[13 พฤษภาคม 2013] 《The one magazine》ซูโหย่วเผิง— ผมอยากแสดงบทผู้ป่วยจิตเภท
ซูโหย่วเผิง— ผมอยากแสดงบทผู้ป่วยจิตเภท
《ยีห้าว》เนื้อเรื่อง:ซุนยีซิง
บทนำ
เข้าสู่วงการเมื่อตั้งแต่อายุยังน้อย หนีปัญหาด้วยการออกจากวงการ กลับมาอีกครั้ง และสุดท้ายสู่การผันตัวเป็นผู้กำกับ ตัวหนังสือไม่กี่ประโยคนี้ สามารถอธิบายเรื่องราวชีวิตของ ซูโหย่วเผิง ได้อย่างชัดเจน แต่ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังแล้ว ไกวไกวหู่ ต้องลำบากแค่ไหนครั้นเผชิญกับเสียงวิพากวิจารณ์จากสังคม เราเห็นแค่ชายหนุ่มที่ยืนจัดชุดสูทหน้ากระจกคนนี้ กาลเวลาคงจะชื่นชอบใบหน้าเขาเหมือนกัน ถึงจะผ่านอะไรมามากมาย แต่ก็กลับไม่สามารถทิ้งร่องรอยของการเวลาบนใบหน้าหล่อเหลานี้ได้ หรือบางทีนี่อาจถือเป็นการชดเชยให้กับสิ่งที่เคยเผชิญครั้นยังวัยรุ่นนั้นก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องราวเหล่านั้นก็ได้หล่อหลอมให้เขาเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ซูโหย่วเผิง ณ ตอนนี้ ไม่ใช่หนุ่มไร้เดียงสา“ไกวไกวหู่”อีกต่อไป แต่เป็น ซูเผิงโหย่ว คนใหม่ที่ไม่ได้ใช้ชีวิตตามกรอบอีกต่อไป
“ผมไม่ชอบอะไรที่ซ้ำซาก จำเจ ผมว่าความท้าทายน่าสนใจกว่า”
จาก ไป๋เสี่ยวเหนียน ในเรื่อง 《ฟงเซิง》ถึง บท ฮั่นเสี้ยนตี้ ในเรื่อง 《ถงเช้วไท่》ทุกการปรากฎตัวครั้งใหม่ของ ซูโหย่วเผิง มักสร้างความตกตะลึงให้กับผู้ชมได้เสมอ และขณะที่เขาสามารถฉีกภาพลักษณ์ “ไกวไกวหู่”ได้อย่างสิ้นเชิงนั้น ซูโหย่วเผิง ก็ผันตัวสู่นักแสดง เริ่มต้นจากพระเอกหน้าใหม่ของ ฉงเหยา (นักเขียนเรื่ององค์หญิงกำมะลอ)จนสุดท้ายกลายเป็นนักแสดงมืออาชีพในวงการ “ตอนนี้ถ้าเป็นหนังที่คล้ายกับเรื่อง 《องค์หญิงกำมะลอ》《เพลงรักมนต์สายฝน》ผมก็คงไม่รับแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวละครมันค่อนข้างเรียบง่าย ผู้ชมส่วนมากอาจจะชอบหนังรักคอมเมดี้แนวนี้ แต่จากมุมมองของผู้กำกับแล้ว ผมคลุกคลีและคุ้นเคยกับหนังแนวนี้แล้ว ตอนนี้ไม่อยากทำเรื่องที่ซ้ำกันอีก”
“ความท้าทาย” คงจะกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับ ซูโหย่วเผิง ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องการแสดงเท่านั้น แม้แต่ไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อน เขาก็จะไม่ร้องเพลงฮิตหรือที่เพลงคนส่วนมากนิยมร้องกัน “ถ้าหากผมท้าทายเพลงนี้ได้สำเร็จ คราวหน้าผมก็จะไม่เลือกเพลงนี้อีก ผมไม่ชอบร้องเพลงเดียวซ้ำๆ ผมไม่ชอบเลือกเพลงที่ไม่ได้ร้องง่ายเกินไปด้วยเหมือนกัน ผมไม่ได้เป็นคนแปลกหรืออะไรหรอกนะครับ แค่ไม่อยากทำอะไรที่จำเจเท่านั้น เพราะการท้าทายสิ่งใหม่ๆจะทำให้ผมมีแรงผลักดันมากขึ้น ไม่ใช่ว่าร้องเพลงที่เราถนัด แล้วให้คนอื่นชมว่าร้องเก่งร้องเพราะอะไรอย่างนั้น ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อนะ ผมชอบให้มีความท้าทายบ้าง มีสิ่งใหม่ๆให้ทุกคนได้เห็นบ้าง การแสดงก็เช่นกันครับ”
“ไม่ใช่ว่าทุกการท้าทายจะประสบความสำเร็จหมดหรอกครับ พูดตามตรงนะ ผมก็มีเรื่องท้าทายมากมายที่ทำไม่สำเร็จ (หัวเราะ) แต่ก็ช่วยไม่ได้นะ เพราะผมไม่ชอบความจำเจจริงๆหนิ ยกตัวอย่างเช่น การแสดงหนังและการกำกับ ผมรู้ว่าต้องทำหน้าหรือโพสท่าไหนถึงจะผ่าน ถึงจะถูกใจตากล้อง ถ่ายมุมมองถึงจะได้มุมที่สวยที่สุด แต่ผมคิดว่ามันไม่ใช่ ต้องเพิ่มอะไรใหม่ๆเข้าไปอีก ถ้าเหมือนกันทุกครั้งก็คงน่าเบื่อ แล้วมันจะสนุกได้อย่างไรล่ะ?”
เมื่อพูดถึงผลงานที่มีทำให้เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญนั้นมีอยู่สองเรื่องคือ 《องค์หญิงกำมะลอ》และ《ฟงเซิง》 “ตอนที่ถ่ายทำ《องค์หญิงกำมะลอ》นั้น ผมแสดงไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ แต่มันก็ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ทำให้ผมไม่ตัดใจจากวงการนักแสดงไปก่อน การที่ไม่ถูกแบนที่เป็นเรื่องที่สำคัญมากในการทำงาน สำหรับเรื่องการแสดงนั้น เรื่อง《ฟงเซิง》เป็นเรื่องที่ทำให้ผมมีการพัฒนามากที่สุด มันเป็นหนังเรื่องแรกที่ค่อนข้างท้าทายสำหรับผม และ ไป๋เสี่ยวเหนียน ก็เป็นบทที่แสดงยากที่สุดและแปลกที่สุดที่ผมเคยได้รับ มันช่วยสร้างแรงกระตุ้นให้ผม เพราะหลังจากที่รู้ว่าเราสามารถทำได้ มันทำให้ผมกล้ามากขึ้นครับ”
การท้าทายบทละครใหม่ๆทุกครั้ง ซูโหย่วเผิง มักจะหาเรื่องให้ตนเอง เพื่อจะสามารถเข้าถึงตัวละครได้มากขึ้นและแสดงออกมาได้ดีที่สุด “บทที่ผมอยากลองที่สุดในตอนนี้คือ ผู้ป่วยจิตเภท เพราะว่าบุคลิกจะต่างจากคนปกติ เมื่อเราอยู่ต่อหน้าคนอื่น เรามีพฤติกรรมที่คล้ายๆกันเพื่อไม่ให้ตนดูแตกต่างไปจากสิ่งที่คนทั่วไปทำกัน แต่ที่จริงแล้ว ผมคิดว่าทุกคนล้วนมีบุคลิกลับหลังผู้คนอีกด้วย และจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เราสวมหน้ากากที่ต่างกันออกไปเวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น ถ้ามีโอกาสได้แสดงบทสองบุคลิกแบบนี้ คงเป็นเรื่องที่น่าสนุกเหมือนกันครับ