Esquire เดือนมกราคม 2557 ไอดอลที่หายไป ซูโหย่วเผิง
ไอดอลที่หายไป ซูโหย่วเผิง DEATH OF AN IDOL
จากไอดอลผู้สง่างามวัย 15 ปี ปัจจุบันกลายเป็นคุณอามาดสุขุมวัย 40 ปี แต่ทว่าเรื่องราวของซูโหย่วเผิงต่อไปนี้ ไม่ได้กล่าวถึงว่าเขาเติบโตมาอย่างไร แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเพราะเหตุใดเขาถึงหายไป นี่คือเรื่องราวของไอดอลที่จากลาไป
เคยบ้างไหม ไอดอลที่พวกเราเคยหลงใหล จนแล้วจนเล่า คล้ายกับดำดิ่งเข้าสู่ห้วงลึกที่มองไม่เห็น เป็นเช่นนี้จนไม่เหลืออยู่ในก้นบึ้งของหัวใจ เหลือเพียงสายใยที่บริสุทธิ์เส้นสุดท้าย คงจะหนีไม่พ้นความน่าประหลาดใจ แท้จริงแล้วไอดอลไม่ได้สวยงามอีกต่อไป ตัวเองยังคงเริ่มแย่มานานแล้ว ซูโหย่วเผิงวัย 15 ปีได้เข้าร่วมวงเซี่ยวหู่ตุ้ย ชื่อของ「ไกวไกวหู่」ที่สะท้านกึกก้องไปทั่ว ในเรื่อง “องค์หญิงกำมะลอ” บทบาทองค์ชายห้า ความจริงใจและความรักความผูกพันที่ฝังลึกในใจของคน ผู้ชายที่รักการเรียนรอบรู้ทุกด้าน ปัจจุบันเขายืนอยู่ตรงหน้าพวกเรา นึกไม่ถึงจะกลายเป็นคุณอาวัย 40 ปีที่อยู่บนเส้นทางนี้มา 25 ปีแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างของเขาไม่ได้ฝ้าฟางอีกต่อไป ไม่ว่าเวลาใดบนใบหน้าจะมีความงดงามและมั่นคง แต่เวลาจะทำอะไรยังคงเป็นผู้ชายไม่ได้ซ่อนตำหนิใดๆ ใกล้เวลาเที่ยงคืน อารมณ์ของเขาจะยิ่งดีเป็นพิเศษ เขากระโดดขึ้นไปบนโซฟาสูบบุหรี่ เล่าถึงเรื่องราวของไอดอลที่หายไป
แสวงหาการยอมรับ
“หลังจากถ่ายซี่รี่ย์กับจางนาราเรื่อง “องค์หญิงแสนซน”เสร็จแล้ว ผมก็เข็ดกับการรับเล่นซี่รี่ย์เลย ไม่อยากเห็นบทแสดงที่ซ้ำซาก ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงไม่ทำให้ผมรู้สึกประทับใจอีก ผมตัดสินใจไปเอาดีด้านวงการภาพยนตร์ แต่ว่า ผู้กำกับภาพยนตร์กลับไม่ยอมรับผม ยังบอกอีกว่าผมเป็นนักแสดงไอดอลของละครซีรีย์ สถานการณ์ตอนนั้น ตัวผมตั้งแต่แรกก็ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน ทุ่มเทให้กับการพัฒนาฝีมือแสดงภาพยนตร์ ยุคของวงเสี่ยวหู่ คนอื่นมักจะมองว่าผมก็แค่มาแสดง ไม่สามารถก้าวขึ้นไปบนเส้นทางนี้ได้ ตอนนั้นผมทุ่มเทเวลาพยายามทำให้เห็นในฝีมือการแสดง ให้พวกเขารู้ว่าผมจริงจังกับมัน ต่อมาก็เช่นกัน ผมทุ่มเทเต็มกำลังให้เป็นที่ยอมรับในวงการภาพยนตร์ ดังนั้นจึงไปแสดงละครเวทีที่เน้นพลังเสียงกับท่วงท่าของร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นยังรับเล่นละครซีรี่ย์เรื่อง “เย่ออ้าย” รับบทคนโรคประสาท...อื่นๆอีกมากมาย ผมพูดมากไปรึเปล่า?”
คุณพูดได้เต็มที่ พูดยันฟ้าสว่างฉันก็ยังรอฟังคุณอยู่
“คุณพูดจริงรึเปล่าครับ? ผมจริงจังนะ ตั้งใจมากด้วย”
“ผมจำได้ว่าตอนแรกที่ไปแสดงละครเวที ยังต้องขอโอกาสกับผู้กำกับละครเวที พูดตามตรง ผมก็ไม่คิดว่าจะเอาดีทางด้านละครเวที แต่ก็กลับถูกพวกเขาดูถูก คนอื่นมักจะคิดว่าผมไม่ได้เรียนมา คิดเสมอว่าผมทำไม่ได้ หลังจากเลิกถ่ายละครซี่รีย์ ก็รับเล่นเรื่อง “เฟิงเซิง” รับบทเป็นไป๋เสี่ยวเหนียนก่อน ต่อมาประมาณ 5 ปี ผมก็เจออุปสรรครุมเร้า แต่ผมก็พยายามเต็มที่กับตัวเอง พิสูจน์ให้คนอื่นเห็น ผมทำได้จริงๆ และมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเล่นภาพยนตร์ จนกระทั่งปัจจุบัน ผมยังจำได้ว่าตอนที่ตัวเองรับเล่นหนังฟอร์มยักษ์เรื่องแรก “เฟิงเซิง” ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง เรื่องค่าตัวก็ไม่รู้จะเอ่ยยังไง ค่าตัวไม่ถึงหนึ่งหมื่นหยวน ตัวเลขถ้วนแบบนี้ผมก็โอแล้ว ยังไงก็ตามไม่ใช่เพราะว่าอยากได้เงินถึงมาแสดงภาพยนตร์ ไม่งั้นแสดงละครซีรี่ย์ไม่ดีกว่าหรอ ผมรับเล่นงิ้วคุ่นฉวีแสดงเป็นผู้หญิงนามว่าตั้น แต่ว่าคณะงิ้วไม่ยอมช่วยหาครูมาสอนผม ผมต้องควักกระเป๋าเองจ้างครูมาสอน ต่อมาคณะงิ้วมีจัดงบมาให้ แต่มันพอที่ไหนกันเล่า!”
เวลานี้ซูโหย่วเผิงสาธิตวิธีการร้องคุ่นฉวีช่วงนึง อธิบายถึงคุ่นฉวีแบ่งเป็นรูปแบบทางใต้และรูปแบบทางเหนือ ข้อแตกต่างคือทางใต้จะมีความหมายลึกซึ้ง และทางเหนือคือคนที่มีความรู้ความสามารถ ภายนอกแม้ว่าฉันจะไม่ได้พูดอะไร แต่จริงๆตะลึงตัวเขาอยู่ แม้ว่าจะเคยได้ดูเขาขับร้องเพลงพื้นบ้านมาหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่อยู่ใกล้ๆฉัน แล้วร้องออกมาอย่างไหลลื่นแบบธรรมชาติ⋯⋯
“ในการแสดงงิ้วผมต้องร้องเองท่อนนึง “โหยวหยวนจิงเมิ่ง” แม้ว่าผมจะได้ร้องแค่ไม่กี่ประโยค แต่คุ่นฉวีไม่มีโน้ต วิธีร้องในทุกๆคำล้วนต้องเรียนรู้ ผมทำได้เพียงจำทุกคำทุกประโยค แม้แต่การเปลี่ยนเสียงถึงตายก็ต้องจำให้ได้ ก่อนเริ่มถ่ายทำ 3 เดือนและ 4 เดือนก่อนการถ่ายหนังอย่างเป็นทางการ ขอเพียงไม่มีการแสดงงิ้ว ทุกวันผมจะมารายงานตัวในห้องเรียนคุ่นฉวี เริ่มต้นจากศูนย์เรียนจำทักษะพื้นฐาน แค่บทเรียนแรก ก็ต้องหาตำแหน่งการออกเสียงกันใหม่ นี่เองทำให้มุมมองการร้องเพลงของผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นต่อการร้องเพลงภูเขา “ซวินจ่าวหลิวซันเจี่ย” และ เพลงพื้นบ้าน “คังติ้งฉิงเกอ” ล้วนมีส่วนช่วยผมได้มากเลย”
“ผมเอา “โหยวหยวนจิงเมิ่ง” ที่ร้องเสร็จแบบเดโม ส่งให้กับผู้กำกับเรื่อง “เฟิงเซิง” เกาฉวินซู ทำเอาเขาตกใจเลยทีเดียว เขาตอบกลับมาเพียงแค่สี่คำเรื่อง “จิงเหวยเทียนเหยิน” แต่ว่าเรื่องนี้ สุดท้ายก็โดนตัดทิ้ง แต่ผมกลับไม่รู้สึกท้อใจเลย เพราะเขาช่วยผมเยอะมาก ผมรู้สึกมาตลอด อยากจะแสดงบทไป๋เสี่ยวเหนียนให้ดี ไม่สามารถจบเพียงร้องให้เป็นผู้หญิง ต้องเข้าถึงบทบาทนั้นให้ได้ ไม่ว่าทำอะไรก็ตามล้วนต้องมีอินเนอร์ในการแสดงถึงจะนับว่าเข้าถึงบทบาท ผมจำได้ว่าตั้งแต่เรื่อง “ซาฉิง” เริ่มประกาศทำเป็นภาพยนตร์ ผมก็ยังไม่สามารถออกจากบทบาทของตัวละครนั้นได้ ช่วงเวลาก่อนและหลังรวมแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่งปี และในชั่วชีวิตนี้ไม่เคยทุ่มเทเวลามากขนาดนั้นให้กับกังฟูที่จะเตรียมเล่นในอีกเรื่องหนึ่ง ความตื่นเต้นที่ได้แสดงนั้น ตลอดจนความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นได้เห็น หรือถึงขั้นจะเรียกผมไปชดเชยเงินแสดงผมก็ยินดี แต่ว่าตอนนี้จะเรียกผมไปทำอีกครั้ง ผมไม่ยอมเด็ดขาดเลยครับ!”
ใช่แล้ว “เถียนมี่ซาจี” เพลงประกอบภาพยนตร์ แท้จริงแล้วซูโหย่วเผิงเป็นผู้ร้อง ตอนแรกผู้กำกับอี้ฉีได้ฟังเพลง “เทียนเหยี่ยน” ก็ตัดสินใจจะเอาเรื่อง “เถียน” ทำเป็นคอมเมดี้ฉบับตำรวจ ซูโหย่วเผิงฟังแล้วก็ชอบมากๆ อยากจะได้ความคิดที่พลิกบทบาทการร้องนี้ ดังนั้นจึงเชิญหม่าเนี่ยนเซียนเรียบเรียงแก้ไขเป็น “เหล่าเทียนโย่วเหยี่ยน” และร้องนำโดยซูโหย่วเผิง เรื่องราวล่วงเลยไปหนึ่งเดือน ตอนที่ฉันนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์ได้ยินเพลงที่มีการปรับแก้นั้น ยังไม่อยากจะเชื่อเลย เพราะว่าท่วงทำนองในการร้องของซูโหย่วเผิงมีจิตวิญญาณและมีชีวิตชีวาเปลี่ยนไปมาก ถ้าไม่ใช่คืนนั้น ที่ฉันได้ยินกับหูเพลงที่เขาร้องล่ะก็......
“แม้ว่าจะเป็นแบบนี้ นึกย้อนกลับไปเรื่อง “เฟิงเซิง” ที่แสดงเป็นเรื่องแรก เป็นความทรหดที่น่ากลัวจริงๆ แม้ว่าไม่ต้องร้องแสดง แต่ผมต้องใส่ใจในหลายจุดเยอะมาก ตัวละครพูดคุยกัน ตำแหน่งการเดิน โทนเสียงและท่วงท่าของร่างกาย อีกทั้งผมไม่สามารถที่จะเล่นเป็นตัวผู้หญิงต่อหน้าทีมงานมากมายขนาดนั้น เล่นยังไงก็โดนตำหนิ เข้าไม่ถึงบทบาทเลยสักนิด ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน ผมเครียดจนนอนไม่หลับ ผลปรากฏว่าในอีกวันยังคงถ่ายทำตั้งแต่ต้นจนจบใหม่ ,ผิดพลาดครั้งเดียวก็ต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด,ผมกลัวจนจะประสาทอยู่แล้ว รู้สึกว่าประสบการณ์การแสดงในหลายปีมานี้ไม่ช่วยอะไรเลย ผมทำได้ไม่ดีจนทีมงานก็อดไม่ได้ที่จะซุบซิบกัน คิดไม่ถึงเลยว่า เกาซูฉวินจะสั่งยกกอง และก็บอกให้ผมเปลี่ยนโทนเสียงในการพูด ตอนนั้นผมรู้สึกหมดหวัง อยากร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตา ไม่คิดเลยว่าเขาจะให้ผมทำอะไรที่ยากขึ้นไปอีก หลังจากเก็บกองกลับบ้าน ผมไม่รู้สึกผ่อนคลายเลยสักนิด ทั้งร่างกายแม้จะได้แสดงทุกส่วน แต่กลับไม่มีส่วนไหนเลยที่เป็นของจริง
ว่าไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าซูโหย่วเผิงจะเริ่มมีอาการฮีสทีเรีย ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือสีหน้า ล้วนหงิกงอไปหมด ภาพที่น่าอนาถแบบนั้น เหมือนกับว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวผมอีก กดดันจนแทบจะหายใจไม่ออก อารมณ์ก็ควบคุมไม่อยู่ ทำให้คนรู้สึกสิ้นหวัง
“ผมร้องไห้บอกกับผู้จัดการส่วนตัวว่า ไม่สามารถแสดงได้แล้ว ไม่อยากทำลายละครเรื่องนี้ ผมทำไม่ได้จริงๆ แต่พอวันที่สอง ก็ยังคงตื่นนอนไปเผชิญหน้ากับมัน ทำตามที่ผู้กำกับพูดทุกอย่าง ผมเปลี่ยนสำเนียงในการพูด แต่ว่าตั้งแต่เช้ายันสายผ่านไป ผมก็ยังทำไม่ได้ พอทานอาหารกลางวันแล้ว ผมก็ไปนั่งที่ฉากซ้อมแสดงชั้นสอง ไม่รู้จริงๆว่าจะทำยังไงดี ตอนนั้นก็ได้ยินพวกพนักงานเริ่มนินทาอีกแล้ว ทันทีทันใดก็นึกออก! ไม่ใช่รอว่าจะคิดทำยังไง แต่เป็นการนำทั้งหมดมารวมในทีเดียว หลังจากนั้นถึงจะใช่ สุดท้ายผมก็เกือบถูกทำให้เป็นบ้า เพราะงั้นก็ไม่ต้องสนพวกเขาว่าจะพูดยังไง ผมต้องสวมบทเป็นหญิง!”
ฉันทนไม่ได้ต้องเข้าไปชม เขาในตอนนี้ เปลี่ยนโทนในการพูดได้หมดจด เขาบอกกับฉัน นั่นคือจุดที่ร้องออกเสียงงิ้วของเขา ดังนั้นเวลาพูดออกมาจะมีสำเนียงปักกิ่งนิดๆ แต่ว่าเสียงก็มีเปลี่ยนไปอยู่เล็กน้อย ในเวลานั้น ฉันรู้สึกว่าซูโหย่วเผิงที่อยู่ตรงหน้า เหมือนกับนักแสดงงิ้วคนนึง!
“ผ่านครึ่งวันนั้น ผมก็รู้ถึงขีดสุดของความผิดหวังที่ไม่รู้จะทำยังไง แต่ว่าช่วงบ่ายนั้น สติของผมก็ขาดลง รูปแบบของผมก็พังทลายลง ต่อมา ทั้งร่างกายมันบ่งบอกว่าใช่เลย! หลังจากบ่ายนั้น ผมก็ไม่ต้องแกล้งทำอีกแล้ว เพราะว่าเข้าถึงบทบาทไป๋เสี่ยวเหนียนแล้ว แม้แต่ในฉากแสดงคุยเล่นคุยตลกกับคนอื่น ไม่ว่าจะมองยังไง ผมก็คือนักแสดงงิ้วไม่มีผิด!”
ปล่อยวางความคิดข้างใน
“ “เฟิงเซิง” จวนจะได้ฉายแล้ว บริษัทฮวาอี้ได้เชิญสื่อมวลชนจากทั่วประเทศจีนมาร่วมทานอาหารที่ปักกิ่ง ผมเป็นเพียงนักแสดงหน้าใหม่ในวงการภาพยนตร์ ดังนั้นตอนที่สื่อมวลชนเรียกร้องจะให้ผมร้องบางท่อน ยังกลัวจะทำให้เสียเวลาทุกคน แต่พอผมเริ่มเปล่งเสียง พวกเขาอึ้งไปเลย ยังถามอีกว่าเสียงของเธอไปได้มายังไง ต่อมาไม่ว่าผมเดินไปที่ไหน ทุกคนก็จะให้ผมร้องสักให้ฟังบางท่อน แต่ว่านี่ก็กลับกลายเป็นจุดสนใจ ครั้งแรกที่เอาผลงานนี้ไปเผยแพร่ที่ไต้หวัน ผมยิ่งเครียดเข้าไปอีก ตอนนั้นผมยังไม่ประสบความสำเร็จ ในใจรู้ดีการเผยแพร่ไม่ได้เน้นที่ตัวผมแน่นอน ยิ่งกว่านั้น ผมยังกังวลมากว่าทุกคนจะเอาประเด็นไปพูดกันเรื่องเป็น “เกย์” ก็คล้ายกับตอนแรกที่ผมถ่ายละครซีรีย์ “ว๋าว๋าเหลี่ยน” ซึ่งก็เป็นภาพลักษณ์ติดตัวผมไปนาน”
ซูโหย่วเผิงช่วงต้นปีตามบทบาทไป๋เสี่ยวเหนียน ถูกเสนอให้รับรางวัลนักแสดงชายตัวประกอบยอดเยี่ยมของปีในงาน“จินเหนี่ยวไป่ฮวา” เขาอยู่บนเวทีตื่นเต้นจนร้องไห้ออกมา ตอนนั้นผู้ชมคิดว่า นั้นคือสัญลักษณ์ของนักแสดงไอดอลอย่างไม่ต้องสงสัย และจะกลายเป็นกำลังใจเริ่มต้นที่หนุนส่งนักแสดง เป็นดังคาด ล่วงเลยมาหนึ่งปีซูโหย่วเผิงจากเรื่อง “คังติ้งฉิงเกอ” ได้รับรางวัลนักแสดงชายนำยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์ที่มาเก๊า นั่นก็คือรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรื่องแรกตั้งแต่เล่นภาพยนตร์มา
“ ผมคาดไม่ถึงจริงๆว่าตัวเองเคยได้รับรางวัล ยิ่งไม่เคยคิดจะทำให้เป็นข่าวด้วย พูดตามตรง ผมไม่อยากถูกแปะป้าย ไกวไกวหูก็ช่าง องค์ชายห้าก็ช่าง แต่ถูกแปะป้ายเป็นเกย์ นี่ก็......จัดการยากจริงๆ ผมคิดว่าชีวิตนี้ คล้ายกับป้ายที่ถูกโยนทิ้งเรื่อยๆ เหมือนกับติดหนึบบนตัวของผม ถึงครั้งต่อไป ผมก็จะทำสิ่งที่ทำให้ทุกคนประทับใจมากยิ่งขึ้น แต่ว่าตอนนี้ถึงอีกช่วงเวลาแล้ว ผมไม่สนใจว่าคนอื่นจะพูดยังไง มองยังไง สิ่งเหล่านั้นผมล้วนไม่ใส่ใจ เพียงแค่พยายามรับบทบาทแสดงที่ไม่เหมือนเดิม แต่ก้นบึ้งของหัวใจก็รู้ดี เรื่องนี้คาดการณ์ได้แต่ขอให้สมหวังไม่ได้ ในสิบปีถ้าทำได้ไม่ดีก็ไม่มีไป๋เสี่ยวเหนียนล่ะ!”
เมื่อสักครู่ที่คุณพูดถึง “อีกช่วงเวลาหนึ่ง” หมายถึง?
“ จริงๆแล้ว...ก็ไม่อยากจะแสดงต่อไปแล้วล่ะครับ ผมตอนนี้ไม่มีใจอยากจะทำเรื่องนี้แล้ว ”
นั่นคือตัวคุณที่ไม่เคยค้นพบมาก่อน?
“ อาจจะมีคิดอยู่ในใจตั้งนานแล้ว เพียงแค่แต่ก่อนไม่เคยมองให้ชัดเท่านั้น... เรื่องการแสดง ก็อยู่ในช่วงเวลานึง เอาตัวเองในแต่ละด้านมาส่องขยายเรื่อยๆ ”
“ ผมนับถือศาสนาพุทธ ไม่ว่าข้างนอกเปลี่ยนไปยังไง นี่คือความศรัทธามั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ผมตอนแรกไม่เข้าใจว่าพระสูตรกำลังอธิบายอะไร แต่ตอนนี้ผมค้นพบทางที่จะบรรลุแล้ว เหตุผลนี้คล้ายคลึงกับผู้ฝึกยุทธ์ ถึงเวลาต่อมาก็ไม่ต้องมีความจำดีและท่องจำกันอีก เพราะค้นพบวิธีการแก้ปัญหาที่ดี ผมปีนี้อายุ 40 ปี เรียนมาก็เยอะ ตอนนี้ขาดเพียงการบำเพ็ญ ปลายเดือนพฤศจิกายนไปประเทศอินเดียสักการบูชาเป็นเวลา 10 วัน หลายปีที่ผ่านมานี้ ผมคิดว่าก็ยังเป็นตัวของตัวเอง เพียงแค่ค้นพบหลายสิ่งที่อยู่ภายในใจ ค้นพบตัวเองในด้านที่หลากหลาย เช่นด้านมืดของตัวเอง”
หลังจากซูโหย่วเผิงกลับจากสักการบูชาที่อินเดีย ก็เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการที่มีหวังเหว่ยจง, จ้าวเหวย, หลิวเยว่ในรายการ “China Got Talent” ทำให้คนคาดไม่ถึง ตอนที่เขาจะตัดสินว่าผ่านหรือไม่ บนใบหน้าจะเคร่งขรึม ทำให้ได้ฉายาว่า “ราชาเคร่งขรึม” การปรากฏตัวเผชิญหน้ากับตนเองนี้ ซูโหย่วเผิงตอบกลับว่า ขอแค่เป็นธรรมชาติก็พอแล้ว ในความไม่เด่นอาจจะเด่นสำหรับเขา ขอเพียงแสดงอย่างธรรมชาติตามใจปรารถนา สิ่งนี้ทำให้ฉันคิดถึงการถ่ายปกหนังสือวันนั้น เขาเดินทางอย่างลำบากกว่าจะมาถึงไต้หวัน พอลงจากเครื่องบินเขาก็ตรงมายังสถานที่ถ่ายทำเลย ในระหว่างที่ถ่ายทำ เขาให้ความร่วมมือทุกอย่าง แต่ถ้าพูดความตรงแล้ว จริงๆเขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เท่าไหร่ ชอบปล่อยอารมณ์ไปตามความรู้สึก การถ่ายทำที่ควบคุมอารมณ์มากเกินไป ทำให้เขาดูไร้อารมณ์ ดูแข็ง แต่ว่า ตอนนี้เขาเลยจุดนั้นมาแล้ว
“ตอนถ่ายทำเรื่อง “เถียนมี่ซาจี” มีฉากตลกที่ต้องร้องไห้ ทำให้ผมกดดันมากๆ ตอนเช้าผมจะเตรียมพร้อมสภาพอารมณ์ไว้ แต่ลองทำยังไงก็ไม่ได้ ผมตามหาความสมบูรณ์แบบ ไม่สนใจว่าต้องทำอีกกี่ครั้ง ฝึกไปจนสุดท้ายมักจะเริ่มหมดแรง ทำให้สภาพอารมณ์ก็ไม่พร้อม ยิ่งไปกว่านั้นถึงตอนท้าย หมดอารมณ์ไปเลย ทำให้จะเค้นอารมณ์ออกมาไม่ได้ ตอนนั้นผู้กำกับอี้ฉีถามผม ทำไมต้องตีกรอบอารมณ์ ถ้าผลออกมาก็คงไม่ทำให้คนประทับใจ หรือยิ่งไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดล่ะ นั้นก็แหงล่ะ เพราะการไม่โต้ตอบก็คือโต้ตอบรูปแบบหนึ่ง ทำไมต้องเค้นให้มีอารมณ์เหล่านั้นด้วยล่ะ ผมฟังเสร็จก็รู้สึกว่ามีเหตุผลมาก ผมควรจะปล่อยอารมณ์ลื่นไหลไปถึงจะถูก ไม่ควรตีกรอบ ยิ่งไม่ควรตีกรอบไว้ล่วงหน้าด้วย!”
สิ่งที่มีความหมายมากมายจำเป็นต้องรอให้เรื่องราวผ่านไปก่อนถึงจะปรากฏให้เห็น คืนนั้นซูโหย่วเผิงได้นั่งคุยกัน ตลอดจนความรู้สึกที่เขาแสดงออกมาเหมือนกับเสียงที่ยังวนเวียนไม่ไปไหน สำหรับฉัน ได้มาพิสูจน์กับตาถึงไอดอลที่หายไปท่านนี้ ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าของซูโหย่วเผิง กลับยิ่งชัดเจนยิ่งขึ้น