บันทึกการสัมภาษณ์
บันเทิงอี้หว่าง:ทำไมคุณจึงเลือกทำภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนเป็นเรื่องที่สองต่อจาก เรื่องหูข้างซ้าย The Left Ear คะ?
ซูโหย่เผิง:หลังจากที่กำกับเรื่อง The Left Ear เสร็จสิ้นไป เจ้านายและทีมงานของผมไตร่ตรองเกี่ยวกับผลงานเรื่องต่อไปว่าเราควรจะทำมันออกมาอย่างไร ซึ่งตั้งแต่เริ่มต้นเราไม่ได้มีการเจาะจงเป็นพิเศษว่าจะต้องเลือกทำภาพยนตร์แนวลึกลับ ที่จริงคือไม่ได้แบ่งแยกประเภทเลย เราคิดแค่ว่าอยากหาเรื่องราวดีๆสักเรื่อง ตอนที่เริ่มต้นทุกคนมีแผนบางส่วน บางคนก็มี IP ขนาดใหญ่ มันใหญ่จนผมรู้สึกว่าเวลาเพียงแค่สองชั่วโมงคงไม่เพียงพอที่จะทำให้เราเลือกเรื่องที่ดีได้ ต่อมาตอนที่ปรึกษากันเราก็พูดถึงผลงานเรื่อง “การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX” (The Devotion of Suspect X) ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนผมเคยอ่านเรื่องนี้ ผมรู้สึกประทับใจต่อนวนิยายเรื่องนี้มาก รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ผมรู้สึกว่ามันดึงดูดตัวผม อาจเพราะมันเต็มไปด้วยความท้าทาย ผมรู้สึกว่ามันมีความซับซ้อน แบบที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดสั้นๆได้ เนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับเรื่องราวต่างๆเป็นวงกว้างทำให้มีความซับซ้อน และความซับซ้อนนี่เองที่ดึงดูดผม
บันเทิงอี้หว่าง:เมื่อก่อนเกาหลีและญี่ปุ่นเคยดัดแปลงเรื่อง “การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX” ( The Devotion of Suspect X) มาสร้างเป็นภาพยนตร์มาก่อน ถ้าอย่างนั้นการถ่ายทำครั้งนี้จะหลีกเลี่ยงความคล้ายคลึงที่อาจส่งผลกระทบตามมาได้หรือไม่?
ซูโหย่วเผิง:ผมรู้สึกว่าครั้งนี้ผมกำลังไขปัญหา“การปรากฏตัวของผู้ต้องสงสัยX” ( The Devotion of Suspect X) เป็นหัวข้อที่ทุกคนต้องเจอเมื่อยืนอยู่ในตำแหน่งผู้กำกับ แฟนๆของหนังสือนวนิยายเรื่องนี้มีวงกว้างมากๆ คนที่เคยอ่านและแฟนคลับของมันมีจำนวนมาก ดังนั้นผลงานเรื่องนี้ไม่สามารถแตะต้องมั่วซั่วได้ ตัวผมเองก็เป็นแฟนนวนิยายเรื่องนี้เช่นกัน ถ้าสมมติว่ามีใครมาเปลี่ยนแปลงเนื้อหาของมันจนหมด ผมก็คงจะโกรธมากเหมือนกัน ดังนั้นผมจึงไม่ควรแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อหาที่เป็นส่วนสำคัญ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นผมต้องการหามุมมองที่แตกต่างจากรูปแบบที่ผู้กำกับของเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเกาหลี โดยหลักการก็ถือได้ว่ามีความเกี่ยวพันกัน เบื้องหลังการถ่ายทำของแต่ละเวอร์ชั่นย่อมมีเคล็ดลับหรือวิธีการบางอย่างที่แตกต่างกันที่คนทั่วไปไม่ทราบ เมื่อลองพิจารณาจากผลงงานชิ้นนี้แล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างเหมือนคนที่มีมุมมองของพระเจ้าหรือบางทีก็เหมือนผู้พิพากษาหมายถึงมุมมองที่ผมใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นตัวตัดสินว่าผลงานชิ้นนี้ต้องการนำเสนอออกมาในรูปแบบไหน ถ้าผมต้องการที่จะอยู่รอดในสถานการณ์นี้ ผมต้องไม่แก้ไขหรือดัดแปลงส่วนที่เป็นใจความสำคัญของเรื่อง และในขณะเดียวกันก็ต้องหามุมมองการถ่ายทำแบบใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ของเวอร์ชั่นจีน
บันเทิงอี้หว่าง:นวนิยายเรื่องนี้มีแฟนหนังสือเยอะมาก การดัดแปลงมาทำเป็นภาพยนตร์มีเงื่อนไขมากมาย คุณคิดว่าเรื่องพวกนี้ทำให้คุณมีแรงกดดันหรือทำให้มีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น?
ซูโหย่วเผิง:สำหรับสิ่งเหล่านี้ผมสามารถเข้าใจได้ ลองเปลี่ยนกันคิด ถ้าหากว่าผมเป็นสาธารณะชน เป็นแฟนหนังสือคนหนึ่ง ผมก็จะไม่จำเป็นต้องสงสัยต่อการกำกับ แต่ผมอาจจะมีคำสั่งดังอยู่ในหูของผม คอยเตือนว่าอย่าแตะต้องนวนิยายเรื่องนี้มากเกินไป เพราะมันอาจจะทำให้ผมเสียใจทีหลัง ดังนั้นผมเองก็สามารถเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ได้ มันเป็นแรงกดดัน แรงกดดันก็สามารถเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันได้ แต่เวลาที่ผมเผชิญหน้ากับแรงกดดันเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งวันจะบอกตัวเองอยู่ข้างหูว่ามีแรงกดดันแบบนี้นะ มีหลายคนกำลังจับตามองอยู่ ผมพยายามไม่สนใจ ทุ่มเททำมันให้เต็มที่ ซึ่งต่อไปย่อมมีผลดีตามมาแน่นอน เพราะตัวผมได้พยายามทำแล้ว พยายามใช้แรงกำลังที่มี แบบนี้จะรู้สึกคุ้มค่ากับตัวเอง ถ้าหากสุดท้ายแล้วไม่สามารถทำมันออกมาให้ดีได้ ผมก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา ในตอนนี้สามารถทำได้ถึงขนาดนี้ผมจะไม่เสียใจทีหลังแน่นอน
บันเทิงอี้หว่าง:บทของ ถังชวน พูดได้มั๊ยว่าคุณเจาะจงให้ "หวังข่าย" มารับบทนี้ แล้วบทของ "สือหง" ทำไมจึงเลือก "จางลู่อี" ?
ซูโหย่วเผิง:สำหรับ "หวังข่าย" ผมไม่ได้ตั้งใจหรือเจาะจงให้เขามารับบทนี้ ที่จริงคือแค่ไปหาเขา แต่ตอนนั้นเขากำลังถ่ายภาพยนต์อีกเรื่องทำให้ผมพลาดไปครั้งหนึ่ง แต่เพราะทีมงานมีการติดต่อที่ดีและหวังข่ายเองก็ชอบบทนี้ และผมก็เป็นผู้กำกับทำให้มีเรื่องที่ต้องไปอธิบายเกี่ยวกับการถ่ายทำ ผมต้องใช้ความจริงใจ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และวิธีการต่างๆเพื่อดึงดูดนักแสดงชั้นเยี่ยม
"สือหง" เป็นบทที่มีความพิเศษมาก ถ้าในสมัยที่ผมยังเป็นนักแสดงอยู่ผมค่อนข้างชื่นชอบบทที่ไม่ธรรมดาแบบนี้ ถ้าหากเป็นคนที่รักการแสดงเป็นคนที่ชอบคิดเกี่ยวกับการแสดงแล้วล่ะก็ บทแบบนี้จริงๆแล้วมีน่าความดึงดูดมากๆ ที่จริงแล้วนักแสดงที่จะมารับบทแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆเป็นนักคณิตศาสตร์ที่มีไอคิวสูง และในขณะเดียวกันการคิดเชิงตรรกะของเขาก็ไม่เหมือนคนทั่วไป ผมคิดว่าเขามีดวงตาอัจฉริยะ ผมรู้ว่าอะไรคือดวงตาที่ฉลาด อะไรคือดวงตาที่โง่เขลา ผู้ชมสามารถแยกแยะความแตกต่างออมาได้ แกนสำคัญของหนังเรื่องนี้คือการแสดงถึงผู้ชายอัจฉริยะสองคนดังนั้น ผมหวังว่าผู้ชายสองคนนี้ มองแล้วจะทำให้รู้สึกว่าเขาเฉลียวฉลาด มีความสามารถและเก่งกาจ หลังจากนั้นความรู้สึกของภาพยนตร์เรื่องถึงจะสื่อออกมาได้ เพราะประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาทำให้เขาหมดไฟ เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ผิดหวังผิดและมืดมน มีความแปลก แต่ในขณะเดียวกันก็ดูฉลาด ลักษณะนิสัยที่มีความขัดแย้งพวกนี้ต้องแสดงออกมาภายในคนๆเดียว ตอนที่ผมกำลังเลือกบทนี้ผมรู้สึกปวดหัวมากๆ ภายใต้ความพยายามเหล่านี้ต่อมาหนึ่งในทีมงานก็เสนอว่าให้ อาจารย์จางหลู่อี มารับบทนี้ หลังจากนั้นพวกเราก็มาที่บริษัทเพื่อนัดพูดคุยเกี่ยวกับบทบาทของตัวละครกับอาจารย์จางหลู่อี แต่นี่ไม่ใช่ทีมงานเลือกนักแสดง จริงๆแล้วนักแสดงมืออาชีพก็เลือกทีมงานด้วยเช่นกัน ดังนั้นการพบหน้ากันครั้งนั้นเหมือนเราต่างฝ่ายต่างเลือกซึ่งกันและกัน มันเหมือนกับการนัดบอร์ดที่นั่งสบตากันเพื่อเลือกคู่ ตอนที่ได้เจอจางหลู่อี ผมรู้สึกได้ว่าเขามีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ตรรกะความคิดของเขาก็เร็ว คนๆนี้ที่มีไอคิวสูงเหมาะสมกับบทบาทนี้อย่างไม่ต้องสงสัย รอบตัวเขาแพร่กระจายความรู้สึกซับซ้อนที่ทำให้คนหลงใหล มืดมนก็ได้ เปราะบางก็ได้ แข็งแรงก็ได้ ดวงตาของเขาดึงดูดให้คนจมดิ่งจนออกมาไม่ได้ รู้สึกว่าเขาเก่งมากๆ ซึ่งต่อมาก็เลยตัดสินใจร่วมงานกัน ผมมีความสุขมากที่มีโอกาสร่วมงานกับเขา
บันเทิงอี้หว่าง:ในต้นฉบับบท "สือหง" มีลักษณะรูปร่างกำยำ หน้าทั้งใหญ่ทั้งกลม ก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำเคยมีความคิดเกี่ยวกับการเพิ่มน้ำหนักให้จางลู่อีมั๊ยค่ะ?
ซูโหย่วเผิง:ใช่ครับ เรามีการทำอย่างนั้นเมื่อประมาณเกือบสองปีก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยเริ่มถ่ายทำ สำหรับผมแล้ว การที่จะทำให้รูปร่างเหมือนกันกับตัวละครเป็นเรื่องที่ยากและสำคัญมาก
บันเทิงอี้หว่าง:ตอนที่เลือกบท "เฉินจิ้ง" คุณเลือกได้ทันทีเลยมั๊ยว่าบทนี้เหมาะกับหลินซินหยูที่สุด?
ซูโหย่วเผิง:ใช่ครับ สำหรับ "เฉินจิ้ง" ไม่ได้มีบทมากมายแต่ก็เป็นตัวละครที่มีความสำคัญ แม้ว่าจะมีบทไม่เยอะ แต่ว่าเบื้องหลังความเป็นมาของตัวละครตัวนี้ค่อนข้างซับซ้อน ตั้งแต่เกิดมาเธอได้รับการยอย่องว่าเป็นวัฒนธรรมร้านเหล้าของญี่ปุ่น แน่นอนว่าต้องมีสาวเชียร์เบียร์คลอดในสถานที่แบบนี้ ต่อมาก็อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นแม้ว่าเธอจะเกิดมาจากสถานที่คาวโลกีย์แต่ก็ไม่อยากให้เธอดูเซ็กซี่เกินไป ในภาพยนตร์เรื่องนี้เธอมีบทบาทสำคัญมาก เธอช่วยเหลือ "สือหง" มากมาย ถ้าทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าเหตุผลที่เธอช่วย "สือหง" เพราะอารมณ์ราคะ แบบนั้นมันจะทำให้ผมรู้สึกว่าขัดต่อความตั้งใจเดิม "สือหง" ในหนังสือมีคำพูดสำคัญว่า "ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ครอบครองเธอ" ดังนั้นผมต้องทำให้ความช่วยเหลือของเธอเกิดจากน้ำใจที่ดี เธอต้องสวยต้องมีความอ่อนนอกแข็งในดูเหมือนจะอ่อนแอและต้องการการปกป้อง แต่ในความเป็นจริงภายในของเธอมีความมุทะลุ กล้าหาญทะเยอทะยานที่ไขว่คว้าหัวใจที่มีความสุขแม้ว่าที่ผ่านมาเธอจะไม่ใช่ผู้หญิงที่มีความสุข พูดมาขนาดนี้ทุกคนคงรู้สึกเหมือนกันว่าซินหยูเหมาะสมกับบทบาทนี้ ที่จริงแล้วเธอไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกว่าอยากจะรีบไปชมการแสดงของธอทันที เธอเหมือนมีความเป็นผู้หญิงอย่างชัดเจนแต่ภายในใจของเธอมีความแข็งแกร่ง
บันเทิงอี้หว่าง:ถ้าหากว่าคุณแสดงบทเฉินจิ้ง ในตอนท้ายเรื่อง คุณจะเลือกอะไร?
ซูโหย่วเผิง:ถ้าหากดูจากการประเมินของผม ที่ผ่านมาไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็ตาม ผมคิดเสมอว่าความซื่อสัตย์เป็นทางลัดที่ดีและใกล้ที่สุด เพราะว่าในภาพยนตร์มีบทพูดหรือสิ่งที่ถ่ายทอดมุมมองของผม ทุกเรื่องสามารถพูดโกหกหรือหลีกเลี่ยงได้แต่สุดท้ายไม่ใช่เพราะคนภายนอกลงโทษคุณ แต่เพราะคุณต้องเผชิญหน้ากับความจริงในใจตัวเอง เป็นความรู้สึกผิดที่คุณจะต้องแบกรับมันไปชั่วชีวิต ดังนั้นผมรู้สึกว่าบางครั้ง สำหรับตัวละคร "สือหง" แล้วอาจมีการคำนวณที่ผิดพลาด ผมหมายถึงความเข้าใจของผมต่อนวนิยายเรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้นในหนังสือถ่ายทอดตัวละคร "สือหง" ออกมาแบบนี้ ท้ายที่สุดเขาจะสามารถเติมเต็ม "เฉินจิ้ง" ได้ ถ้าคิดจากมุมมองของผม ผมคิดว่าสิ่งที่
"สือหง" คิดมีความบริสุทธิ์ สำหรับ "เฉินจิ้ง" แล้วถ้าหากรู้ว่าเขายอมทำเรื่องบางอย่างเพื่อเธอ ทำให้ภายในใจของเธอมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อเขามากขึ้น ซึ่งในชั่วชีวิตนี้ถ้าหากเธอไม่กล้ามีผู้ชายคนใหม่ เธอจะไม่มีวันพบความสุข ดังนั้นต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริง แล้วรับผิดชอบต่อเรื่องราวทั้งหมดจึงจะได้พบความสุข จากประสบการณ์ในชีวิตของผลการหลีกเลี่ยงและการโกหกไม่ทำให้พบความสุข
บันเทิงอี้หว่าง:การดัดแปลงบทเป็นภาพยนตร์จีน มีรายละเอียดบางอย่างที่ต้องดัดแปลงให้เหมาะสมกับประเทศจีน ช่วยยกตัวอย่างมาสองอย่างได้มั๊ย?
ซูโหย่วเผิง:นี่คือสิ่งสำคัญที่พวกเราพยายามใส่ใจมาตลอด ทีมงานของเรายังให้ความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับกับการจัดการรายละเอียด ซึ่งมีหนึ่งอย่างที่สำคัญมากที่ไม่ได้รับรองในเนื้อเรื่อง คือฉากที่ "เฉินจิ้ง" เคยไปดูภาพยนตร์ มีต้นขั้วตั๋ว แต่ภาพยนตร์ของเราถ่ายตอนปี 2016 ดังนั้นเราไม่ได้มีการแก้ไขปีเป็นพิเศษ โดยใช้เป็นเดือนมีนาคม ปี 2016 ส่วนภาพยนตร์เรื่องที่ตัวละครในเรื่องไปชมนั้น เราทำอย่างจริงจังในเรื่องนี้ โดยต้นขั้วตั๋วภาพยนตร์คือเรื่อง “เมืองสัตว์ประหลาด” ในทำนองเดียวกันนี้ ในภาพยนตร์ของเรามีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ผู้ชมที่สนใจสามารถรับรู้ได้
บันเทิงอี้หว่าง:คุณใช้ความพยายามกับภาพยนตร์เรื่องนี้มาก นอกจากนี้คุณก็พยายามควบคุมรายละเอียดของตัวตน บอกได้มั๊ยค่ะว่าตอนนี้คุณทำไปถึงขั้นไหนแล้ว?
ซูโหย่วเผิง:ที่จริงแล้วผมค่อนข้างเหนื่อยใจมาก ที่จริงคือผมเหนื่อยกับการควบคุมรายละเอียด ในชีวิตผมรู้ว่าอะไรคือความพอใจและทำยังไงถึงจะได้มา ถ้าทำตามความพอใจ เราก็จะพอใจ เนื่องจากชาวโชเซียลต่างคาดหวังต่อเรื่องนี้เป็นอย่างมากด้วย ดังนั้นผมทำได้เพียงแค่พึ่งตัวเองในการควบคุมรายละเอียด ที่จริงผมคาดหวังว่าจะสามารถพยายามมากพอจนทำเรื่องนี้ออกมาดีได้ และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ชมทุกประเภทได้ ไม่ว่าจะเคยอ่านนวนิยายเรื่องนี้มาก่อนหรือไม่ก็ตาม หวังว่าสามารถทำให้คุณมีความสุขจากการชมภาพยนตร์เรื่องนี้ หวังว่ามันจะมีคุณค่าพอสำหรับการพิจารณา ผมรู้ว่าตอนนี้ทุกคนดูหนังเรื่องนี้ด้วยอคติ ชาวโซเชียลเป็นเหมือนมังกรผยองโลก ในจำนวนนั้นมีคนเก่งอยู่มากมาย เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพวกอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์และอัจฉริยะทางฟิสิกส์ รวมถึงสูตรสมการต่างๆบนกระดานดำ พวกเราเลยระวังมากๆ ผมกลัวว่าผู้ชมและชาวเน็ตจะจินตนาการและคาดการเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วนำมันมาคิดเป็นจริงเป็นจัง นี่มันคือสูตรอะไร? พวกนี้ไม่ใช่สูตรตอนสมัยมัธยมต้นเหรอ? หลอกลวง!แบบนี้ไม่ใช่นักคณิตศาสตร์ไอคิวสูงอะไรหรอก เพื่อสิ่งนี้พวกเราไปพบศาสตราจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์ของ Harbin institute of technology (สถาบันเทคโนโลยีฮาร์บิน) ทำให้มันร่วมสมัยขึ้น เป็นโจทย์ยากระดับสูงที่นักคณิตศาสตร์ยังแก้ไม่ได้ ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่อย่างน้อยมีผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยให้การรับรองเรื่องนี้ ทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย ในนวนิยายนักคณิตศาสตร์อัจฉริยะกำลังพยายามไขโจทย์ปัญหานี้อยู่ รายละเอียดพวกนี้พวกผมระวังมากๆ แล้วยังมีเรื่องวิธีการฆ่าคนที่จริงมันค่อนข้างเป็นเรื่องเฉพาะทาง ในต้นฉบับนวนิยาย ความน่าสนใจของ Ishigami คือ ยูโด ดังนั้นเขาถูกออกแบบให้เป็นคนอ้วนเตี้ยคนหนึ่ง ศพคนตายในเรื่องก็สำคัญ ในบางครั้งที่พวกเราไม่เข้าใจเนื้อหาในนิยาย เช่นปัญหาที่ว่าพวกเราสามารถพาซากศพไปที่ไหนได้? ถ้าหากว่าศึกษาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง ซากศพนั้นสำคัญมากๆ ถ้าหากไม่มีความพยายามเป็นพื้นฐานก็จะไม่เข้าใจนวนิยายของ ฮิงาชิโนะ เคโงะ ทุกเรื่องถือได้ว่าเป็นผลงานคลาสสิก เขามีมุมมองที่เหมาะสมต่อทุกรายละเอียด มีคุณค่าต่อการพิจารณา ทักษะทางด้านศิลปะของทีมงานครอบคลุมหลากหลายด้าน สำหรับวิธีการฆ่าคนทั้ง 100 คน วิธีการทำซากศพยังต้องศึกษาอยู่ มีอยู่วันหนึ่งเขาอดไม่ได้ที่จะวิ่งไปถึงกลุ่มบทละครของพวกเรา พูดคุยกับผมถึงวิธีการที่เหมาะสม การชำแหละศพก็เหมือนกับ “เพ่าติงยอดพ่อครัวเฉือนเนื้อวัว” ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อหัวกะโหลกของคนหลักเลาะเนื้ออก มันเป็นเรื่องยากที่จะทำของปลอมออกมาให้เหมือน แล้วฝังไว้บนภูเขา ผมลืมไปตอนนั้นมีคนพูดกับผมว่ากะโหลกสามารถคงอยู่ได้ 50 ปีหรือ 100 ปี ตราบใดที่เอาสุนัขตำรวจมาก็สามารถดมกลิ่นมันได้ตลอดเวลา ดังนั้นมันไม่ใช่วิธีการที่ปลอดภัย สำหรับอาชญากรรมอัจฉริยะ ซากศพสามารถฝังที่ไหนก็ได้บนภูเขา เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงเหมือนเนื้อเรื่องในนวนิยาย วิธีการจัดการกับศพของ Ishigami คือต้องผ่านการชันสูตรก่อน ในภาพยนตร์ก็มีปรากฏเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในภาพยนตร์เราจะไม่สอนสิ่งที่ไม่ดีให้กับผู้ชมในการจัดการกับศพ
บันเทิงอี้หว่าง:ผลงานเรื่องที่แล้วยอดขายตั๋วก็ไม่เลวเลย แล้วยังได้รับรางวัลและถูกเสนอชื่อเข้าชิงหลายรายการเลย คุณมีความคาดหวังยังไงกับภาพยนตร์เรื่องนี้?
ซูโหย่วเผิง:แน่นอนว่าหวังว่ามันจะดีขึ้นเรื่อยๆสุดท้ายแล้วมันจะดีได้สักแค่ไหนนั้น ที่จริงก็ไม่แน่ใจหรอก ผมรู้สึกว่ายังอยากส่งบางสิ่งบางอย่างให้ผู้ชมอยู่ ตามหลักการแล้วไม่ถือว่าเป็นภาพยนตร์สำหรับทุกเพศทุกวัย เป็นธรรมดาที่รูปแบบภาพยนตร์มันย่อมต้องมีข้อจำกัด ตอนนี้ตลาดของภาพยนตร์แนวนี้กำลังหดตัว อีกทั้งผู้ชมต้องการให้ระดับเงื่อนไขการจัดการของรัฐบาลเพิ่มขึ้น ดังนั้นบ็อกซ์ออฟฟิศจึงกำลังพยายามในเรื่องนี้ เนื้อเรื่องในภาพยนตร์จะไม่มีส่วนที่เป็นรายละเอียดปลีกย่อยมากเหมือนในต้นฉบับ ในขณะเดียวกัน หนังรูปแบบเดียวกันนี่ก็มีเพิ่มขึ้น ผลกระทบจากหนังขนาดใหญ่ และยังมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามามากขึ้นดังนั้นไม่ว่าจะหนังฟอร์มเล็กหรือฟอร์มใหญ่ก็ต้องแข่งขันกันอย่างดุเดือดเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเน้นสร้างหนังที่เป็นที่ต้องการของตลาด เมื่อสองปีก่อนกับปัจจุบันไม่เหมือนกันดังนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะนำไปเปรียบเทียบกันได้ ผมสามารถพูดได้ว่าทุกคนล้วนมีประสบการณ์ ผมหวังว่าจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ดีใกล้เคียงกันได้
บันเทิงอี้หว่าง:หนังเรื่องต่อไปคุณคิดว่าจะเป็นความท้าทายในรูปแบบไหนคะ?
ซูโหย่วเผิง:ต้องดูในที่ประชุมอีกที บางสิ่งบางอย่างที่ทำมันจนเชี่ยวชาญแล้วก็ไม่อยากทำมันอีก ดังนั้นควรจะมองหาสิ่งใหม่หรือไม่ก็สร้างผลงานจากสิ่งที่เรียนไปและเรียนรู้ในระดับต่อไปก็ ซึ่งก็คือเป็นรูปแบบที่สามารถยกระดับความสามารถที่มีในปัจจุบันได้ นั่นเป็นเพราะผมชื่นชอบความท้าทายเพื่อแสวงหาเส้นทางของตัวเอง นำประสบการณ์ในอดีตมาประยุกต์ใช้ เพื่อให้สามารถตอบคำถาม ที่ว่าทำภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาทำไม? ทำเพื่อหลอกเอาเงินเหรอ? ดังนั้นผมยังหวังว่าจากกระบวนการต่างๆตัวเองจะได้เรียนรู้เรื่องราวต่างๆ