ซูโหย่วเผิง : สมาการลบของชีวิตดาราผู้กำกับ
เรียบเรียงโดย:หวางเย้าเฉิน (นักข่าว)
ซูโหย่วเผิง ที่เพิ่งถ่ายทำผลงานกำกับเรื่องแรกของตน โจวเอ่อ สำเร็จลุลวงไปเรียบร้อยแล้ว เขาบอกว่าตอนนี้ตนเลยความอยากเอาชนะอยากลองแล้ว คำว่าไอดอลหนุ่มหน้าหวานค่อยห่างไกลจากเขาไปเรื่อยๆ ความต้องการที่จะเป็นนักแสดงมากฝีมือของเขาก็เริ่มลดลง ปัจจุบัน ซูโหย่วเผิง ฝักใฝ่ในพระธรรม หวังแต่ให้ทุกเรื่องราวเกิดและเป็นไปธรรมชาติของมัน เขาเริ่มใช้ชีวิตด้วยสมาการลบ ฝึกใจให้รู้จักปล่อยวาง
Q: 《Popular movies》
A: ซูโหย่วเผิง
《โจวเอ่อ》: ความเจ็บปวดของวัยรุ่น
ตอนที่ได้รับจดหมายเชิญเป็นผู้กำกับ ความคิดแรกของ ซูโหย่วเผิง คือ “ทำไมถึงมีคนเชิญผมไปเป็นผู้กำกับ?” ภายใต้คำเชิญอย่างจริงใจของ กวางเสี้ยนมีเดีย และด้วยความคิดของเขาเองที่เชื่อว่าทุกการเกิดขึ้นคือโชคชาตะ สุดท้ายแล้วเขาก็ตกลงรับงานนี้ ซูโหย่วเผิงบอกว่าตนเองเป็นคน “จริงจังเรื่องการแสดง ไม่ชอบอะไรที่เฟค” ผู้กำกับชาวราศีกันย์คนนี้ ทำการบ้านบุคลิกนิสัยของ 7 นักแสดงหลักมาอย่างละเอียดทุกส่วน วิ่งวุ่นเรื่องน้อยใหญ่ในกองถ่าย เพียงเพื่อถ่ายทอดความเจ็บปวดของวัยรุ่นออกมาได้แท้จริงที่สุด
Q: โจวเอ่อ เป็นหนังที่คุณกำกับเป็นเรื่องแรก ในฐานะที่เป็นนักแสดงมานานขนาดนี้ เคยคิดอยากเป็นผู้กำกับบ้างรึเปล่าครับ?
A: การเป็นผู้กำกับไม่เป็นเป้าหมายในชีวิตของผม ตอนที่เป็นนักแสดงนั้น เวลาปกติที่อยู่กองถ่ายผมจะไม่ค่อยพูดเลย หามุมเงียบๆซักมุม เพื่อค่อยบิ้ลด์อารมณ์ตนเองให้อยู่กับตัวละครที่ได้รับ ผมไม่เคยสังเกตงานและหน้าที่ของผู้กำกับเลย เพราะตอนนั้นผมคิดว่าผมยังทำเรื่องการแสดงไม่ได้ถึงที่สุดเลย ยังไม่ได้เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย ผมเป็นคนประเภททำงานจดจ่อน่ะครับ เวลาทำงานผมก็จะทำให้เสร็จไปทีละเรื่องครับ ผมไม่ชอบทำเรื่องนี้แล้วคิดเรื่องนั้นไปด้วย
Q:หลังจากที่ได้อ่าน โจวเอ่อ แล้ว คุณคิดว่ามีอะไรที่เหมือนกับวัยรุ่นของคุณ หรือทำให้คุณคิดถึงบ้างไหมครับ?
A:โจวเอ่อ จะเน้นที่มุมมืดและรุนแรงค่อนข้างเยอะ ตามพล๊อตของนิยายแล้ว เด็กผู้หญิงเรียบร้อยคนหนึ่งอยากทำตัวเป็นเด็กไม่ดี ผมอินในส่วนนี้มาก เพราะมันคล้ายกับชีวิตจริงของผม ผมเข้าวงการตอนอายุ 15 จากนั้นก็ถูกติดป้ายเด็กดี ตอนนั้นผมยังไม่มีทัศนคติ หรือความคิดของตนเอง ผมยังไม่เข้าใจตนเอง ไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ในสังคมด้วยซ้ำ ตอนนั้นผมมักจะคิดเสมอว่า ผมต้องเป็นคนแบบไหน ผมต้องตัดสินใจอย่างไรเวลาเผชิญกับเรื่องต่างๆ มันช่วงวัยที่กำหนดทัศนคติชีวิตของคุณ ในส่วนนี้ผมค่อนข้างเข้าใจความรู้สึกของ นางเอกในเรื่องโจวเอ่อครับ
Q :ความเหลวแหลกสมัยวัยรุ่นล่ะครับ?
A: ใช่ครับ วัยรุ่นเป็นวัยที่ออกสู่นอกลู่นอกทางได้ง่าย ตอนเริ่มต้นในเรื่อง โจวเอ่อ ลี่เอ่อ ซึ่งเป็นนางเอกของเรื่อง พูดว่า “ฉันเป็นเด็กดี พระเจ้าเป็นพยาน” เธอเป็นเด็กดีตามคำยามของคำว่าเด็กดีในสายตาผู้ใหญ่ แต่ว่าเธออยากลองเป็นเด็กดื้อดูบ้าง จากนั้นก็มีเด็กที่ถูกนิยามว่าเป็นเด็กใจแตก เธอเป็นนักร้องในผับ เป็นเด็กจากครอบครัวที่มีปัญหา พ่อแม่หย่าร้าง ----ผมคิดว่าความแตกต่างที่เกิดขึ้นค่อนข้างน่าสนใจ ความดีและความเลวเติบโตพร้อมกับเธอ อยู่ดีๆที่คิดอยากเป็นเด็กไม่ดีบ้าง เหมือนว่าต้องกลายเป็นเด็กเหลวแหลกจริงๆ เธอถึงจะได้ในสิ่งที่ต้องการ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่ค่อนข้างจะมีความเป็นละคร และนี่ก็เป็นตอนที่ผมชอบมากที่สุด เรื่องราวทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นมากจากกลอุบายของวัยรุ่น สำหรับผมแล้ว ผมคิดภาพไม่ออกว่า เรื่องแบบนี้จะเกิดในช่วงชีวิตของเด็ก ม.6 ได้อย่างไร ตอนผมอายุเท่าพวกเขาผมไม่เคยมีความคิดแบบนี้เลย แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปได้เหมือนกัน สิ่งที่เป็นความมืดมิด ความเลวร้ายในหนังสือเล่มนี้ดึงดูดผม ถ้าพูดตามตรงแล้ว หนังเรื่องนี้ไม่ได้พูดถึงแค่ความรักเท่านั้น พ้อยท์หลักของผมในการเริ่มต้น คือ การให้อภัยและอโหสิกรรม ถ้าพูดแค่เรื่องความรัก คงไม่ใช่เรื่องที่ผมสนใจ ผมอยากนำเสนอเรื่องราวที่ค่อนข้างลึกซึ้งครับ
Q:พูดในฐานะของผู้กำกับแล้ว คุณคิดว่าสิ่งที่ โจวเอ่อ นำเสนอหลักๆแล้วคืออะไรครับ
A: ผมคิดว่านี่เป็นที่พูดถึงการเติบโตทางจิตใจของเด็กวัยรุ่น กลุ่มวัยรุ่นที่ยังไม่เข้าใจและไม่รู้จักคำนึงถึงจิตใจผู้อื่น กลุ่มวัยรุ่นที่ยังไม่มีความคิด ทัศนคติของตัวเองอย่างชัดเจน ต้องผ่านการทำผิดหลายครั้ง จนสุดท้ายถึงจะเข้าใจตนเอง สิ่งที่ 《โจวเอ่อ》ต้องการถ่ายทอดนั้น ไม่ใช่เปลือกของวัยรุ่น แต่พูดถึงแก่นแท้ของวัยรุ่น สิ่งที่ผมให้ความสำคัญคือ สมัยวัยรุ่นเรามีจิตใจอย่างไรบ้าง ผมคิดว่ามันเป็นความรู้สึกที่เราต่างเคยรู้สึก เพราะความไม่มั่นคงมันมีมากมายเกินไป เราไม่รู้ตัวเองอยากเป็นคนแบบไหน เราไม่เข้าใจสังคมและโลกใบนี้ เราอยากเป็นที่ยอมรับ เราเหงา เรามีฮอร์โมน เราต้องการความรัก คุณอาจจะมีชีวิตสุดเหวี่ยง แต่ในด้านตรงข้าม นั่นคือความเจ็บปวด หนังเรื่อง《โจวเอ่อ》สะท้อนให้เห็นถึงความเจ็บปวดและความสับสนของวัยรุ่นด้วย
การแสดง :ตอนนี้ยังไม่มีเป้าหมาย
ซูโหย่วเผิง ที่เคยถูกขนานนามว่าพระเอกละครตลอดกาลคนนี้ค่อนข้างจริงจังกับการแสดง เขาบอกว่าตนชื่นชม เหลียงเฉาเว่ย มาก “เขาใช้ชีวิตอยู่กับตัวละคร สามารถเข้าถึงตัวละครได้อย่างแท้จริง มันเป็นเรื่องที่ควรเอาเป็นแบบอย่างจริงๆครับ” เขาเองก็เคยพยายามจนถึงขั้นนั้นเหมือนกัน บทไป๋เสี่ยวเหนียงในเรื่อง《ฟงเซิน》ทำให้เขาได้ใช้ชีวิตในตัวละครอย่างเต็มที่ แต่เขาบอกว่าตอนนี้ไม่ได้บทที่อยากแสดงซักเท่าไหร่ ต่อไปก็คงไม่พยายามท้าทายในเรื่องการแสดงแล้ว เพราะว่า “มันเลยอายุนั้นมาแล้ว”
Q:เมื่อกี้ที่คุณบอกว่าการแสดงของคุณยังไปไม่ถึงที่สุด ที่สุดในด้านการแสดงของคุณคือประมาณไหนครับ? เป็นนักแสดงที่ประสบความสำเร็จมากๆรึเปล่าครับ?
A:ตอนนี้ไม่มีเป้าหมายอะไรครับ ผมค่อนข้างปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาตินะครับ ผมเลยวัยนั้นมาแล้ว หลายปีก่อนผมพยายามจะเป็นนักแสดงฝีมือให้ได้ 10ปีที่แล้วผมยังเป็นแค่นักแสดงละคร ฉะนั้นผมเลยค่อนข้างซีเรียสกับเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าลึกๆแล้ว ผมชอบแบบนี้มากกว่า ผมสนใจบทละครที่มีเรื่องราวเข้มข้นลึกซึ้งมากกว่า อาจจะเป็นเพราะว่าผมเข้าวงการในฐานะไอดอล ผมเลยพยายามที่จะแสดงความสามารถให้คนอื่นเห็น แน่นอนว่าการที่ประสบความสำเร็จด้านละคร ก็เป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว แต่ว่าถ้าหากได้ทำเรื่องเหล่านั้นบ่อยๆ คนอื่นก็อยากจะให้คุณแสดงตามภาพลักษณ์เก่าๆเหล่านั้น บทที่คุณได้รับแทบจะไม่ต่างกันเลย มีแต่ละครหนุ่มนักรัก น่าเบื่อมั้ยล่ะครับ? หลังปิดกล้อง 《องค์หญิงแสนสน》ผมก็รู้สึกอิ่มตัวกับบทแนวนี้แล้วครับ หลังจากนั้นมาผมก็พยายามที่จะกลายเป็นนักแสดงที่มีฝีมือให้ได้ การเปลี่ยนจากนักแสดงไอดอลสู่นักแสดงฝีมือนั้นต้องใช้เวลาเหมือนกัน และผมก็ทุ่มเทไปไม่น้อย จากนั้นผมก็มีโอกาสได้รับบทในเรื่อง 《ฟงเซิน》หลังจากที่ทำถ่ายทำ《ฟงเซิน》เสร็จแล้ว ผมเคยพยายามหาโอกาสเพื่อได้แสดงบทฝีมือแนวนี้นานเหมือนกัน แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่มีโอกาส และหลังๆความอยากนั้นก็หายไป และไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้มากแล้วครับ
Q:เวลาที่สามารถเข้าถึงตัวละครได้อย่างแท้จริง รู้สึกภูมิใจมั้ยครับ?
A:แน่นอนครับ บท ไป๋เสี่ยวเหนียงในเรื่อง 《ฟงเซิน》เป็นหนึ่งในความภูมิใจในชีวิตเลยนะครับ ในปีนั้น ผมทุ่มเทกับหนังเรื่องนี้เรื่องเดียวเลย ตั้งแต่ไปฝึกแอคติ้งก่อนเปิดกล้อง หลังจากถ่ายทำเสร็จก็ได้รับคำชื่นชมจากทุกคน ตอนนั้นผมตั้งใจทำเรื่องนี้มาก และสุดท้ายผมก็มีโอกาสทำมันออกมาจนสำเร็จ รู้สึกดีใจมากเลยครับ เหมือนกับพระมอบในสิ่งที่คุณต้องการมันอยู่พอดี มันสุดยอดมากเลยครับ
ตอนนั้นผมอินกับ ไป๋เสี่ยวเหนียง มากจนติดบุคลิกของเขาไปด้วย เช่น การมองตาขวาง หลังๆมาผมถึงรู้ตัว และส่วนที่ผมรู้สึกว่าน่าแปลกในบท ไป๋เสี่ยวเหนียง ก็คือ ผมเริ่มเปลี่ยนแปลงตั้งแต่บุคลิก ถึงแม้ว่าผมจะนั่งนิ่งๆบนเก้าอี้ คุณก็จะสามารถดูออกว่าผมเป็นคนเล่นงิ้ว ผมภูมิใจในเรื่องนี้มาก ผมยังจำได้ว่า ตอนที่ฟิตติ้งชุดนั้น รูปแรกที่ผมเห็นเป็นรูปของ โจวซวิน ถึงจะเป็นแค่รูปใบเดียว แต่ว่าสายตา อารมณ์ ของเธอนั้น พูดได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดอยู่ในสายตาคู่นั้นแล้ว เธอเป็น กู้เสี่ยวเมิ้ง คนนั้นจริงๆ และพอเริ่มถ่ายทำ ผมยังคงระวังทุกๆรายละเอียด จนกระทั่งถึงปิดกล้อง ในที่สุดผมก็กล้าหัวเราะดังกลางกองถ่ายแล้ว มีรูปถ่ายรูปหนึ่งจากเบื้องหลังการถ่ายทำ ผมกับ โจวซวิน อยู่ในชุดงิ้ว ที่ผมรู้สึกก็คือ ถึงแม้จะกลับมาถ่ายรูปเฮฮาในชีวิตจริงแล้ว ผมยังคงเป็น ไป๋เสี่ยวเหนียง อยู่ ผมคิดว่านี่เป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์ที่สุดในชีวิตการแสดง เหมือนว่า อารมณ์ ความรู้สึก บุคลิกของผมเปลี่ยนไปหมดเลย หลังจากนั้นผมก็คาดหวังบทบาทแบบนี้อีกครั้ง แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสครับ
Q:ตอนนี้คุณมีอะไรที่อยากทำมากเป็นพิเศษรึเปล่าครับ?
A:ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรนะครับ ผมว่าผมรู้สึกพอแล้ว การวิ่งตามสิ่งเหล่านี้มันไม่มีที่สิ้นสุดหรอก ผมเข้าวงการเพลงตั้งแต่สมัยนั้น จากนั้นก็เปลี่ยนมาแสดงละคร แสดงหนัง ผมว่าสิ่งเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จในระดับหนึ่งแล้ว กับหลายๆ เรื่องในตอนนี้ ผมก็ค่อนข้างปลงนะ ผมอยากฝึกฝนเรื่องการปล่อยว่างให้มากกว่านี้ ผมไม่อยากจะใช้ความพยายามมากมายเพื่อโชคชาตะชีวิตในอนาคต หนังเรื่อง โจวเอ่อ ก็เหมือนกัน ผมทำในส่วนของตนเองให้ดีที่สุดก็พอแล้ว อย่างอื่นนอกเหนือจากหน้าที่ของผม ผมก็ไม่ต้องเข้าไปทำ สิ่งเหล่านี้เหมือนมีชีวิตของมันเอง และจะเติบไปตามธรรมชาติของมัน โดยที่ผมไม่ต้องทำอะไรมาก นี่เป็นสิ่งผมเพิ่งสังเกตเห็น ถ้าถามว่ามีแพลนอะไรในอนาคต ตอนนี้ผมคิดแค่ว่าทำงานในมือให้เสร็จเรียบร้อย แล้วไปพักยาวในต่างประเทศ การทำงานตำแหน่งผู้กำกับนี้ เหนื่อยเอาการเหมือนกัน รู้สึกว่างานที่ต้องใช้เวลาทำเป็นปี นอกจากเตรียมสอบอินทรานส์ครั้งนั้นแล้ว ก็มีการกำกับ โจวเอ่อ นี่แหล่ะครับ----กินเวลาเยอะกว่าการเตรียมสอบด้วยซ้ำ ผมรู้สึกเหนื่อยมากพอแล้ว แต่ยังไงผมก็ต้องรับผิดชอบต่อผู้ชมและทางค่าย โดยการทำหนังออกมาให้ดีที่สุด จากนั้นก็พักร้อนต่างประเทศยาวๆ ผมจะไปปลดปล่อย!(หัวเราะ)
ไอดอล : วัยที่รับมือไม่ทัน
ในฐานะสมาชิกวง เสี่ยวหู่ตุ้ย ที่เคยดังไปทั่วเอเชีย ซูโหย่วเผิง คู่ควรกับไอดอลหนุ่มหน้าหวานอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ความทรงจำที่เขามีต่อช่วงวัยรุ่นนั้นกลับเป็นความฝันของดาราที่สับสนวุ่นวายและเหนื่อยล้าจากการงาน ทุกอย่างเกิดขึ้นและผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซูโหย่วเผิง บอกว่าตนต้องการใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา แต่ชื่อเสียงทำให้เขาต้องกลายเป็นหนุ่มติดบ้านไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ก่อนอายุ 30 ผมอาจจะบอกกับทุกคนว่า ผมอยู่บ้านทั้งวันไม่ได้หรอก ผมต้องออกนอกบ้านบ้าง แต่พอถึงตอนนี้ ผมอายุ 40 กลับชอบการอยู่บ้านซะแล้ว”
Q:โจวเอ่อ เป็นเรื่องราวของวัยรุ่นอายุ 17 สมัยที่คุณอายุเท่านี้ คุณทำอะไรบ้างครับ
A :ตอนผมอายุ 17 ผมจำได้ว่าน่าจะเรียน ม.5 มั้ง ตอนนั้นผมเป็นสมาชิกของ เสี่ยวหู่ตุ้ย แล้ว เป็นช่วงที่ทุกอย่างกำลังแย่ ตอนนั้นผมต้องเรียนไปด้วย และ เสี่ยวหู่ตุ้ย ก็ออกอัลบั้มทุกๆปิดเทอมเล็กใหญ่ เพราะอยู่ในช่วงที่ เสี่ยวหู่ตุ้ย กำลังดังมาก ภาพลักษณ์ของผมใน เสี่ยวหู่ตุ้ย คือเรียนเก่งรู้จักแบ่งเวลาเล่น ที่คนคิดอย่างนั้น อาจเป็นเพราะผมเรียนโรงเรียนที่ดีที่สุดของไต้หวันในตอนนั้น ทุกคนก็เลยรู้สึกว่า ไกวไกวหู่ คงจะต้องเรียนเก่งและรู้จักแบ่งเวลา ตอนนั้นผมกดดันมาก เรื่องบางเรื่องพูดตามตรงว่ามัน.............
Q:เวลาผ่านไปเร็วจนยังไม่ทันได้ใช้มันเต็มที่เลย?
A:ใช่ครับ ในตอนนั้น อยู่ๆก็มีชื่อเสียงแบบไม่ได้ตั้งตัว บางเรื่องที่คุณยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้าเลย คุณยังไม่ได้ทำความรู้จักกับมันอย่างชัดเจนเลยด้วยซ้ำ มันกลับผ่านไปซะแล้ว อายุ 17 จะไปเข้าใจอะไรบ้างล่ะ? ตอนนั้นผมค่อนข้างไร้เดียงสานะ ดูจากรูปถ่ายตอนนั้นก็รู้แล้ว ผมยังไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนชื่นชอบมากขนาดไหน ผมคิดแค่ว่าผมเป็นนักเรียน แต่ตอนนั้นเหนื่อยมากเหมือนกัน เพราะงานยุ่งมาก เสร็จจากงานแล้วกลับไปโรงเรียน ก็จะปล่อยไม่ได้เลย ตอน ม.ต้น ผมเป็นเด็กเรียนเก่ง พอขึ้น ม.4 ม.5 กลับได้คะแนนลำดับท้ายๆของห้อง ที่จริงแล้วผมก็เสียใจมากนะ อายุ 17 ของผม เหมือนเทียนที่จุดไฟทั้งหัวและท้าย ทั้งเรื่องงานเรื่องเรียนก็สำคัญเท่ากัน และในขณะเดียวกันก็เหงามากเวลาอยู่โรงเรียน เป็นครั้งแรกที่ชีวิตต้องเผชิญเรื่องราวมากมายขนาดนี้ ตอนนั้นผมไม่รู้จะรับมือยังไง สิ่งที่นักเรียนคนอื่นทำตอนปิดเทอม คือไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เข้าชมรมหรือทำกิจกรรม ผมไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย เลิกเรียนปุ๊บผมต้องไปซ้อม ซ้อมเสร็จคนอื่นอาจจะพากันไปเดทไปเล่นข้างนอก ขอโทษครับ ผมต้องกลับไปอ่านหนังสือต่อ นี่เป็นชีวิตอายุ 17 ของผมครับ
Q: คุณมีอาชีพในฝันก่อนจะเข้าร่วมวง เสี่ยวหู่ตุ้ย รึเปล่าครับ?
A :ตอนเรียน ม.5 ผมเริ่มมีความฝันอยากเป็นดารา ตอนเด็กผมเก่งดนตรี ผมชอบเรียนเปียโนมาก ตอนเด็กๆผมจะไปฝึกเล่นเปียโนทุกวันหลังโรงเรียนเลิก เคยเข้าร่วมวงร้องประสานเสียงด้วย พอขึ้น ม.5 ผมเริ่มมีความฝันอยากเป็นดารา อยากยืนบนเวที ตอนนั้นไม่ค่อยได้ฟังเพลงจีน เพราะมันยังเป็นยุคของเหล่าศิลปินระดับโลก เช่น ไมเคิล แจ๊คสัน มาดอนน่า ผมชอบพวกเขามาก ผมว่าในบางมุมผมก็คล้าย ลี่เอ่อ ใน โจวเอ่อ เหมือนกัน เราถูกจำกัดด้วยกรอบแห่งความจริง แต่ลึกๆในใจอยากกลายเป็นคนที่เราเป็นไปไม่ได้เลยในชีวิตจริง ตอนนั้นก็ฟังเพลงญี่ปุ่นด้วย ผมชอบวง โชเนนไต ผมยังจำได้ว่าไปดูคอนเสิร์ตของพวกเขาที่ นิปปงบุโดกัง พวกเขาร้องไปสองสามท่อนแรกแล้วยื่นไมค์ให้ผู้ชมช่วยกันร้องต่อ ผมว่ามันเยี่ยมมากเลย ตอนนั้นผมชอบโชว์ ชอบการแสดง และอยากเป็นดารา ใครจะไปรู้ว่าหลังจากนั้นปีกว่า ฝันก็เป็นจริงเลย โชคชาตะมันน่าอัศจรรย์มากเลยครับ
Q :ชีวิตของไอดอลเป็นยังไงบ้าง ตื่นเต้นเหมือนที่คิดไว้รึเปล่าครับ?
A :ที่จริงผมว่ามันไม่ใช่ตื่นเต้นนะ แต่เป็นอารมณ์รับมือไม่ถูกมากกว่า สำหรับผมแล้ว ตอนแรกที่ทางบ้านอนุญาตให้ผมรับงานนี้เพราะเขาคิดว่าเด็กวัยรุ่นควรหัดทำงาน จะได้เรียนรู้สังคมภายนอกด้วย หลังจากนั้นก็เริ่มมีชื่อเสียง สมัยออกอัลบั้ม ชิงผิงก่อเล่อหยวน ก็มีคอนเสิร์ต 20 รอบในไต้หวัน ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องที่ดี ที่จริงคือ เราจัดสัปดาห์ละ 3 รอบ บ่ายวันเสาร์ 1 รอบ วันอาทิตย์ 2 รอบ อีกทั้งยังต้องทัวร์ไปทั่วไต้หวัน ซึ่งหมายความว่ายังไม่เรียบไม่จบคาบที่ 4 ของวันเสาร์ คนจากบริษัทก็มารอผมแล้ว จากนั้นก็ต้องรีบไปให้ถึงสถานที่จัดงาน ไม่ว่าจะเป็นนั่งเครื่องบินหรือรถ เหนื่อยจนหลับไปในรถตลอด พอถึงเวลาก็ขึ้นแสดง เพราะฉะนั้นไม่คิดถึงเรื่องเป็นดาราดัง หรือความภูมิใจอะไรมากมาย เพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น ตอนนั้นยังไม่รู้จักแบ่งว่า เรื่องไหนเป็นเรื่องงาน เรื่องไหนเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน แต่ตอนนั้นก็มีความสุขมากเหมือนกันครับ ตอนที่ผมร้องเพลงบนเวที แล้วมีคนปรบมือให้ แต่ว่าก็เหนื่อยเหมือนกัน ปกติพอกลับไปถึงโรงเรียน ผมก็นอนยาวตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์เลย
Q:ในฐานะที่เป็นไอดอลวัยรุ่น คุณรู้สึกภูมิใจไหมครับ
A:ครั้งแรกที่ผมรู้สึกภูมิใจมากเลยคือ ตอนที่สอบเอนทรานส์ ผมสอบติดสาขาที่มีชื่อเสียงเป็นลำดับที่ 5 ของมหาวิทยาลัย ตอนขึ้น ม.6 ผมต้องอ่านหนังสือของ ม.4 ม.5 ด้วย เพราะก่อนหน้านั้นการทำงานทำให้ผมตามไม่ทันเพื่อน สุดท้ายแล้วผลสอบออกมาดี ตอนนั้นรู้สึกภูมิใจมาก รู้สึกว่าผมแน่ ผมทำได้อะไรประมาณนั้น
Q:หลังจากนั้นเหมือนจะเจอกับช่วงที่ตกต่ำของชีวิต
A:ครับ ผมพักการเรียนจากมหาวิทยาลัย ตอนนั้นโดนด่าเละเลย เพราะว่าอายุยังน้อย ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหายังไงก็ไปดื่มเหล้าย้อมใจ ก่อนถ่าย 《องค์หญิงกำมะลอ》 เหมือนเป็นช่วงที่นักร้องไอดอลหมดอายุ ตกลงมาจากเกี้ยวสู่พื้นดินอย่างไม่ทันตั้งตัว ตอนนั้นผมเข้าวงการได้ 10 ปีแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าอนาคตตัวเองเลย จากนั้นก็ถูกทางค่ายส่งตัวไปถ่ายละครที่จีน แน่นอนว่า ภายหลังทุกคนคิดว่า 《องค์หญิงกำมะลอ》เป็นละครที่ประสบความสำเร็จมาก แต่ ณ ตอนนั้น ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น คนต่างถิ่นอย่างผมไม่รู้จักใครเลย แสดงไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ สู้เด็กจบใหม่ไม่ได้เลย รู้สึกท้อแท้มากครับ ตอนนั้นผมเริ่มกลายเป็นคนเก็บตัว เพราะว่าเริ่มมีปัญหา ไม่ใช่เด็กที่ทำอะไรก็ราบรื่นไปหมดเหมือนแต่ก่อนแล้ว
พระธรรม:ค้นพบแนวทางการปฎิบัติธรรม
“แด่เจ้าชายแห่งอินเดีย พระโอรสแห่งพระเจ้าสุทโธทนะ หากไม่ใช่ท่าน ผมยังคงไม่สามารถตระหนักถึงความจริงของตัวเอง” ใน เวยป๋อ ของ ซูโหย่วเผิง มักจะได้เห็นบทความเกี่ยวข้องกับพระธรรม สำหรับเขาแล้ว พระธรรมคือการตามหาความจริงแห่งชีวิต เป็นเส้นทางการตามหาความสงบในจิตใจ และเขาก็ค้นพบแนวทางการปฎิบัติธรรมตามวิถีของตนแล้ว
Q:ทุกคนรู้ว่าคุณนับถือศาสนาพุทธ อยากรู้ว่ามีจุดเริ่มต้นมาอย่างไรบ้างครับ
A :จำได้ว่า ครั้งแรกเกิดขึ้นตอน ม.ปลาย ตอนที่ผมเรียน ม.6 ไกวไกวหู่ กำลังจะสอบเอนทรานส์แล้ว ภายใต้การจับตามองของทุกคน ผมรู้สึกกดดันมาก บางทีผมอาจจะมีบุญในด้านนี้ด้วย ตอนนั้นผมเชื่อเรื่องของเหตุและผล เมื่อคิดได้ว่าเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ต้องเกิดอยู่แล้ว มันทำให้ใจของผมรู้สึกสงบขึ้นอย่างน่าแปลก ผมรู้สึกว่าตอนนั้นผมสามารถควบคุมจิตใจได้ดีกว่าตอนนี้ซะอีก ตอนนี้ก่อน โจวเอ่อ เข้าฉาย ผมยังรู้สึกกังวลอยู่ แต่ก่อนหน้าการสอบเอนทรานส์ตอนนั้น ผมหลับสนิททุกคืน มีความมั่นใจเต็มร้อย ความสนใจในด้านพระธรรมของผมอาจจะเริ่มจากตอนนั้นแหล่ะ ตอนที่อายุประมาณ 20
Q:คุณเคยไปอินเดียเพราะเรื่องศาสนาด้วย คุณรู้สึกอย่างไรกับการไปเที่ยวอินเดียครั้งนั้นครับ?
A:ผมเคยไปอินเดีย 2 ครั้ง ครั้งแรกคือเราไปกันประมาณ 11 คน ไปทัวร์สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ผมยังจำได้ว่าก่อนนี้ผมเห็นเรื่องราวการทัวร์อินเดียด้วยตัวคนเดียวบน เวยป๋อ ผู้เขียนบอกว่า มีศพลอยตามแม่น้ำ ฟังดูน่ากลัวมาก ตอนที่ผมไปอินเดียครั้งแรก ยังไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องเอาศพไปลอยในแม่น้ำ แต่ตอนนี้กลับมาดูอีกที แท้จริงเพียงอยากให้คุณได้รู้ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะพลังแห่งความเชื่อ เหมือนกับหลักการทางวิทยศาสาตร์ในสมัยนี้ เราเป็นแค่อะตอมหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่คุณเห็นสุดท้ายแล้วก็จะดับสูญ เช่นเวลาที่คุณชอบหน้าตารูปร่างภายนอกของคนๆหนึ่ง คุณเคยคิดไหมว่า ถ้าพลิกสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา ให้คุณเห็นเครื่องในต่างๆ คุณจะรู้สึกดีอยู่ไหม? แค่อยากให้คุณเข้าใจว่า เมื่อคนเราตายไป ทุกอย่างก็จะเปลื่อยเน่าไปตามธรรมชาติ คุณไม่ควรลุ่มหลงในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันล้วนแต่เป็นเรื่องที่อันตรายทั้งนั้น เมื่อได้พบเรื่องราวเหล่านี้บ่อยๆ กิเลสอาจจะค่อยๆลดลงไป
Q:คุณมีเรื่องอะไรหรือเคยมีเรื่องที่ปล่อยวางไม่ได้ไหมครับ?
A:มีเยอะมากเลยครับ ถ้าไม่เช่นนั้น ผมคงไม่มีทุกวันนี้ ที่จริงผมเป็นคนชอบเอาชนะ ผมต้องได้ที่ 1 เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวงการเพลงหรือวงการแสดงในภายหลัง ผมผ่านมาได้เพราะความต้องการเอาชนะของผม ตอนนี้ผมเริ่มฝึกตัวเอง ผมคิดว่ามันถึงเวลาปล่อยวางบ้างแล้วครับ
Q:คุณพบแนวทางการปฎิบัติธรรมของตนเองรึยังครับ?
A:ผมเจอแนวทางของตนเองแล้วครับ ผมปฎิบัติวิปัสสนา ระบบลัดสั้น ถ้าจะให้แบ่งตามนิกายละก็ ของผมถือว่าเป็นนิกายเถรวาท เป็นนิกายที่พระโคตมพุทธเจ้าเผยแพร่ในสมัยนั้น พระพุทธเจ้า-----เริ่มมีความสนใจในความทุกข์ของมนุษย์ จนสุดท้ายพบหนทางแก้ไข ผมเชื่อว่าพระพุทธเจ้าไม่สนใจเรื่องการสร้างศาสนา หรือให้ผู้คนมากราบไหว้ ถ้าทุกอย่างเกิดขึ้นเหมือนที่ท่านกล่าว ท่านบรรลุแล้วทำไมถึงยังห่วงเรื่องพวกนี้อยู่ วิปัสสนา แท้จริงแล้วเป็นเรื่องไม่ยากเลย แต่ต้องใช้เวลาในการศึกษา เป็นเรื่องไม่ยากและชัดเจนดีครับ