Channel Young The Weekly Magazine
ซูโหย่วเผิง มักมีโอกาสได้พบเจอคนที่วิเศษเสมอ
ซูโหย่วเผิง เข้าร่วมในรายการ 《China Got Talent》ฐานะกรรมการ เขาในตอนนี้เขาผิวคล้ำขึ้น มีเคราที่ตั้งใจไว้มาเป็นปี กับผมที่ใส่แว็กจัดทรงมาอย่างดี ช่างเป็นภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไปจากเดิมมากเลย ไอดอลหนุ่มวัยใสในอดีตคนนี้ ได้เปลี่ยนจากเด็กหนุ่มเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว หากแต่พอได้เห็นรอยยิ้มสดใสนั้นอีกครั้ง เหมือนเป็นการการันตีอีกครั้ง นี่แหล่ะคือใบหน้าของไอดอลหนุ่มหล่อที่หญิงสาวทั้งประเทศเคยหลงไหล
เนื้อหา:คังจิ้ง รูปภาพ:นิตยสารฉบับปัจจุบัน
นี่เป็นการสัมภาษณ์ ซูโหย่วเผิง ผ่านทางโทรศัพท์ในขณะที่เขากำลังเดินทางไปสนามบิน ชีวิตที่แสนยุ่งแบบนี้ เป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับชายหนุ่มที่เข้าวงการและโด่งดังไปทั่วเอเชียตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี เขาพูดผ่านทางโทรศัพท์ว่าตนเพิ่งตื่น ถ้าหากเขาไม่บอกก็ฟังไม่ออกเลยนะครับ นับตั้งแต่วันที่เขากลายเป็น ไกวไกวหู่ จากการเข้าเป็นสมาชิก เสี่ยวหู่ตุ้ย การให้สัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่อีกแล้ว ซูโหย่วเผิง ยังพูดอย่างเป็นกันเองอีกว่า “คุณถามเต็มที่เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ อยากถามอะไรก็ถามได้เลย” เขาเป็นดาราคนแรกและคนเดียวในบรรดาดาราที่ผมเคยสัมภาษณ์ ที่กล้าบอกพิธีกรว่า “นอกเหนือจากคำยอแล้ว คุณพูดได้หมดเลย”ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นการสัมภาษณ์
ฉะนั้นการสัมภาษณ์ระยะเวลา 1 ชั่วโมงหลังจากนั้นจึงไม่มีคำยกยอประจบจากผม หากแต่เป็นการพูดคุยกันอย่างสบายๆตรงไปตรงมา เขาบอกว่า ตอนนี้ไม่ได้สนใจเรื่องการแสดงมากเหมือนแต่ก่อนแล้ว เขาบอกว่าเคยคิดว่าร้องเพลงเป็นทุกอย่างของชีวิต เขาคงจะตายถ้าไม่ได้ร้องเพลง แต่พอไม่ได้ร้องเพลงเข้าจริงๆแล้ว ก็ไม่ได้ตายเหมือนที่คิด อย่าคิดว่าผม หรือ เสี่ยวหู่ตุ้ย จะเป็นดั่งเทพบุตรในนิยายนะครับ เพราะว่าก็เป็นคนปกติธรรมดา ยังบอกว่านับวันจะยิ่งสนใจการศึกษาคำสอนของพระพุทธศาสนามากขึ้น และไม่อยากจะหาเรื่องให้ตนเองแล้ว
เขาปล่อยวางเรื่องร้องเพลง เข้าใจชีวิตมากขึ้น และเริ่มต้นหาวิธีใหม่ๆเพื่อสร้างความสุขกับตนเอง การที่เขาถูกเชิญให้เป็นกรรมการในรายการ 《China Got Talent》พร้อมกับ จ้าวเวยนั้น มันเหมือนกับการโยนก้อนหินลงในทะเลสาบที่สงบนิ่ง เพราะสำหรับแฟนคลับในยุค 70 80 แม้กระทั้งคนยุค 90 แล้ว เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดเลยล่ะ
เรามักจะเห็นจากโซเชี่ยลว่าชาวโซเชี่ยลส่วนมากผ่านชีวิตวัยรุ่นมาพร้อมกับ เสี่ยวหู่ตุ้ย รวมถึง องค์หญิงกำมะลอ เขาหัวเราะก่อนจะพูดผ่านโทรศัพท์ว่า “พูดตามตรงนะครับ ผมมีความสุขและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาเป็นกรรมการในรายการ 《China Got Talent》จากการโหวตของชาวโซเชี่ยล และคนส่วนมากมักจะถามผมว่า ดีมั้ย ตื่นเต้นมั้ย จะทำให้คิดถึงความทรงจำในอดีตมั้ย แต่ความจริงก็คือ ผมกับ จ้าวเวย เราติดต่อกันมาตลอด แชทหากันตลอด ความรู้สึกที่แฟนเพลงหรือแฟนละครคาดไว้นั้น มันไม่ได้ลึกซึ้งมากมายขนาดนั้นครับ แต่ผมก็รู้สึกดีใจมาก ที่ถูกโหวตให้เป็นคู่หูของ จ้าวเวย ครับ ”
ซูโหย่วเผิง บอกว่า “ผมไม่ใช่คนที่ชอบพูดคำซึ้งๆ จ้าวเวย ก็ไม่ใช่เหมือนกัน แน่นอนว่าทางสื่ออาจจะอยากให้เราพูดความในใจความซาบซึ้งที่ได้กลับมาร่วมงานกัน แต่ความจริงก็อย่างที่พูดไปครับ โชคชาตะจะทำให้คุณได้พบกับคนที่วิเศษมากมาย เพียงแต่ว่าหลายครั้งมันมาในรูปแบบที่ธรรมดามาก ผมคิดว่าชีวิตของคนเราทุกคนคงไม่ต่างอะไรกันมากนัก”
เขาเคยเป็นไอดอลที่โด่งดังไปค่อนทวีป เคยไปใช้ชีวิตอย่างไร้เป้าหมายที่อังกฤษ และปัจจุบัน เขาอยู่ในช่วงชีวิตที่สามารถปล่อยวางทุกอย่างในอดีตได้แล้ว เขาเริ่มตามความศรัทธาทางศาสนาและพลังทางจิตใจ ปล่อยว่างความอยากเอาชนะของชาวราศีกันย์ มีอารมณ์ขำตามชาวราศีกุมภ์ ซูโหย่วเผิง เข้าใจแล้วว่า “บางครั้งการให้อภัยตัวเองก็ทำให้เราเติบโตมากขึ้น ให้อภัยตนเอง ให้อภัยคนรอบข้าง ”ซูโหย่วเผิง ที่เคยถูกมองเป็น ไกวไกวหู่ เสือน้อยเชื่อฟัง ตอนนี้เขาเริ่มไว้เครา บนใบหน้าที่ดูเด็กตลอดกาลนั้น ตอนนี้มีโครงหน้าที่ชัดเจนมากขึ้น เหมือนเราเองก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้นว่า โลกนี้ไม่มีอะไรที่สามารถคงอยู่อย่างถาวร บางทีการเปลี่ยนแปลงอาจจะเป็นโชคชาตะที่ไอดอลวัยรุ่นเลี่ยงไม่ได้เลย
เมื่อก่อนเคยคิดว่า คงจะตายถ้าไม่ได้ร้องเพลง
ซูโหย่วเผิง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในชั่วข้ามคืนเพราะ เสี่ยวหู่ตุ้ย ตอนนั้นเขารักการร้องเพลงและการเป็นดารามาก เขาบอกว่า “ตอนนั้น ผมมีความสุขมากจริง เพราะผมได้ร้องเพลงตามที่ตนเองชอบ และยังสามารถเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง นอกจากกินข้าว นอนหลับ และเรียนแล้ว เวลาที่เหลือผมก็เอาแต่ร้องเพลงครับ”
ปีที่ผ่านๆมา ทุกๆครั้งที่ ซูโหย่วเผิง อยู่ต่อหน้าสื่อ และทุกๆครั้งที่ถูกถามถึงเรื่อง เสี่ยวหู่ตุ้ย ก็ต้องมีคำว่า “ความสุข”จากปาก ซูโหย่วเผิง เสมอ เพราะสำหรับเด็กวัยรุ่นเรียนดีจากครอบครัวที่มีค่อนข้างเข้มงวดนั้น “มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ ตอนนั้นผลการเรียนของผมค่อนข้างดี และพ่อแม่ของผมค่อนข้างจะหัวสมัยเก่า พวกเขาอยากให้ผมเรียนหมอ หรืออย่างอื่นที่มีอาชีพมั่นคงกว่า
การทำดนตรีเป็นเรื่องที่ไม่มีความมั่นคงในความคิดของพวกเขา และในตอนนั้นเอง ผมก็แอบไปประกวดร้องเพลง และสุดท้ายก็ได้รับการยอมรับจากพวกเขา แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ผมมีความสุขมาก ตอนนั้นผมคิดว่า ผมไม่ต้องการอะไรนอกเหนือจากการร้องเพลงแล้วจริงๆ”
ซูโหย่วเผิง บอกว่า “ตอนนั้นผมเคยวางแผนอนาคตของตนเองไว้ว่า ผมจะเป็นนักแต่งเพลงและนักร้องที่ดี ผมค่อนข้างอ่อนไหวต่อจังหวะดนตรี จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังเหมือนเดิม หลายปีมานี้ ถึงผมจะไม่มีอัลบั้มออกมา ผลงานด้านดนตรีของผมก็ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ผมได้เข้าร่วมงานทำเพลงประกอบภาพยนตร์ เพลงประกอบละครมากมาย ระหว่างการถ่ายทำนั้น ผมรู้สึกว่าความสามารถด้านดนตรีของผมไม่ได้ลดลงเลย ออกจะดีกว่าเดิมด้วยซ้ำไป เพราะว่าตอนนี้ผมเข้าใจดนตรีมากขึ้น ตอนวัยรุ่นผมอาจจะออกแนวคลั่งไคล้มากกว่าเข้าใจครับ”
ฉะนั้นแล้วการชะลอฝีมือด้านงานดนตรีสำหรับ ซูโหย่วเผิง แล้ว “ไม่ได้มาจากปัจจัยภายนอกใดๆทั้งนั้น เป็นความเข้าใจที่มีต่อดนตรีของผมเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้นครับ ” คนที่ยอมไม่พกเสื้อชั้นในเพราะประหยัดพื้นที่กระเป๋ายามไปต่างถิ่น กลับไม่เคยลืมเตือนให้ผู้จัดการส่วนตัว ให้เอาลำโพงดีๆและแผ่นซีดีไปด้วยทุกครั้ง
ซูโหย่วเผิง บอกว่า “ไม่มีอย่างอื่น ผมอยู่ได้นะ นอกจากกล่องใส่อุปกรณ์เกี่ยวกับดนตรีกล่องนั้น ผมขาดไม่ได้เลยครับ ผมเคยคิดว่า ถ้าไม่ได้ร้องเพลงผมคงจะขาดใจตาย” แต่ตอนนี้เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายว่า “ไม่ใช่เพราะวันเวลา ไม่ใช่ว่าผมจะลืมความรู้สึกคลั่งไคล้เสียงเพลง เพียงแค่ตัวผมรู้สึกว่า ที่จริงแล้วการแสดงละคร หรือการทำอะไรใหม่ๆที่ไม่เคยทำมาก่อนก็สนุกเหมือนกัน ถึงจะไม่ได้ร้องเพลง แต่ผมก็ยังไม่ตาย”
ดูละครงิ้ว ฝึกจังหวะ ฝึกลูกคอแสดงงิ้ว
คนที่เคยคิดว่าจะตายถ้าไม่ได้ร้องเพลง ภายหลังกลับได้เข้าสู่วงการแสดงละคร “ที่จริงตอนที่ได้รับหนัง องค์หญิงกำมะลอนั้น เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตตกต่ำที่สุด ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ทั้งยังกดดันกับปัญหาการเงินอีก แต่ภายหลังทุกอย่างเปลี่ยนมาดีขึ้น เป็นเส้นทางใหม่ที่โชคดีมากสำหรับผม เมื่อผมย้อนนึกถึงชีวิตในวงการของผมแล้ว มีหลายครั้งที่คิดว่าไปไม่รอดแล้วจริงๆ แต่สวรรค์ก็ไม่ได้ให้หยุดอยู่แค่ตรงนั้น”
ยกตัวอย่างเช่นการได้รับบท ไป๋เสี่ยวเหนียน “ก่อนที่จะได้รับบท ไป๋เสี่ยวเหนียนนั้น ผมได้แสดงหนังรักไปหลายๆเรื่อง และส่วนมากก็ได้ร่วมงานกับทางเกาหลี ตอนนั้นผมคิดว่า บทแบบนี้แสดงไม่กี่เรื่องก็น่าจะอิ่มตัวได้แล้ว ผมก็อยากค้นพบภาพลักษณ์ใหม่ๆของตนเองบ้าง แต่บทที่ผมได้รับตอนนั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นซีรี่ย์หนังรักโรแมนติก ผมเองก็ไม่อยากแสดงบทแนวนี้แล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่ผมเริ่มรู้สึกสับสนอีกครั้ง และในตอนนั้นเอง 《ฟงเซิน》ก็เข้ามา”
ซูโหย่วเผิง กระตือรือร้นทุกครั้งที่พูดถึงบท ไป๋เสี่ยวเหนียน และครั้งนี้ก็เหมือนกัน เขาบอกว่า “มีหลายฉากที่ถูกตัดออกภายหลัง บทละครตัวนี้ถึงแม้ว่าจะได้รับการยอมรับจากคนมากมาย แต่สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าผมยังทำได้ดีกว่านี้ ตัวละครตัวนี้ยังสามารถเพิ่มเติมอะไรได้มากกว่านี้”
ซูโหย่วเผิง พูดถึงเรื่องราวกับการได้รับ ไป๋เสี่ยวเหนียน ด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่แท้จริงแล้ว เขาทุ่มเทเพื่อตัวละครตัวนี้เยอะมาก ความพยายามของเขาเป็นที่ประจักษ์ต่อทุกคน
หลังจากที่ได้รับบท ไป๋เสี่ยวเหนียน เขาก็รีบหาครูก่อนที่ยังไม่ได้อ่านต้นฉบับเลยด้วยซ้ำ ซูโหย่วเผิง บอกว่า “ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าเขาให้ความสำคัญกับมันจริงๆ และอีกด้านก็เป็นเพราะกลัวว่าจะทำสิ่งที่ตนเคยพูดไว้ไม่ได้” ถึงแม้ว่าในใจของ ซูโหย่วเผิง จะปฎิเสธรับหนังรักโรแมนติกแล้ว แต่ถ้าให้ลงมือฉีกภาพลักษณ์ของตัวเองให้สำเร็จนั้น ซูโหย่วเผิง บอกว่า“ผมกลัวเหมือนกันครับ”
แต่ความกลัวไม่ได้ทำให้ ไกวๆหู่ ท้อถอยเลยแม้แต่นิดเดียว แต่กลับปลุกเสือที่กล้าผงาดต่อโชคชาตะในใจของเขา เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่ได้รับบทนั้น เขาบอกว่า “ผมไม่ค่อยมีความรู้เรื่องวัฒนธรรมของละครงิ้วมาตั้งแต่เด็กแล้ว รู้แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์และงดงาม ” ตอนเด็ก ซูโหย่วเผิง เคยเห็นละครงิ้วจากโรงละครงิ้วเล็กในไทเปไม่กี่ครั้ง เขาไม่เคยฝึกและไม่มีสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้เขาซึมซาบบรรยากาศแบบนั้น ซูโหย่วเผิง บอกว่า “ผมเคยชมละครงิ้ว เรื่อง《ศาลาโบตั๋น》ครั้งหนึ่งที่นิทรรศการปักกิ่ง สำหรับผมแล้ว การรับบท ไป๋เสี่ยวเหนียน ถือเป็นการเริ่มจากศูนย์”
การรับบทครั้งนี้ นอกจากเรื่องละครงิ้วที่ตนไม่คุ้นเคยแล้ว ยังมีปัญหาใหญ่อีกเรื่องหนึ่งคือ ตอนนั้น ซูโหย่วเผิง อยู่ในช่วงเรียนการต่อสู้ ทำให้เวลาอยู่ต่อหน้ากล้องแล้ว ดูไม่น่าเชื่อเลยว่าผู้ชายที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อคนนี้จะเป็นนักแสดงงิ้ว
หลังจากตกลงรับหนังแล้ว ซูโหย่วเผิง ไปดูการแสดงงิ้วที่ กงหวังฟู่ ทุกวัน และอาจารย์ยังให้เขาฝึกจังหวะการก้าวเท้า และลูกคอการร้อง ขณะเดียวกันก็สามารถซึมซับละครงิ้วแบบดั้งเดิมไปด้วย หลังจากที่เหนื่อยจากการเรียนมาทั้งวันแล้ว ซูโหย่วเผิง ยังต้องอดข้าวเพื่อลดน้ำหนักอีก
ระยะเวลา 5 เดือน ตั้งแต่เริ่มเตรียมตัวไปจนถึงเปิดกล้อง ซูโหย่วเผิง ผอมลง มีบุคลิกของ ไป๋เสี่ยวเหนียนมากขึ้น หลังเริ่มถ่ายทำ ซูโหย่วเผิง เองก็ไม่หยุดไปเรียนกับอาจารย์ แถมยังพาอาจารย์มาในกองถ่ายด้วย “ผมไม่กล้าประมาทเลย เพราะหนังเรื่องนี้มีแต่นักแสดงเก่งๆทั้งนั้น พวกเขายังรู้สึกกดดันเลย แล้วนับประสาอะไรกับผมล่ะ ฉะนั้นตลอดการถ่ายทำนั้น ผมอินกับ ไป๋เสี่ยวเหนียน ตลอด จนกระทั่งถึงเวลาโปรโมทหนัง ถึงนึกได้ว่า อ๋อ แสดงเสร็จไปแล้ว”
ซูโหย่วเผิง บอกว่า “ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจหรือพยายามเปลี่ยนแปลง แต่เป็นเพราะอยากรู้จักตนเองมากขึ้น แต่หลายปีมานี้ผมต่างไปจากตอนนั้นแล้ว ผมไม่อยากท้าทายตนเองแล้ว เพียงแต่อยากหาเรื่องที่ตนเองชอบจริง ใช่ครับ ตอนนี้ผมรู้จักมีความสุขกับงานมากขึ้นครับ”
พอถูกถามว่า การที่เขาหยุดท้าทายตนเอง เป็นเพราะว่าเคยประสบความสำเร็จมาแล้วรึเปล่า เขาหัวเราะแล้วตอบว่า “ไม่ใช่หรอกครับ มีคนมากมายที่ประสบความสำเร็จมากกว่าผม แต่หลายคนก็ยังคงพยายามไม่เคยหยุดหย่อน ผมว่าอยู่ที่ความคิดความเข้าใจของแต่ละคนมากกว่าครับ”
ระหว่างการอัดรายการ 《China Got Talent》 ซูโหย่วเผิง ได้เล่าถึงเรื่องราวตอนที่ตนเพิ่งเข้าวงการด้วย “ตอนนั้นผมต้องรอคำว่า ‘Yes’จากคนอื่น แต่ตอนนี้ผมนั่งอยู่ตรงนี้แล้วเป็นคนให้คำว่า ‘Yes’กับพวกเขา ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาดีครับ”
“ผมคิดว่าคนเรานอกจากต้องรู้จักเรียนรู้รับความสุขจากความสำเร็จแล้ว การเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดหวังก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากเหมือนกัน ระหว่างที่อัดรายการ ผมชอบสังเกตเวลาที่ผู้เข้าแข่งขันลงจากเวที แล้วคุณจะสังเกตเห็นว่า ถ้าหากคุณเป็นคนที่อยากเอาชนะมากเกินไปหรืออะไร ทุกอย่างจะแสดงออกมาผ่านแววตาและร่างกายของคุณ ความอยากได้อยากชนะไม่ได้เป็นเรื่องที่ไม่ดี แต่ว่าการจัดการกับความอยากของตัวเองให้ได้นั้นสำคัญมากครับ“
ซูโหย่วเผิง เล่าว่า “ตอนที่ผมเพิ่งเข้าวงการใหม่ๆ ผมมีความสุขกับการเป็นดารามาก ผมอยากมีโอกาสมากกว่านี้ ผมอยากแสดงความสามารถ ผมอยากพิสูจน์ตัวเองมากกว่านี้ แต่หลังจากที่ผมได้ศึกษาเรื่องธรรมะมากขึ้น มันทำให้ผมรู้ว่า แท้จริงแล้วทุกอย่างล้วนแต่เป็นกิเลสของตัวผมเอง“
“กิเลสทำให้เราเป็นทุกข์ เมื่อผมค่อยๆเข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น ผมก็รู้ถึงที่มาของปัญหาทั้งหมด ปัจจุบันนี้ ผมหาเรื่องให้ตัวเองน้อยลง เพราะความต้องการของผมลดน้อยลง กิเลสไม่เยอะเหมือนเมื่อก่อน และผมก็รู้สึกว่ามันทำให้ผมมีความสุขและยิ้มง่ายมากขึ้นครับ“
ซูโหย่วเผิง เคยโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมที่อินเดียบน เวยป๋อ ว่า “สองสามวันก่อน ผมได้รับโทรศัพท์จากทางรายการ ผมคิดในใจว่าทริปอินเดียของผมต้องล่มแน่นอน แต่ผู้จัดการของผมบอกผมว่า ช่วงเวลาที่ผมจะไปอินเดียนั้น ไม่มีตารางอัดรายการพอดีเลย เป็นเรื่องบังเอิญมาก นั้นไง เรื่องที่ถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องทำยังไงก็ต้องทำให้สำเร็จ ถึงคุณจะไม่ต้องพยายามอะไร สุดท้ายคุณก็ต้องได้ทำมันอยู่ดี“
นี่เป็นเรื่องราวที่ ซูโหย่วเผิง เล่าให้เราฟัง พอพูดถึงตรงนี้ เขาบอกว่า “ผมในตอนนี้ มองเรื่องทุกเรื่องด้วยทฤษฏีนี้เหมือนกัน หลายคนชอบถามผมเรื่องเสี่ยวหู่ตุ้ย ผมขอพูดตอนนี้เลยว่า ผมอยากให้เรากลับมาอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ผมพูดคนเดียวแล้วจะเป็นจริงได้ ยังต้องมีคนที่มาจัดการดูแล และปัจจัยภายนอกอีกหลายๆอย่าง รวมถึงเรื่องพรหมลิขิตด้วย ผมรู้ดีว่าแฟนเพลงอยากให้เราได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเราเองก็อยากเหมือนกัน แต่ว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายๆอย่างครับ“
สนทนากับ ซูโหย่วเผิง
Q: ไม่กี่ปีมานี้ เหมือนจะทุ่มเทเวลาให้การกุศลมากขึ้น
A:ใช่ครับ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้นะครับ ที่จริงก็คือแค่รู้สึกว่าผมควรทำอะไรบ้างแล้ว ผมคิดว่าเมื่อก่อนมีแค่คนอื่นคอยช่วยเหลือผม ถ้าหากว่าตอนนี้ผมสามารถช่วยคนอื่นได้ สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่ว่าผมไม่อยากให้สื่อเขียนข่าวในด้านนี้ซักเท่าไหร่ เพราะว่าการกุศลเป็นสิ่งที่ทุกคนอยากทำด้วยใจ ไม่ได้มีเหตุผลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้น ผมหวังว่าตอนที่ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์ฉบับนี้ พยายามหลีกเลี่ยงการพูดเรื่องการกุศลครับ เพราะสำหรับผมแล้ว คำชื่นชมเหล่าไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีมากครับ
Q:คุณไม่สนใจคำวิจารณ์ภายนอกหรอครับ? การที่คุณไปปฏิบัติธรรมที่อินเดีย เป็นเพราะว่าคุณอยากออกจากเสียงติชมของทุกคน มีความสุขกับการเป็นตัวของตัวเองใช่มั้ยครับ
A:พูดตามตรงว่า ก็มีบ้างนะครับ นับวันผมยิ่งไม่สนใจสิ่งที่คนอื่นคิดหรือสิ่งที่พวกเขาพูดแล้ว เพราะแต่ละคนยืนบนเส้นโคจรที่ต่างกัน ผมก็มีเส้นโคจรของผม ผมอยากให้ทุกคนลองฟังเสียงในใจของตนเองมากขึ้น แต่ไม่ใช่ว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเพราะเสียงจากภายนอก การไปอินเดียครั้งนี้ เพราะผมอยากไปซึมซับความสงบและไร้กิเลสที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้
Q :ตอนนี้คุณเริ่มทำงานด้านเพลงประกอบหนังและละครแล้ว เคยคิดไหมครับว่าถ้าไปร้องเพลงตอนนี้จะต่างจากตอนที่เป็น เสี่ยวหู่ตุ้ย อย่างไรบ้าง
A:แตกต่างกันมากจริงๆครับ ความเข้าใจที่ผมมีต่อดนตรีในสมัยนั้นเป็นเอกลักษณ์ในช่วงอายุนั้น ซึ่งก็เป็นช่วงที่ไม่เลวเหมือนกัน ผมคลั่งไคล้ในการร้องเพลงและการแสดงมาก จนกระทั่งทุกวันนี้ ผมก็ยังจำบทเพลงเหล่านั้นได้อย่างขึ้นใจ แต่ความเข้าใจต่อดนตรีในตอนนี้ก็เป็นเอกลักษณ์ของอายุในตอนนี้ด้วย ภายใต้การถ่ายทอดผลงานแบบเดียวกัน สิ่งที่เปลี่ยนไปคือความคิด ความเข้าใจ แต่ว่าจนถึงทุกวันนี้ผมยังเป็นพวกมีไหวพริบในการอัดเพลง เรื่องนี้คนรอบตัวของผมรู้กันอยู่แล้วครับ
Q:ได้ร่วมงานกับ จ้าวเวย อีกครั้ง ดีใจไหมครับ?
A:ผมรู้ว่าคุณอยากถามอะไร ที่จริงพวกเราเหมือนเป็นตัวแทนของวัยรุ่นในยุคหนึ่ง แน่นอนว่าผมไม่ได้เห็นด้วยกับคำพูดนี้ซะเท่าไหร่ แต่ว่าสื่อเรียกว่าอย่างนั้น ขอยืมมาใช้ก่อนแล้วกัน แฟนคลับอาจจะคาดหวังให้เราพูดหรือทำอะไรซึ้งๆ แต่ที่จริงแล้ว ผมกับ จ้าวเวย เราติดต่อกันมาตลอด คุยแชทตลอด เพราะฉะนั้นการได้ร่วมงานกันอีกครั้งเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก ทั้งผมและเธอก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดซึ้งอยู่แล้ว อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ แฟนคลับก็เลยรู้สึกขาดอะไรไปบ้าง แต่แบบนี้ก็เป็นรสชาติของวัยรุ่นไม่ใช่หรือครับ? เป็นเพราะเหมือนว่าขาดอะไรไป ชีวิตวัยรุ่นถึงเป็นช่วงเวลาที่เราจำได้ไม่ลืม
Q:รู้สึกอย่างไรบ้างกับการเป็นกรรมการในรายการวาไรตี้?
A:คุณรู้ไหม ตอนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กรรมการ ผมรับรู้ถึงความรู้สึกของพวกเขาตลอดเวลา และผมมักจะคิดถึงผมในอดีต ผมเคยเป็นคนที่ยืนบนเวทีรอให้คนอื่นพูดคำว่า “Yes” แต่ผมก็อยากบอกกับผู้เข้าแข่งขันของรายการ 《China Got Talent》ทุกคนว่า ที่จริงเราไม่เพียงแค่ต้องฝึกตอนรับความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังต้องฝึกยอมรับความผิดหวังและการถูกปฎิเสธด้วย รู้จักยอมรับคำปฏิเสธจากผู้อื่นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คุณต้องเรียนรู้เรื่องนี้ ถึงจะสามารถหาตัวเองเจอครับ