ซูโหย่วเผิงกับก้าวแรกที่ชี้ชะตา ใครจะไปรู้ว่าจากเด็กหนุ่มมัธยมหน้าตาธรรมด๊า ธรรมดา ที่มีหน้าตาสดใสคนหนึ่งจะพลิกผันชีวิตของตัวเองมาเป็นนักร้องยอดนิยมในไต้หวันและเป็นชายหนุ่มที่อยู่ในใจของสาวๆ หลายคนที่ใฝ่ฝันจะได้รู้จักเขาอย่างใกล้ชิดตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี จากชีวิตวัยเด็กที่แสนซุกซนแต่ยังคงมีใจรักการเรียนอย่างเป็นชีวิตจิตใจอย่างที่เขาได้เล่าให้เราฟังไปแล้ว ก็คงทำให้น้องๆ และแฟนๆ หลายคนรู้จัก "ซูโหย่วเผิง" มากขึ้น ซึ่งเราไม่ได้รู้จัก "ซูโหย่วเผิง" แต่เพียงหน้าจอเท่านั้น เราเชื่อว่าทุกๆ คนที่เป็นแฟนๆ ละคร หรือแฟนของ "ซูโหย่วเผิง" ก็อยากรู้ถึงเรื่องราวต่างๆ ของ "ซูโหย่วเผิง" มากเท่าที่จะรู้ได้ ซึ่งกว่า "ซูโหย่วเผิง"จะก้าวเข้ามาในวงการบันเทิงนี้ก็ไม่ได้ง่ายดังที่หลายคนคิดหรอกนะ เราเองก็อยากรู้ไม่แพ้น้องๆ ทั้งหลาย งั้นพวกเราก็ต้องไปถาม "ซูโหย่วเผิง" แล้วหล่ะว่าเข้่ามาได้อย่างไร
เริ่มเข้าสู่วงการ
"ช่วงเวลาหรือการเข้าสู่วงการของผมนั้นก็คงจะคล้ายกับดาราหรือศิลปินหลายคนที่กำลังมีชื่อเสียงอยู่ในขณะนี้ก็ได้ ผมเริ่มเข้าสู่วงการตอนอายุประมาณ 15 ปี ก็ตอนนั้นได้เข้าประกวดคัดเลือกนักร้องหน้าใหม่ของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งของไต้หวัน เนื่องด้วยทางสถานีต้องการหานักร้องหน้าใหม่ๆ เพื่อมาตั้งวง "Little Tiger" เหตุการณ์ในครั้งนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของผมตลอดมา เริ่มจากการที่ได้รับเลือกให้เข้าประกวด มันเป็นความรู้สึกที่มีความสุขมากอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับว่าสิ่งที่เขาใฝ่ฝันอยากจะเป็นก็มีสิทธิ์ที่จะได้เป็น และอาจจะได้มีโอกาสไปพบกับซูเปอร์สตาร์ขวัญใจของเขาก็เป็นได้ ผมจำได้ว่าผมกระโดดไปรอบๆ พร้อมตะโกนว่า"เราทำได้แล้ว" มันไม่น่าเป็นไปได้เลยใช่ไหมที่เด็กอายุ 15 ปี ก็เด็กขนาดนั้นจะทำได้ในตอนนั้นนะ ต่อมาก็มีจดหมายแจ้งผมอย่างเป็นทางการให้เตรียมการแสดงประเภทเต้น
โดยใช้เวลาสั้นพร้อมกับเตรียมบทสนทนาสั้นๆ ไปด้วย ทำให้ผมฝึกเต้นพร้อมกับพูดและพยายามหาท่าที่เข้ากับผมมากที่สุด สำหรับบทสนทนาที่จะต้องเตรียมนั้นผมก็นึกเอาจากเทปคอนเสิร์ตต่างประเทศบ้าง ภาพยนตร์ต่างประเทศบ้างก็มีนะ ส่วนเสื้อผ้าที่ต้องเตรียมไปนั้นผมก็ไม่ได้พิถีพิถันอะไรมาก เพราะมัวแต่กังวลเรื่องท่าเต้นมากกว่าว่าจะออกมาดีไหม โดยการไปเทสต์ครั้งนี้มีเพื่อนผมไปด้วย ก็ "หวังเหลียง" ไง คนที่เมื่อตอนเรียนนั่นเป็นคู่แข่งกับผมไง แต่ตอนนี้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะ
จริงๆ แล้วตอนนั้นกังวลมากเลยเพราะกลัวว่้าจะทำไม่ได้ ซึ่งก็เตรียมคำตอบไว้เหมือนกันนะถ้ามีการถาม ก็คงจะตอบว่าเพราะผมยังเป็นเด็กกระมัง(หัวเราะร่วนเลยนะ) ในตอนนั้นหนึ่งในสมาชิกของวงก็คือ "Benny Chen" หรือ "ฉีเผิง" ก็แสดงบัลเล่ต์ ส่วน "Nicky Wu" หรือ "อู๋ฉีหลง" ก็เลือกแสดงการขี่รถ จังหวะและท่าเต้นของผมนั้นไม่ค่อยสอดคล้องกันเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างไรผมก็ยังผ่านเข้ามารอบหกคนสุดท้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ หรืออาจจะเพราะเสียงเชียร์จากคนที่เข้ามาดูการประกวดครั้งนี้มั้งที่ส่งผลให้คะแนนของผมออกมาดีด้วย ต่อมาก็เป็นการคัดเลือกรอบสุดท้ายเป็นการเทสต์เมืออยู่หน้ากล้อง ผมก็ยังคงได้รับเสียงเชียร์จากคนที่เข้ามาชมอยู่ตลอด แต่เมื่อผมเข้าเป็นสมาชิกวง "Little Tiger" แล้ว ผมจึงได้เรียนรู้วิธีการทำงานเมื่ออยู่หน้ากล้อง การวางท่า การวางตัว แม้กระทั่งการพูดเมื่ออยู่หน้ากล้ิองนั้นก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องศึกษา ผมยังคงรู้สึกเป็นหนี้คนสองคนที่ทำให้ทุกวันนี้มี "ซูโหย่วเผิง" ก็คือ "Xiaoyan Zhang" ที่ให้โอกาสแก่ผมและผู้กำกับอีกคนก็คือ "Xiao Mao" ซึ่งตอนนี้ก็เป็นผู้จัดการของผมด้วย(ตอนนั้นได้เป็นนักร้องแล้ว แล้วที่บ้านหล่ะคุณพ่อของคุณเข้มงวดมาก ท่านว่าอย่างไรบ้าง...)
ต้องขอบคุณคุณพ่อ ที่มีส่วนช่วยให้"ซูโหย่วเผิง" ได้แจ้งเกิด
"โอ้โห...อันนี้สิน่าคิด คิดหนักด้วยผมและเพื่อนพยายามคิดหาทางที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วค่อยหาโอกาสเหมาะที่จะบอกท่านแต่กับคุณแม่แล้วผมบอกท่านทุกเรื่อง ซึ่งท่านก็เข้าใจและไม่ได้ตำหนิอะไรผมด้วยนะ เพราะตอนนั้นชื่อเสียงของวง "Little Tiger" ก็เริ่มจะเป็นที่รู้จักแล้ว ซึ่งตอนที่จะสมัครประกวดนักร้องหน้าใหม่นี้ ก็คิดว่าจะบอกท่านแต่คิดว่าท่านคงจะไม่พอใจแน่ๆ ผมจึงต้องวางแผนที่จะหลีกเลี่ยงเพื่อบอกท่านในช่วงนั้นไปก่อน แต่เมื่อผลการประกวดออกมาว่าผมได้รับชนะและได้รับเลือกเข้าเป็นสมาชิก "Little Tiger" ผมจึงบอกกับคุณแม่ คุณแม่ผมเองก็พยายามหาทางที่จะบอกกับคุณพ่อในเรื่องที่ผมเป็นนักร้องแล้ว โดยชวนคุณพ่อให้ดูการแสดงช่วงสั้นๆ เพื่อโปรโมทแต่แล้วคุณแม่ก็ตัดสินใจบอกกับคุณพ่อในวันหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นเป็นการแสดงของ "Little Tiger" และแม่ก็ถามพ่อว่า "ชอบมั้ย" พ่อก็ตอบว่า "ก็ดีนิ" และท่านก็ตัดสินใจพูดว่า"ในนั้นมีลูกชายของเราร่วมแสดงอยู่ด้วยนะ ซึ่งตอนนี้เป็นนักร้องแล้วและเริ่มมีชื่อเสียงด้วย" คุณพ่อบอกว่า"เป็นไปไม่ได้หรอก คงมีการเข้าใจผิดกันมั้ง" แต่คุณพ่อก็ยังไม่สนับสนุนให้ผู้ชายมาทำงานในวงการบันเทิง เพราะท่านคิดว่าการทำงานด้านนี้เป็นการขายหน้าตามากกว่าความสามารถ ซึ่งมันไม่ค่อยภาคภูมิใจในการทำงานนักหรอก และเมื่อท่านได้พิจารณาจึงเรียกผมเข้ามาคุยเพื่อตกลงเรื่องการทำงานกับการเรียนของผม เพราะตอนนั้นผมยังเด็กมาก แค่อายุ 15 ปี การเรียนก็ยังไม่ไปถึงไหนเลย ท่านคงเป็นห่วงเรื่องนี้มากกว่าเรื่องอื่นๆ แน่ (ก็คงจะเป็นเช่นนั้นนะค่ะ เพราะความเป็นเด็กบางครั้งก็ต้องรับผิดชอบเท่ากับผู้ใหญ่ก็คงลำบากแน่ๆ ต้องเห็นในท่านนะที่ไม่ค่อยยินดีที่คุณจะมาเป็นนักร้องน่ะ ฉันเข้าใจท่านค่ะ) ท่านให้ผมสัญญาว่าจะอนุญาตให้ผมทำงานด้านนี้ได้อย่างเต็มใจหากผมจะรับผิดชอบงานนี้และไม่ทำให้เกรดการเรียนของผมตกอย่างเด็ดขาด ซึ่งผมก็ให้สัญญาตามที่ท่านขอทุกอย่าง จากสัญญาลูกผู้ชายครั้งนั้นก็ทำให้ผมต้องหยุดงานร้องเพลงไปหนึ่งปีนะ(อ้าว...ทำใมหล่ะคะ ก็ท่านอนุญาตแล้วนิ..)"
หยุดร้องเพลงเพื่อเป็นนักเรียน
"ตอนนั้นผมอายุ 15 ปี ต้องรับผิดชอบงานนี้อย่างมาก ก็ได้รับความกดดันพอสมควรเพราะต้องรับผิดชอบการเรียนของตัวเองไม่ให้เกรดตกจากที่เคยเรียนโดยไม่ได้ทำงานเด็ดขาด ทำให้เป็นเหตุที่ผมต้องหยุดรับงานร้องเพลงไปหนึ่งปี แต่ก่อนที่จะตัดสินใจเรื่องนี้ผมคิดหนักมาก เพราะ "Little Tiger" เพิ่งจะมีชื่อเสียงได้ไม่เท่าไหร่และวงผมก็มีสมาชิกสามคน หากขาดผมไปคนก็จะเป็น "Little Tiger" ไม่สมบูรณ์ Nicky Wu และ Benny Chen ต้องได้รับผลกระทบแน่ๆ ผมรู้สึกผิดมากๆ ที่มีส่วนทำให้เพื่อนๆ เดือดร้อน โชคดีที่เพื่อนทั้งสองคนเข้าใจถึงสาเหตุและโชคดียิ่งขึ้นไปอีกที่ทางต้นสังกัดเองก็เข้าใจถึงความลำบากใจในการตัดสินใจเรื่องนี้ โดยระหว่างที่ผมขอลาไปเรียนนั้น ทางต้นสังกัดพา Nicky Wu และ Benny Chen ออกโปรโมทงานเพลงของวงและให้มีส่วนเล่นละครทีวี ทำให้เวลาของเพื่อนทั้งสองคนของผมไม่ต้องเสียเปล่า ซึ่งมิฉะนั้นผมก็คงจะเสียใจมากแน่ๆ"
เข้าสู่มหาวิทยาลัย
"ช่วงนั้นเป็นเวลาที่เงียบมากไม่ค่อยมีอะไรตื่นเต้นเหมือนแต่ก่อน แต่ก็เป็นการยากที่จะตั้งใจเรียนอย่างไม่ห่วงงานและเพื่อนหรอกนะ เพราะช่วงนั้น "Little Tiger" กำลังมีชื่อเสียงและการตัดสินใจหยุดร้องเพลงของผมทำให้เป็นหัวข้อสนทนากันอย่างมาก สื่อมวลชนในตอนนั้นก็เล่นข่าวนี้บ่อยๆ แต่ผมยังคงได้รับความอึดอัดใจเหมือนกันเพราะได้รับจดหมายจากแฟนๆ