【นิตยสาร】Mingbao Weekly เดือน มกราคม 2014 --- หลินอี้เฉิน เตรียมตัวเป็นเจ้าสาว ซูโหย่วเผิง ยังคงเป็นหนุ่มโสดสายธรรมะต่อไป
หลินอี้เฉิน และ ซูโหย่วเผิง เป็นการประกบคู่ที่น่าทึ่งเหมือนกัน เคมีของทั้งสองเข้ากันได้อย่างน่าตกใจ สาวสวยที่มาพร้อมความเก่งอย่างเธอ กับหนุ่มวัยกลางคนอารมณ์ขันและมั่นคงอย่างเขา ทั้งสองต่างประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ในเรื่องของความรักกลับอยู่กันคนละฝั่ง หลินอี้เฉิน เจอคู่แท้ที่พร้อมฝากชีวิตแล้ว ใบหน้าของเธอเอ่อล้นไปด้วยความสุข ต่างกับ ซูโหย่วเผิง ที่ไม่มีโชคในเรื่องความรัก ยังคงเป็นหนุ่มโสดอยู่เหมือนเดิม ได้แต่ประชดตัวเองว่า แต่งไม่แต่งก็ได้ อย่างมากก็ไปบวชช่วยมนุษยชาติ
ในภาพยนตร์เรื่อง 《Sweet Alibis》นั้น ซูโหย่วเผิง รับบทเป็นตำรวจขี้ขลาด มากด้วยประสบการณ์ ส่วน หลินอี้เฉิน รับบทเป็นตำรวจหญิงอารมณ์ร้อน ทั้งสองได้ทำคดีร่วมกัน ในชีวิตจริง เธอก็เป็นคนอารมณ์ร้อนเหมือนกัน แค่ไม่ค่อยแสดงออกมาเท่านั้น “ฉันเป็นคนชอบตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบ แต่เมื่อได้ตัดสินใจไปแล้ว ก็จะทำให้ดีที่สุดค่ะ” เธอบอกว่าแม้แต่เรื่องไปเรียนต่อที่อังกฤษ ก็ไม่ได้ใช้เวลาคิดนานมาก “ฉันถามตนเองว่า ถ้าอีก 10 ปีข้างหน้าจะเสียดายเรื่องที่ไม่ได้ไปอังกฤษมั้ย กลับมาแล้วยังจะมีงานเข้ามามั้ย คิดแค่นี้ ก็ตัดสินใจเลยค่ะ อีกอย่างการไปเรียนต่อต่างประเทศเป็นความฝันตั้งแต่ก่อนเข้าวงการอีกค่ะ”
ได้เรียนรู้มากมายจากการเรียนต่อที่อังกฤษ
หลินอี้เฉิน ไปเป็นนักเรียนอีกครั้งที่ลอนดอน ตอนนี้ก็ประมาณ 3 เดือนกว่าแล้วและเพิ่งผ่านเทอมแรกไป หลินอี้เฉิน ที่เลือกเรียนการแสดงนั้นบอกว่า เธอบอกว่าได้ความรู้เพิ่มมากมาย ซึ่งวิชาที่จำลองการออดิชั่น ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเธอเลยทีเดียว “พูดตามตรงเลยว่า ฉันไม่ค่อยมีประสบการณ์เรื่องออดิชั่นมากนัก ไม่ถึง 5 ครั้งด้วยซ้ำ เพราะว่าฉันเข้าวงการในช่วงที่ 《F4》กำลังดังพอดี ผู้กำกับส่วนมากนิยมหานางแบบหน้าใหม่ที่ไม่มีชื่อเสียงมาแสดง ทำให้ฉันได้รับบทนางเอกตั้งแต่ละครเรื่องแรก จากนั้นมาก็ได้แสดงเป็นตัวเอกตลอด บางครั้งก็ต้องแสดงทั้งที่ยังเตรียมตัวไม่เต็มทีเลย ระหว่างนั้นก็ค่อยไปเสริมและปรับเอา พอตอนนี้ได้เรียนในสิ่งที่นักแสดงควรต้องเรียนแล้ว รู้สึกสนุกเหมือนกันค่ะ ”
หลินอี้เฉิน บอกว่า หนังส่วนมากในอังกฤษมักจะเลือกนักแสดงที่ยังไม่ค่อยมีชื่อเสียงมาออดิชั่น เพราะว่าวิชาการออดิชั่นนั้นสำคัญมาก ทางโรงเรียนมักจะหาผู้กำกับออดิชั่นมืออาชีพมาคอยสอน “เราจะได้รับบทก่อนสัมภาษณ์ 1 ถึง 2 วัน ประมาณ 2 ถึง 4 หน้า จากนั้นเราค่อยไปเตรียมชุดและแต่งหน้าตามลักษณะบทที่ได้รับ ตอนแรกก็แสดงไปตามความคิดของเราก่อน 1 รอบ แล้วให้ผู้กำกับออดิชั่นชี้แนะ ดูว่าคุณแสดงตามวิธีที่เขาบอกได้หรือไม่ จากนั้นก็จะถามคำถามเกี่ยวกับตัวละคร ทุกวินาทีถือว่าเป็นการแข่งขัน เพราะฉะนั้นต้องรักษาเวลาให้ดีที่สุด จนกระทั่งถึงเวลาลงจากเวทีก็จะประมาทไม่ได้เลยค่ะ ”
คว้ารางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมจาก Golden bell awards ไป 2 สมัย ฝีมือการแสดงของ หลินอี้เฉิน นั้นเป็นที่ยอมรับของทุกคน เธอชอบที่จะท่องบทให้คล่องก่อนแสดง จำได้แม้กระทั่งบทของคู่สนทนา และชอบโน๊ตจุดสำคัญไว้เต็มกระดาษ เธอกล่าวว่า “หลังจากที่ได้ไปเรียน ค้นพบว่าสามารถเขียนบทได้ละเอียดกว่านี้ พระเจ้า มีเรื่องให้เรียนรู้ไม่มีวันหมดเลยค่ะ” เธอพูดตามตรงว่า ปวดหัวกับเรื่องการบ้านเหมือนกัน ทั้งยังต้องใช้ภาษาอังกฤษในการพูดอ่านเขียน ยิ่งทำให้ยากเข้าไปอีก “แต่พอคิดถึงสิ่งที่ได้รับหลังจากความลำบาก หลังจากส่งการบ้านแล้ว ก็รู้สึกอิ่มเอมเหมือนกันค่ะ อีกอย่าง ความรู้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะได้มาง่ายๆอยู่แล้ว” แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นราชินีนักแสดงได้นะคะ เพราะนอกจากพรสวรรคแล้ว ยังต้องรู้จักทำให้มันดีและดีกว่าด้วยค่ะ
หวังเป็นนักแสดงไร้จุดบกพร่อง
“จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ผู้ชมอาจจะรู้สึกว่าหนังที่ฉันแสดงน่าสนใจดี ก็เลยดูกัน แต่หลังจากที่ได้มาเรียน ฉันหวังว่าการแสดงของฉันไม่เพียงน่าสนใจเท่านั้น แต่ว่าไม่มีจุดบกพร่องเลยด้วย” หลินอี้เฉินบอกว่าอาจารย์ได้สอนเรื่องเจ๋งๆให้เธอเรื่องหนึ่ง “ทุกบทพูดจะมีความหมายแฝงอยู่เสมอ” เหมือนอย่างหนังดีๆของอังกฤษในสมัยนี้ สิ่งที่ตัวละครต้องการจะสื่อไม่ใช่เพียงคำพูดที่พูดออกมาเท่านั้น “ต้องมีคำพูดแฝงใต้คำพูด ถึงจะมันส์“ ไม่ได้เรียนรู้แค่ความรู้ในห้องเรียนเท่านั้น การเรียนต่อในต่างเมืองครั้งนี้ เธออยากลองใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาด้วย ต้องต่อคิวเวลาไปทานแมคโดนัล ไม่ถูกปกป้อง ไม่มีสิทธิพิเศษ และลองทำทุกอย่างด้วยตนเอง
“ที่ฉันเป็นห่วงคือมีคนไปนอนบนรางรถไฟฟ้า ฉันเคยเจอมา 2 ครั้ง ฉันเข้าเรียนสายตั้งแต่คาบแรกเพราะมีคนไปนอนบนรางรถไฟ อาจารย์เคยพูดตอนปฐมนิเทศแล้วว่า การมาสายเพราะรถไฟฟ้าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นเลย ฉันก็เลยรีบโดดขึ้นแท็กซี่ไปแทน แต่ก็ยังสายไป 9 นาที ตอนแรกอาจารย์จะไม่ให้เข้าเรียนด้วยซ้ำ แต่ยังดีที่ว่าวันนั้นแยกเรียนเป็นทีม A และทีม B ทีมB เริ่มเรียนช้ากว่า ฉันก็เลยขออาจารย์ไปเรียนกับทีม B” หลินอี้เฉิน เผยว่า ตอนนี้การงานมีอัตราส่วนใน 1 ส่วน 6 ในชีวิตเธอเท่านั้น 10 ปีที่ผ่าน เธอเอาการทำงานเป็นหลัก จนมีอยู่ช่วงนึงเริ่มไม่สนิทกับน้องชาย ปัจจุบันเธอเลือกงานไม่มากแต่มีคุณภาพ การงานอยู่ใน 1 ส่วน 6 ของชีวิตเท่านั้น “การทำงานไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต แต่ว่ามันสามารถนำความสำเร็จมาให้คุณได้ ฉันคิดว่าเราต้องห้ามลืมความรู้สึกสำเร็จในตอนนั้น แต่ว่าความรู้สึกแบบนี้ต้องมาจากเรื่องอื่นๆนอกจากการทำงานได้ด้วย”
ปัจจุบัน หลินอี้เฉิน โฟกัสไปที่การเรียนเป็นหลัก สำหรับเรื่องความรักนั้น? เธอคบกับแฟนหนุ่มนักธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์ดำน้ำมาได้ 2 ปีกว่าแล้ว เธอมีความรักที่มั่นคง เพราะแฟนหนุ่มทำงานที่อเมริกา ส่วนเธอก็เรียนที่อังกฤษ ปีนี้เป็นปีที่ลำบากสำหรับเขาทั้งสองเลย “เพราะว่าเวลาที่ต่างกันทำให้ค่อนข้างลำบาก ตอนที่ฉันอยู่ไต้หวัน จะหาเวลาที่ตรงกันได้ 2 – 3 ชั่วโมง แต่ตอนนี้พอฉันไปเรียนเขาก็ต้องนอนแล้ว พอฉันเลิกเรียน เขาก็ต้องทำงาน ถ้าจะติดต่อกันก็ต้องมีคนหนึ่งที่นอนดึก หรือตื่นเช้า” เธอคิดว่าการรักษาความสัมพันธ์นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นอยู่ด้วยกันตลอด แน่นอนว่าไม่ได้เป็นการทดสอบไม่เจอกันเป็นปีนะคะ “ที่สำคัญคือเราต้องมีเป้าหมายร่วมกัน ยอมรับในสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำ“
คาดว่าจะแต่งงานหลังเรียนจบ
มีข่าวว่า หลินยวี่เชา บินไปฉลองวันเกิดพร้อมขอแต่งงาน หลินอี้เฉิน ถึงอังกฤษเมื่อปลายปีที่ผ่าน หรือว่า “เป้าหมายร่วมกัน”ที่ หลินอี้เฉิน พูดนั้นหมายถึง การแต่งงาน? หลินอี้เฉิน ยิ้มตอบว่า “แน่นอนว่าเมื่อได้คบกับใครแล้ว ก็หวังว่าเขาจะเป็นคนที่ใช่ซิคะ“ สเปคการเลือกคู่ชีวิตของเธอนั้น อันดับแรกคือจิตใจ รวมถึงความสามารถในการควบคุมอารมณ์และศีลธรรม แฟนหนุ่มตรงตามสเปคที่เธอตั้งไว้ทุกอย่าง แต่ก่อนอื่นต้องทำหน้าที่นักศึกษาให้ดีก่อนค่ะ เร็วที่สุดก็น่าจะปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า เรื่องแต่งงานต้องรอหน่อยนะคะ
หลินอี้เฉิน วางแผนแต่งงานหลังเรียนจบ ตอนนี้ อู๋ฉีหลง เองก็กำลังคบหากับ หลิวซือซือ อยู่ ถือโอกาสที่ ซูโหย่วเผิง ออกรายการโปรโมทหนังใหม่ จางเสี่ยวเยี่ยน ก็ได้ถามถึงเรื่องความรักของเขาด้วย เขาหัวเราะกล่าวว่า ก่อนหน้าที่ อู๋ฉีหลง จะเปิดตัวแฟนนั้น ก็ได้ส่งข้อความบอก โหย่วเผิง ก่อน พร้อมทั้งบอกให้เขารีบทำตามเลย ซูโหย่วเผิง สารภาพว่า “ผมเป็นคนค่อนข้างแปลก ก็เลยไม่ค่อยมีโชคเรื่องความรักซักเท่าไหร่ เรื่องแต่งงานมีก็ได้ไม่มีก็ได้ ทุกอย่างแล้วแต่โชคชาตะและพรหมลิขิตครับ ผมมีจังหวะของตัวเอง ไม่อยากรีบเร่งเพราะจะตามคนรอบข้างครับ“ สำหรับเรื่องหลักในชีวิต เขาที่มีความสนใจด้านพระพุทธศาสนาตั้งแต่เด็ก เขาพูดติดตลกว่า ”จะบวชช่วยมนุษยชาติ“
ถึงจะเป็นดารามากประสบการณ์ แต่ ซูโหย่วเผิง ก็ไม่ได้วางมาดในงานโปรโมทเลย ก่อนหน้างานแจกลายเซ็นต์ 1 วัน เขาโทรหา อู๋จงเทียน ด้วยตนเอง พร้อมบอกให้ถามคำถามเขาได้เต็มทีเลย เพราะเขาเองก็จะไม่เบามือเหมือนกัน อู๋จงเทียน บอกว่าเจอพระเอกที่ตั้งใจขนาดนี้ครั้งแรกเลย นอกจากคำนึงถึงความรู้สึกของทีมงานแล้วยังอุตส่าห์โทรศัพท์หาด้วยตนเอง ซูโหย่วเผิง หัวเราะแล้วพูดว่า “ผมไม่ชอบการแสดงเป็นพี่เป็นน้อง สำหรับผมแล้ว มีแค่เพื่อนที่ชอบกับไม่ชอบเท่านั้น ไม่มีเพื่อนที่ควรคบไม่ควรคบ ผมจะไม่เลือกปฏิบัติเพียงเพราะว่าตำแหน่งหน้าที่ในสังคมของเขาเท่านั้น“
เคยถูกเยาะเย้ย และหวังจะได้รับการยอมรับ
ซูโหย่วเผิง มีนิสัยรักความสมบูรณ์ตามนิสัยของชาวราศีกันย์ แต่ก็มีนิสัยไม่ชอบความขัดแย้งตามราศีกุมภ์ เมื่อเผชิญกับเรื่องที่ไม่แฮปปี้มักจะเก็บไว้ในใจก่อน แต่ก็มีวินัยในตัวเองมาก ที่ผ่านทุกคนเรียกเขาว่า “ราชาแห่งความเข้มงวด“ แต่ปัจจุบันเขาค่อนข้างปล่อยวาง เขาพูดตามตรงว่า “ตอนเด็กไม่รู้จักชีวิต ไม่รู้สิ่งที่คนอื่นแคร์ สิ่งที่คนอื่นให้ความสำคัญ และไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องสนใจด้วยซ้ำ สรุปว่าแสดงหนังไปตั้งนานผมก็ยังไม่รู้อยู่ดี หลังจากนั้นผมก็เริ่มเรียนรู้ เริ่มดีกับคนอื่น และแคร์ความรู้สึกของคนอื่นมากขึ้น ”
เมื่อ จ้าวโยวถิง หยวนจินเทียน เริ่มเข้ามาต่อยอดและพัฒนาในวงการของประเทศจีน ซูโหย่วเผิง กลับเลือกกลับไปสนับสนุนวงการไต้หวันแทน เขาเผยว่า มีเพื่อนคนหนึ่งเคยบอกเขาตอนเมาว่า “หมดอายุแล้ว” ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายพูดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาก็เสียใจมากเหมือนกัน “ตอนนั้นผมเหมือนมีปมที่ไม่ได้คลี่คลายจากไต้หวัน หวังว่าจะได้รับการยอมรับจากคนในบ้านเกิด“ 3ปีที่แล้ว ซูโหย่วเผิง ได้เข้าร่วมงานนิทรรศกาลภาพยนตร์ที่โตเกียว พร้อมผลงาน 《คังติ่งฉินเกอ》 เข้ารับรางวัล ภาพยนตร์จีนที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด ในฐานะนักแสดงจากไต้หวัน ตอนแรกเขาหวังว่าผู้ชมไต้หวันจะภูมิใจในตัวเขา และกลับบ้านเกิดอย่างมีความสุข แต่ตัวแทนกลับเกิดข้อขัดแย้งกันเรื่องใช้ห้องรับรองห้องเดียวกัน และถูกลามไปถึงเรื่องของการเมือง สุดท้ายแล้ว เขาไม่กล้าไปเดินพรมแดงด้วยซ้ำ การขึ้นเวทีร้องเพลง 《คังติ่งฉินเกอ》 ในงาน China Night ก็ถูกหาว่า ”ได้ดีแล้วลืมบ้านเกิด“
เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในงานนิทรรศกาลภาพยนตร์ที่โตเกียวครั้งนั้น สิ่งที่เขายังปล่อยว่างไม่ลงคือ “เข้าร่วมงาน China Night เพราะว่าต้องไปแสดงผลงาน ที่ผมไม่ได้ไป Taiwan Night เพราะว่าไม่มีผลงานไปแสดง ถ้าไปก็เหมือนไปโดยไม่ได้รับเชิญ พูดตามตรงว่าตอนนั้นที่ทุกคนใช้คำพูดแรงขนาดนี้ ผมเสียใจมากจริงๆ ความฝันที่อยากกลับบ้านเกิดของผมแหลกละลาย ไม่มีโอกาสได้อธิบายด้วยซ้ำ บวกกับเรื่องเสี่ยวหู่ตุ้ย (จะรวมตัวกันอีกครั้งหรือไม่) กระจายไปทั่ว ตอนนั้นผมคิดว่าตนเองกลับไปไม่ได้แล้ว ในขณะที่เขาค่อยๆจะปลงกับเรื่องเหล่านี้แล้ว อยู่ๆก็มีหนังไต้หวันเข้ามาพอดี” ปัจจุบันนี้ เขาไม่สนใจความคิดเห็นของคนภายนอกแล้ว “ผมผ่านจุดนั้นมาแล้ว ที่จริงเป็นคนธรรมดาที่ไต้หวันดีมากเลยนะครับ พอออกจากงานปุ๊ป ผมชอบที่ตนเองเป็นเหมือนคนธรรมดา ไม่ค่อยมีใครสนใจครับ“