเพียงแต่ใช้เวลาช่วงปิดเทอม1และ2มาดำเนินงาน

ปิดเทอมสัมเมอร์ก่อนขึ้น ม.หก ผมได้รู้จักเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ข้างบ้านผม จากการที่พวกเราพักอยู่ใกล้กัน นิสัยก็เข้ากันได้ ก็ค่อยๆเริ่มสร้างนิสัยที่ชอบไปอ่านหนังสือทำการบ้านบ้านเขา ทุกวันหลังจากเลิกจากการเรียนพิเศษก็สี่ทุ่มแล้ว อานน้ำแล้วไปบ้านเขาก็ห้าทุ่มแล้ว ก็อ่านหนังสืออีกประมาณครึ่งหรือหนึ่งชั่วโมง บ้านเขากับบ้านผมห่างกันแค่สิบห้านาที ทุกครั้งก็เป็นคุณแม่ที่ขับมอเตอร์ไซน์ไปส่งผม

มีครั้งหนึ่ง ที่จริงนัดกันว่าจะไปอ่านหนังสือที่บ้านเขา แต่อารมณ์ผมได้ค่อยดี คุณแม่ก็ส่งผมไปที่หน้าบ้านของเขา ร้องอย่างเสียงดังๆว่า “คืนนี้พวกคุณก็จะไม่อ่านหนังสือด้วยกันแล้ว” ตอนกลับบ้าน คุณแม่ที่ละเอียดอ่อนได้ซื้ออาหารเค็มและเหล้า คนในบ้านก็กำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขก หดตัวนอนบนโซฟายาว สมองเต็มไปด้วยความสับสน ตาที่จ้องไปที่ทีวีอย่างเบรอๆ คนในบ้านพยายามพูดคุยกับผม น้อยชายยังคุยถึงกาตูนร์ที่ผมชื่นชอบ แต่ผมกลับฟังอะไรไม่เข้าเลย จิกเหล้าด้วยความทุกข์จิกสองจิก แล้วได้ฟุบบนโต๊ะชาสะอึกสะอึน (ร้องไห้) จากนั้นได้ปล่อยโฮบนโซฟา คุณแม่ได้ก้าวมาอย่างไม่รีรอ โดยไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแต่ทำอย่างตอนเด็ก กอดผมอยู่ในอกอย่างแน่นๆ ฟังผมพูดไปด้วยร้องไปด้วย “ทุกข์จังเลย ทุกข์จังเลย อยากตายจัง” น้ำตาของท่านได้ไหลออกมา สั่นไปทั่วตัวที่รับความทุกข์ร่วมกับผม

เมื่อความสง่าต่างๆกลับกลายเป็นความเครียด แม้กระทั่งคุณแม่ก็ยังเริ่มคิดแล้วว่าก่อนนั้นที่ให้ผมเข้าสู่วง “เสี่ยวหู่ตุ้ย”นั้นมันถูกหรือผิดเนี่ย ที่จริงตอนเข้าวง “เสี่ยวหู่ตุ้ย” คุณแม่มีความคิดอีกอย่าง ตอนมัธยมต้นประสบการณ์ทางสังคมผมยังอ่อนหัก มนุษย์สัมพันธ์ก็ไม่ดี เก็บกด ฉะนั้นให้ผมไปลองทำดู ไปฝึกฝนขัดเกลาสักหน่อยก็ไม่เลวเหมือนกัน แต่ตอนนี้ยังต้องผจญกับการสอบ ไม่รู้ผลสุดท้ายจะออกแดงหรือดำก็ไม่รู้

ถึงแม้ตอนนั้นร้องไห้เดี๋ยวก็ผ่านไป พรุ่งนี้เช้าตื่นขึ้นมาก็จะเป็นชายชาตรี แต่ไม่ว่าอย่างไร การร้องไห้อย่างเจ็บปวดครั้งนี้ทำให้ผมฝังใจมาก กระทั่งตัวเองยังตกใจตัวเองเลย จนกระทั่งถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่กล้าถามถามคุณแม่เลยว่าตนนั้นผมมีสภาพเป็นอย่างไร การสะเทือนทั้งกายใจของท่านนั้นมันมากกว่าผมอีก ตอนนี้คิดๆไปแล้ว ผมโชคดีมากๆ มีคุณแม่ที่ดีอย่างนี้ เข้มเข็งแต่ตันจนจบ เคียงข้างผมตลอด ให้การโอบกอดที่อบอุ่นแก่ผมตลอดไป


Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
Re: โหย่วเผิง:ไหล่ของคุณแม่ดังภูเขา
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2010, 07:44:01 AM »


คุณแม่ที่ดีนั้นล้วนฝึกฝนทีละนิด


คุณแม่ที่จริงเป็นชื่อหนึ่งของครูตัวหนังสือของชาติ เพราะการเกิดของผมกับน้อยชาย แต่ได้ลาออกจากการงานมาดูแลลูกๆ หลังผมเรียนมหาลัย ท่านไม่อยากจะแบมือขอเงินกับพ่ออย่างเดียว แต่ได้เรียนหนังสือใหม่และเข้าสอบ กับวัยในตอนนั้นสี่สิบแล้ว ออกจากครอบครัวไปเป็นคุณครูอีกครั้งมันเป็นสิ่งที่มไม่ง่ายเลย

ความสัมพันธ์ของคุณพ่อกับคุณแม่นั้นไม่ดีมาตลอด ฉะนั้นท่านคิดจะหาเงินด้วยตัวเอง พยายามยื่นอยู่ด้วยลำแข้งของตัวเอง แต่ว่าแรงกำลังตัวคนเดียวนั้นมีจำกัด น้องชายต้องเรียนหนังสือ คุณพ่อกลับใช้เงินส่วนใหญ่ในบ้านจนหมด เรื่องนี้พัวพันไปหลายปัญหา ยุ่งเหยิงมาก ในตอนนั้นก็อาจเป็นเพราะตัวเองที่ไม่โตเป็นผู้ใหญ่และอารมณ์ร้อน ชีวิตและการงานก็ได้เกิดปัญหามากมาย จนมันโตเติบจนหลังสุด ครอบครัวพวกเรามีสี่คนก็ต่างคนต่างอยู่ จนในที่สุดความรู้สึกก็แตกเป็นชิ้นๆ

แต่ว่า คุณแม่ไม่ได้บนเพราะเหตุเรื่องเหล่านี้สักนิด ท่านเพียงแต่พยายามพูดจาให้ความสัมพันธ์ของพี่น้องเราให้ดีขึ้น ไม่ให้ผมบ่นต่อพ่อ ให้ใจผมสงบในการถ่ายหนัง ตัวเองกลับรับเอาความกดดันจากเรื่องต่างๆไว้ เมื่อท่านได้ออกมาทำงานใหม่อีกครั้งนั้น เมื่อเทียบกับครูที่มีอายุน้อยกว่าแล้ว ท่านเองก็มีอายุแล้วเหมือนกัน ทำงานอย่างลำบากจริงๆ ผมบอกว่าจะให้เงินแก่ท่าน ไม่ต้องไปสอนหนังสืออีกต่อไป ท่านกลับบอกว่าผมหางานได้มาก้ไม่ง่ายนะ ไม่อยากให้ผมมีภาระหนักกว่านี้ ผมฟังแล้วรู้สึกตื้นตันใจมาก


ที่จริง ผมคิดอยู่บ่อยๆ ผู้หญิงที่สามารถเป็นคุณแม่ได้นั้นล้วนไม่ได้ง่ายอย่างปอกกล้วยเข้าปาก เป็นไปไม่ได้ว่าแค่มีความสองสามอย่างก็สามารถได้ชื่อนี้ (คุณแม่ที่ดี) ท่านทั้งกลายได้ผ่านประสบการณ์ทดสอบร้อยแปดพันเก้า ได้ลิ้มลองทั้งรสเผ็ดเปรี้ยวหวานขม กว่าจะได้ต้องขัดเกลาที่ละเล็กที่ละน้อย เพียงแต่ให้พวกท่านมีจิตใจที่มานะและรักทะนุถนอมลูกของตัวเอง ก็สามารถเป็นคุณแม่ที่ยิ่งใหญ่ได้

คุณแม่ผู้มานะดึงชีวิตผมออกจากก้นเหว

ผมลาออกจากมหาลัยไทต้าแล้ว การงานก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ดิด ได้หยุดเดินและมองดูมูลค่าของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ทันใดรู้สึกว่าตัวเองแม้เงินฝากในธนาคารก็ยังไม่มีเลย เหลือเพียงบ้านหลังที่ที่ยังต้องให้หนี้อยู่(ผ่อน) นอกจากเล่นละครเป็นแล้ว ผมไม่มีความสามารถในการทำงานอย่างอื่นเลย หนทางอนาคตข้างหน้าอยู่ที่ไหนตัวเองก็ยังไม่รู้เลย

ถึงว่าเรื่องที่ต้องตกอับที่สุดของผมยังอยู่ภายหลัง สองปีถัดไปของผม ผมต้องเผชิญกับการสาหัสที่ไม่สามารถจะเหลียกเลี่ยงได้ ร้ายชาแดงที่ผมลงทุนไปนั้นเพราะการไม่ซื่อของผู้จัดการจึงต้องปิดไป ชดใช้เงินให้หุ้นจนหมดตัว ยอดขายอัลบั้มตก ยังต้องเจอกับคุณพ่อที่ตกงาน น้องชายที่ยังเรียนอยู่ ทั้งบ้านหวังพึ่งแต่เงินเดือนที่แม่สอนหนังสือเลี้ยงชีพ



มันยิ่งกว่าหนีเสือปะเจระเข้ แม้กระทั่งผมได้ขับรถด้วยความระมัดระวังแต่ยังโดนชนบนสะพานสูงจนได้ เดือนหนึ่งยังชนตั้งสองครั้ง ทุกเรื่องจะเกิดขึ้นในเวลานั้น จนทำให้ผมไม่มีความมั่นใจต่ออนาคตของผมเลยสักนิด แต่ว่าในขณะที่ชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลานของผมนั้นคุณแม่ไม่ได้ตำหนิผมสักคำ ตลอดทางที่ผมเดินมา ต้องขอบพระคุณท่านมากที่อภัยให้และสนับสนุนผม

คุณแม่นั้นมานะอดทนมาก ตอนนั้นท่านต้องประคับประคองค่าใช้จ่ายของครอบครัว และยังไม่ลืมที่จะให้กำลังใจผมที่จะพัฒนาดำเนินตามสิ่งที่ผมชอบต่อไป ใจท่านเจ็บปวดที่เมื่อก่อนผมเคยดัง ไม่อยากเห็นผมจบลงอย่างนี้ ท่านเข้าใจถึงชีวิตระหกระเหิงและความปราถนาของผม ให้อ้อมอกที่อบอุ่นนุ่มนวลมาพยุงลูกที่ตกไปในเหวนั้น

พวกเราไม่เพียงแต่จะเป็นแม่ลูก ยังเป็นครูศิษย์คู่หนึ่ง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นเพื่อนที่ดีด้วย ท่านได้ร่วมร้องไห้กับผม ฟังผมระบาย อดทนต่อนิสัยกล่าวกับผม เสียงร้องไห้ตอนคลองผมนั้นก็ไม่เหมือนใครแล้ว มันดังมากอย่างมีจังหวะ ขณะทีผมจับโน่นจับนี่ บนพื้นเต็มไปด้วยลูกอมขนม หนังสือต่างๆ เสื้อผ้าของเล่นต่างๆ ผมจับของเล่นเปียร์โนขึ้นมา ฉะนั้นผมกำหนดไว้ว่าจะร้องเพลง


เป็นคุณแม่ที่เช็ดแห่งน้ำตาผม ยืนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าตอนหลังผมจะเป็นพระเอกหนุ่มละคร ผลงานละครดังกว่าผลงานเพลง หลายคนก็อาจลืมไปแล้วว่าผมเป็นนักร้อง คุณแม่ยังไงก็เป็นผู้อุถัมภ์ของผม ท่านกล่าวกับผมว่า “ฉันชอบเธอร้องเพลงให้ฉันฟัง ในโลกนี้จะหาของล้ำค่าอะไรมาเปรียบกับเสียงเพลงที่ลูกชายเราร้องออกมาเพื่อฉันนั้นไม่ได้เลย