ซูโหย่วเผิง เผยผู้หญินในสเป็คต้องเป็นอย่างไร ตอนจบ
และก็มาถึงข้อเขียนฉบับสุดท้ายของพระเอกขวัญใจคุณๆ "ซูโหย่วเผิง"ก็เป็นที่น่าเสียดายเล็กน้อย ความจริงรู้มาว่าเขาอยากจะเขียนต่อ แต่เผอิญเวลาไม่เอื้ออำนวยเสียเลยก็เลยทำให้เขาต้องจบข้อเขียนตัวเองลงแค่นี้ เอาล่ะใครชอบพระเอกคนนี้มาอ่านกันต่อ
อนิสงค์ "องค์หญิงกำมะลอ"
หลังแพร่ภาพละครเรื่อง"องค์หญิงกำมะลอ"ฟีดแบ็คดีมากทำให้งานของผมเข้ามาเยอะมาก เช่น ตอนหลังได้เล่นเรื่อง "เปี่ยวเม่ยจี๋เสียง"ก็ล้วนมีอิทธิพลมาจาก องค์หญิงกำมะลอ ถึงแม้เนื้อเรื่องจะไม่เกี่ยวกับองค์หญิงกำมะลอแม้แต่น้อยแต่การที่ผมได้เล่นคู่กับ เจ้าเหวย เป็นสิ่งที่ชัดเจนที่สุด
ตอนแรกที่"เปี่ยวเม่ยจี๋เสียง"แพร่ภาพที่ฮ่องกงสื่อมวลชนถามผมว่าคาดหวังอะไร ผมบอกว่าอาจจะไม่เวิร์คเนื่องจากมันเป็นโปรดัคชั่นทุนน้อยพล็อตเรื่องเป็นความรักกุ๊กกิ๊กคงไม่ถูกคอผู้ชมฮ่องกงเหมือนอย่างตอนแรกที่"องค์หญิงกำมะลอ"แพร่ภาพที่ฮ่องกง ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีฟีดแบ็คที่ร้อนแรงอย่างนี้ นึกไม่ถึงว่า"เปี่ยวเม่ยจี๋เสียง"จะมีเรตติ้งที่ไม่เลวทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจและดีใจ แต่ไม่ว่าเรตติ้งจะเป็นอย่างไรระหว่างการถ่ายทำละครทีวีเรื่องนี้ผมมีความสุขมากเพราะผมร่วมงานกับเจ้าเหวยได้เข้าขาและผมก็เริ่มชินกับชีวิตการทำงานที่เมืองจีน อีกทั้งเมื่อเทียบกับตอนถ่ายละคร"องค์หญิงกำมะลอ"ที่ต้องใส่ชุดโบราณและเล่นเป็นองค์ชายละครสมัยใหม่เรื่องนี้จึงเล่นได้ง่ายกว่ามาก
บท"ฮวยบ่อข่วย"ยากที่สุด
ความสำเร็จของ"องค์หญิงกำมะลอ"นำอะไรหลายอย่างมาให้ผมส่วนบท"องค์ชายห้า"ก็เข้าไปนั่งอยู่ในใจผู้ชมอย่างเหนียวแน่น มีคนถามผมว่าผมกับตัวละครในเรื่องเหมือนกันหรือเปล่า ตอนนี้ย้อนกลับมาคิดดูอาจมีส่วนคล้ายผมในตอนนั้นแต่เกี่ยวกับเรื่องความรักผมเป็นฝ่ายเข้าหามากกว่า ความจริง"องค์ชายห้า"เป็นเด็กหนุ่มอายุ 18-19 ความรักของเขากับ"เสี่ยวเยี่ยนจื่อ"น่าจะเป็นรักครั้งแรกของเขา
พูดมาถึงตรงนี้เชื่อว่าทุกคนคงจะสนใจว่าสเป็คคู่ครองของผมในอนาคตจะเป็นอย่างไร จะเหมือนกับ"องค์ชายห้า"หรือเปล่า เอาเป็นว่าเมื่อก่อนผมอาจจะให้ความสำคัญกับรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่ายมากกว่า แต่เดี๋ยวนี้จะเน้นที่นิสัย ผมมองว่าเธอควรมีนิสัยที่เข้ากับผมได้ เราควรมีประเด็นสนทนาร่วมกัน ค่านิยมเหมือนกัน ลำพังแค่หน้าตาไม่มีประโยชน์นิสัยควรเป็นเอกเทศมีสไตล์ของตัวเอง มีความสามารถพิเศษ เช่น มีพรสวรรค์ด้านการออกแบบไม่ต้องพึ่งพาอาศัยผมมากนัก ขอแค่นี้
และมีคนนึกว่าละครเรื่อง"องค์หญิงกำมะลอ"เป็นละครเรื่องแรกของผมประกอบกับผมปรับตัวเข้ากับสภาพอากาศที่เมื่องจีนไม่ค่อยได้จึงคิดว่าบทนี้เป็นบทที่เล่นยากที่สุดที่คิดอย่างนี้ก็ผิดแล้ว กลับกันบท"ฮวยบ่อข่วย"ในเรื่อง"เดชเซียวฮื่อยี้"เป็นบทที่เล่นยากที่สุดตั้งแต่ผมเล่นละครมา เหมือนอย่างบท"เสี่ยวเยี่ยนจื่อ"ใน"องค์หญิงกำมะลอ"หนนี้มีโอกาสได้แสดงออกมากกว่า"จื่อเว่ย"เนื่องจากมีบทต้องพูดต้องเคลื่อนไหวตลอดเวลาแต่ไม่มีการแสดงอารมณ์หรือถ่ายทอดความรู้สึกข้างในดังนั้นผมจึงคิดว่าบท"ฮวยบ่อข่วย"ที่ใช้ใบหน้าไร้อารมณ์มาถ่ายทอดความรู้สึกที่อยู่ข้างในจึงเป็นเรื่องที่ยากที่สุด
ศรัทธา ดร.ซุนยัดเซ็น
ตอนเล่น"เดชเซียวฮื่อยี้"ในการถ่ายทอดบท "ฮวยบ่อข่วย" ถึงแม้เป็นการแสดงที่ลำบากที่สุดตั้งแต่เล่นละครมาแต่ระหว่างการถ่ายทำผมสนุกกับมันมากเพราะร่วมงานกับนักแสดงคนอื่นๆ อย่างมีความสุข บรรยากาศการทำงานดีมากไม่แพ้ตอนถ่ายทำละครเรื่อง"องค์หญิงกำมะลอ"
หลังจบเรื่อง"เดชเซียวฮื่อยี้"หลายคนคงสงสัยว่าทำไมผมจึงรับเล่นเรื่อง"ไป๋เหมียนฮัว"(ดอกฝ้ายขาว) พูดตามตรงหลังเล่นเรื่อง"องค์หญิงกำมะลอ"จบ มีผู้สร้างจำนวนมากชวนผมไปเล่นละครพีเรียดยุคราชวงศ์ชิง แต่ผมก็ตอบปฏิเสธไปหมด สุดท้ายกลับมาเลือกเล่น"ไป๋เหมียนฮัว"ที่เพิ่งถ่ายทำจบไปเพราะถ้าเล่นละครพีเรียดอีกอคงไม่มีบิ๊กเซอร์ไพร์สอะไรอีก ไม่สู้ลองเล่นบทใหม่ๆ แนวใหม่ๆ ดีกว่าเหรอ ดังนั้นผมจึงตัดสินใจเล่นบทหนุ่มบ้านนอกที่เชยและซื่อมากๆ ในเรื่องผมแอบหลงรักนางเอก หนิงจิ้ง สำหรับผมนี่ถือเป็นการทำอะไรใหม่ๆ ผมมองว่าทุกครั้งเราควรจะลองทำอะไรที่แปลกใหม่ดูบ้าง มันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผู้ชมและกับตัวเอง
แล้วหลังจากเล่นเรื่อง"ไป๋เหมียนฮัว"ก็ทำให้มีโอกาสได้แสดงเยอะมาก เช่น มีคนชวนผมไปเล่นบท ดร.ซุนยัดเซ็นวัยหนุ่ม พอผมรู้ว่าจะได้เล่นบทนี้ผมรู้สึกดีมาก เพราะผมเคยอ่านชีวประวัติและปรัชญาการเมื่องของท่านตั้งแต่เด็กจนขึ้นใจ ในสายตาของผมท่านเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ซื่อสัตย์ มีอุดมการณ์ มีความเมตตาคนหนึ่ง วันนี้มีคนเห็นว่าผมสามารถแสดงเป็นท่านได้แสดงว่าผมสามารถให้ความรู้สึกอย่างนั้นกับผู้ชม มีลักษณะเหมือนอย่างดร.ซุนยัดเซ็น แล้วจะไม่ให้่ผมดีใจได้อย่างไร