ผู้เขียน หัวข้อ: [2019.01.02] ซูโหย่วเผิงแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับเบื้องหลัง Suspect X  (อ่าน 6238 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
[2019.01.02] ซูโหย่วเผิงแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Devotion of Suspect X  มีแต่เนื้อเน้นๆเลย!!!
https://www.weibo.com/ttarticle/p/show?id=2309404324046249553577#_0



ซูโหย่วเผิงแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Devotion of Suspect X  มีแต่เนื้อเน้นๆเลย!!!
เปิดงาน:

สวัสดีครับทุกท่าน ช่วงไม่กี่วันมานี้ที่ปักกิ่งอากาศหนาวมาก ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้เห็นนักเรียนจำนวนมากขนาดนี้ ~ ขอบคุณทุกคนที่ชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ครับ

ตอนที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องจั๋วเอ่อร์เสร็จ ก็ได้รับโปรเจคจากบริษัทก่วงเสี้ยน (Beijing Enlight Media) เกี่ยวกับนวนิยายของคุณฮิงาชิโนะ เคโงะ เรื่อง The Devotion of Suspect X ว่ากำลังหาผู้กำกับหน้าใหม่อยู่ ตอนนั้นผู้กำกับโทรมาหาผม ผมก็พูดกับเขาว่า นี่เป็นโปรเจคที่ดีนะ แต่ว่าดูยากไปหน่อย นี่คือความรู้สึกแรกที่พวกเราได้รับโปรเจคเรื่อง The Devotion of Suspect X :เหมือนกับว่าคุณได้รับโปรเจคที่ดี แต่ว่ามันโด่งดังเกินไป และก็ได้รับการแก้ไขมาแล้วหลายรอบ นี่จึงเป็นโปรเจคที่เรารับมาแล้วรู้สึกหวั่นกลัวมากในตอนนั้น ความรู้สึกนี้ก็เป็นอีกอารมณ์หนึ่งที่ทำให้พวกเราเกิดความรู้สึกท้าทาย จริงๆแล้วก่อนที่จะเริ่มดำเนินการอย่างเป็นทางการ พวกเราก็เดินวนอยู่หลายเส้นทางนะ สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่โปรเจคนี้แหละ โดยเฉพาะตอนที่ต้องเผชิญกับโปรเจคนี้ คุณอาจจะมีความรู้สึกท้าทาย แต่สามารถบอกทุกคนได้เลยว่ามันคุ้มค่ามากจริงๆ เพราะว่านี่เป็นการหาเส้นทางของตัวเอง นี่คือจิตวิญญาณขั้นพื้นฐานของคน ในเรื่องของความสมดุลของงานธุรกิจและงานศิลปะ:การสร้างสรรค์ผลงานต้องมีความบริสุทธิ์และสมาธิ

Q:จุดไหนในภาพยนตร์เรื่อง The Devotion of Suspect X ที่ทำให้คุณประทับใจมากที่สุด

A:จริงๆแล้วตอนแรกที่บริษัทก่วงเสี้ยน (Beijing Enlight Media) อยากให้ผมทำไม่ใช่เรื่อง The Devotion of Suspect X นะ พวกเขาอยากให้ผมทำเรื่อง ดาบมังกรหยก แต่ว่านี่เป็นนวนิยายคุณภาพสูง ไม่สามารถแก้ไขได้โดยใช้เวลาเพียงสองชั่วโมง ดังนั้นผมจึงเริ่มดื้อดึงกับพวกเขา พวกเขาลองโน้มน้าวผมหลายอย่าง แต่ผมก็ไม่ยอม ต่อมาจึงได้มีเรื่อง The Devotion of Suspect X เข้ามา ถ้าคุณได้ดูเรื่องจั๋วเอ่อร์ก็น่าจะทราบเบื้องต้นแล้วว่า ผมไม่ได้มีเจตนาทำหนังให้ออกมาในเชิงพานิชย์ ผมอยากทำให้ความเป็นธุรกิจกับศิลปะมันไปด้วยกันอย่างเท่าๆกัน แต่ (ถ้าจะให้ผมทำตามใจตัวเองทั้งหมด โดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของนักลงทุนเลย ผมเองก็ทำไม่ลงเหมือนกัน)

เรื่องราวครั้งนี้ก็คงเหมือนกับตอนที่ผมทำเพลง บริษัทอาจจะกำหนดจุดยืนให้ผมอย่างแน่นอนแล้ว แต่เพลงที่อยากให้ผมร้องกับตัวตนของผมมันค่อนข้างแตกต่างกัน ผมจำได้ว่าเมื่อก่อนมีคำพูดนึงที่ผมประทับใจมากก็คือ :(ถ้าคุณคิดว่าจะยืนหยัดทำผลงานเพลงในแบบของตัวเอง แต่ว่าคนอื่นฟังไม่เข้าใจ ถ้าคุณคิดว่าไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ร้องให้พวกคุณฟัง งั้นคุณไปร้องคาราโอเกะดีกว่าไหม คุณจะออกแผ่นมาทำไม การที่คุณออกแผ่น ก็ไม่ใช่เพื่อเผชิญกับผู้ชมผู้ฟังหรอกหรือ)

คำพูดนี้สามารถตอบคำถามผมได้ในตอนที่ผมกำลังลังเลอยู่ และวันนี้ก็เหมือนกัน ผม ( วันนี้ต้องถ่ายภาพยนตร์เรื่องนี้ จะได้ออกอากาศแล้ว ก็ต้องให้ผู้ชมดูใช่ไหม ถ้าไม่งั้นผมก็หา DV ไปทำเรื่องสั้นเอง ตัดต่อให้ตัวเองดูก็จบแล้วไม่ใช่เหรอ) นี่คือสิ่งที่ผมเข้าใจในตอนหลัง ดังนั้นผมจึงหวังว่าจะสามารถหาจุดความสมดุลในผลงานได้ เนื่องจากมีผู้เชี่ยวชาญบางคนที่สามารถเอาชนะคำดูถูกและคุณค่าทางธุรกิจได้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน อาจารย์เหล่านี้เป็นเหมือนกับประภาคารของผม ผมหวังว่าวันหนึ่งผมจะสามารถทำมันได้ ที่ผ่านมามีกระแสเสียงมากมาย   เช่น "ผู้กำกับคะ คุณก็พิจารณาหน่อยซิคะว่าใครได้รับเรทติ้งเยอะที่สุด" "คุณจะทำจุดโฆษณาอย่างไร" "เราต้องการสินค้ากี่ชิ้น" ผมว่าไปไกลๆผมเถอะนะ ในช่วงเริ่มต้นออกแบบผลงาน อย่าเพิ่งมารบกวนผมเลย ผมหวังอยู่เสมอว่า การสร้างสรรค์มันต้องเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ แน่นอนว่าในแต่ละฝ่ายล้วนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน นักลงทุนเขาก็มีไอเดียของเขา ทางโปรดิวเซอร์ก็มีการทำนายของพวกเขาเอง ผมก็พอจะเข้าใจในความต้องการของพวกเขา ในช่วงดำเนินขั้นตอนงานเหล่านี้พวกเราก็พยายามอยู่ ในช่วงแรกๆก็มีความกดดันอยู่บ้าง

ตอนที่ออกแบบก็ต้องใช้สมาธิ ความยากของมัน สิ่งแรกก็คือผมคิดว่าเนื้อเรื่องมันยังสั้นไป ถ้าเอาไปทำเป็นเวอร์ชั่นญี่ปุ่นมันก็มีเนื้อหลักแค่อย่างเดียว  ตัวละครบางตัวในเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่ แต่ถ้าเป็นเวอร์ชั่นจีนนี่ไม่ได้นะ ในบทแรกเราก็ออกแบบเรื่องเกี่ยวกับอาชญากรรมแบบ IQ สูง อย่างที่สองก็คือ ในต้นฉบับผู้เขียนมีการนำเรื่องราวต่างๆในยุคนั้นของญี่ปุ่นเขียนเข้าไปด้วย แล้วถ้าเป็นที่จีน เราจะนำเรื่องพวกนี้เข้าไปไว้ในยุคไหนล่ะ ยังคงเป็นเรื่องเราที่พวกเรายังคิดกันอยู่ สุดท้ายก็ตัดสินใจเอายุคปัจจุบัน และอีกอย่างในนวนิยายฉบับดั้งเดิม ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในญี่ปุ่นนั้นแตกต่างจากในประเทศจีน หากคัดลอกเลยทุกคนก็จะไม่เชื่อ แต่ความเชื่อมันคือสิ่งที่สำคัญมาก ซึ่งก็คือความจริง และให้ผู้ชมเชื่อว่าเรื่องราวนี้เกิดขึ้นใกล้ตัวเราจริงๆ หลายครั้งในกระบวนการสร้าง แต่ละฝ่ายก็หวังว่าจะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดออกมาให้คุณได้ชม แต่สำหรับผู้กำกับนั้น ต้องมีความสมดุล เมื่อมีหลายฝ่าย มีความหลากหลายมันจะกลายเป็นเรื่องวุ่นวาย ไม่ควรทำอะไรไปเรื่อยต่อหน้าผู้ชม อย่าให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด อย่างเช่นศิลปะ ก็อย่าปล่อยให้มันเป็นศิลปะจ๋าจนเกินไป เพราะเรื่องนี้เน้นเรื่องอารมณ์ความรู้สึกค่อนข้างเยอะ [ผมหวังว่าทุกคนจะได้เห็นอารมณ์ของทุกตัวละคร ได้เห็นความพยายามดิ้นรนและทางเลือกในยามจำเป็นและอารมณ์ของพวกเขา ]

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด


ในด้านการจัดการภายในทีมงาน :ผู้กำกับคือหัวใจหลักของทีมงานภาพยนตร์

Q:ในฐานะที่คุณเป็นผู้กำกับจากไต้หวัน ถ้าได้ถ่ายภาพยนตร์ที่จีน ซึ่งในทีมงานมีทั้งคนงานที่เป็นชาวไต้หวันและชาวจีน คุณมีวิธีจัดการกับอุปสรรคอย่างไร

A:อยู่สถานที่ถ่ายทำละครล้วนมีเหตุการณ์ และปัญหาที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมาย  ผมพูดอยู่เสมอว่าถ้าวันหนึ่งผมต้องทำการตัดสินใจเป็นร้อยเรื่อง ต้องตอบเป็นร้อยคำถาม มีถูกบ้าง ผิดบ้าง สุดท้ายแล้วหนังของคุณก็จะเป็นแบบนี้ ทุกวันขึ้นๆลงๆ นั่นคือสิ่งที่คุณจะเจออยู่ตลอด ก่อนจะเปิดกล้องผมได้คาดการณ์ไว้หมดแล้ว เคยคาดการณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดของทุกฝ่ายไว้แล้ว นิสัยของผมก็คือ ผมพอจะรู้คำตอบอยู่บ้างแล้ว ถ้าคำตอบของผมคือ 80 ผมก็จะพยายามเชียร์ให้พวกคุณส่งงานผม ถ้าเกิน 80 คะแนน ผมปรบมือให้แน่นอน รู้สึกว่า “เก่งมากเลย” แต่ถ้ามีจุดไหนที่ผมสามารถเพิ่มเติมเข้าไปได้ผมก็จะบอก (แน่นอนว่าหลายๆครั้งผู้กำกับก็เป็นใจหลักของทีมงาน จะสื่อสารกับทุกคนให้เร็วที่สุดโดยไม่ให้กระทบต่อจิตใจได้อย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะชักจูงอย่างไร ยังถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่แค่เปรียบเทียบความสามารถกับงานศิลปะเท่านั้น)

ในด้านการออกแบบบทละคร:ส่วนที่ผมห่วงก็คือการเผชิญหน้ากับผู้คน  ความลำบากใจของคนและความเป็นอยู่

Q:ตอนที่ทำภาพยนตร์เรื่องนี้ มีวิธีแก้ไขเนื้อเรื่องในฉบับดั้งเดิมยอย่างไร ในตลาดภาพยนตร์แนวลึกลับของประเทศจีนควรจะพัฒนาไปในทิศทางไหนที่จะทำให้ผู้ชมสามารถยอมรับได้

A:ทำไมต้องปรับใหม่ ก็เพราะว่ามีเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและเกาหลีอยู่แล้ว ถ้าต้องหามุมมองใหม่ในรอยเก่านี้ก็ถือว่าไม่ง่ายเลยทีเดียว  ดังนั้นในเบื้องหลังพวกเรายังคงเลือกการประลองของทั้งคู่ ขิงก็ราข่าก็แรง ต้องสร้างอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาก่อน แล้วภายหลังพวกเขาต้องมาเผชิญกับโจทย์ยาก พวกเขาถูกบังคับให้เป็นคู่ต่อสู้กัน ที่จริงแล้วผมจะค่อนข้างใส่ใจความรู้สึกภายในของตัวละครในผลงานของผมนะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่อยู่ภายนอกจะไม่สำคัญ แต่เป็นเพราะผมค่อนข้างใส่ใจสิ่งที่อยู่ภายในมากกว่า รวมถึงภาพยนตร์เรื่องจั๋วเอ่อร์ จนถึงเรื่อง The Devotion of Suspect X ก็ใช่หมดเลย เรื่อง The Devotion of Suspect X บุคคลเหล่านี้ ในสายตาของผม ตอนอยู่ในเรื่องดูเหมือนว่าไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น พวกเขาได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุด และสุดท้ายโชคชะตาก็ได้นำพาให้พวกเขาได้มาเจอกัน พวกเขาถูกบังคับให้เผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนา ตอนแรกที่เห็นบทละคร ผมได้เสนอแนวทางในการแก้ไขบท แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นรูปเป็นร่าง เพราะความเสี่ยงค่อนข้างสูง อยากจะให้พวกเขาเล่าเรื่องออกมาในหลายๆมุมมอง เพราะว่าทุกคนต่างก็มีจุดที่ตัวเองลำบากใจ ผมอยากจะไปอธิบายแทนหลายๆบทบาทมาก สิ่งที่อยากบอกกับทุกคนก็คือ (ส่วนที่ผมห่วงก็คือการเผชิญหน้ากับผู้คน  ความลำบากใจของคนและสถานการณ์ของคน)

Q:คุณมีวิธีการคัดกรองรายละเอียดของนวนิยายอย่างไร เนื้อหาใดบ้างที่นำมาใช้ในภาพยนตร์

A:เพราะว่าตอนแรกพวกเราตั้งใจไว้ให้เป็นแบบ “ขิงก็ราขาก็แรง” อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องความรักและความเคียดแค้นก็จะเก็บไว้ทั้งหมด ในเนื้อหาจะเน้นเรื่องความรู้สึกหรือความทรงจำอันลึกซึ้งเป็นหลัก จะเก็บรสชาติเดิมเอาไว้ เพราะผมก็กลัวว่าจะโดนด่าเหมือนกัน

Q:”ขิงก็ราขาก็แรง” ในจุดนี้ คุณได้ไอเดียมาจากอะไร จุดนี้ในนวนิยายไม่ได้บรรยายไว้เยอะนะ

A:ผมคิดว่าถ้านำหัวข้อนี้มาทำให้เป็นเรื่องราวของความรักทั้งหมด มันจะน่าเสียดายเกินไป เพราะแน่นอนว่า อันดับแรกมันต้องโดนตัดแน่ และผมคิดว่าเวอร์ชั่นญี่ปุ่นคล้ายกับเรื่องในนวนิยายที่สุด มันคือฉบับแรก ก็เหมือนที่พูดไว้เมื่อกี้  ถ้าจะเอาตัวรอดจากรอยร้าว พวกเราทุกคนมาประชุมกัน รวมถึงพี่หมิง และทีมงานละครของพวกเราด้วย พยายามช่วยกันมองหามุมมองใหม่ๆ จะแก้เยอะไม่ได้ แต่ต้องมองหามุมที่แปลกใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยทีเดียว

Q:สำหรับบทบาทสือหงกับถางชวน ที่รับบทโดยวังข่ายและจางหลู่ มีความยากอยู่ตรงไหนบ้าง

A:พูดตามตรงเลยว่าต้นฉบับดั้งเดิมเป็นเรื่องราวของสือหงล้วนๆ ส่วนถางชวนเป็นผู้ชายหมายเลขหนึ่ง ผมหวังว่าสองคนนี้จะต้องเป็นแบบขิงก็ราข่าก็แรง ดังนั้นจึงพยายามเพิ่มส่วนของถางชวนเข้าไป แต่เรื่องราวยังคงโฟกัสอยู่ที่สือหง ฉากแรกเป็นการใช้ความปรารถนาดีของอีกฝ่าย เนื่องจากเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นกับเขา (ถางชวน) ดังนั้นเขาต้องเป็นคนที่ฉลาด ทำให้ผู้คนหลงใหล หยิ่งยโส ต้องมีเสน่ห์ของความเก่ง ต่อมาเมื่อเกิดเรื่องราวขึ้น ความกดดันก็อยู่กับตัวเขา เกิดความสับสนในความรู้สึก จะจัดการเรื่องราวอย่างไร ฉากแรกจึงจำเป็นต้องอาศัยเสน่ห์ภายในตัวเพื่อแสดงบทบาทนี้ออกมา สิ่งที่ยากที่สุดของสือหงก็คือบุคลิกของตัวละครนี้ สิ่งแรกคือคุณต้องเป็นคนที่มีความสามารถฉลาดหลักแหลม ผมคิดว่าเขาจะต้องแตกต่างไปจากคนทั่วไป จริงๆแล้วหลู่อี้เป็นคนที่เก่งมากๆ ความสามารถในการแสดงของเขานั้นเข้มข้นมาก ภาษากายทั้งหมดทุกเซลล์ของเขา ล้วนแต่กำลังสร้างขึ้น บทบาทนี้ถือว่าท้าทายมาก รูปแบบในการพูดคุยของเขา สายตา จะทำให้คุณมองเห็น

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด


ตรรกะความคิดของเขา ว่าคนๆนี้เป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดา

Q:ตอนที่สร้างความสัมพันธ์ของตัวละคร ภาพลักษณ์ของตัวละครมีความสำคัญมาก งั้นสิ่งที่ต้องพิจารณาตอนสร้างตัวละครหลักสามตัวนี้คืออะไร เนื่องจากถางชวนเป็นศาสตราจารย์ชั้นยอด ส่วนสือหงเป็นนักคณิตศาสตร์ผู้น่าสงสาร เฉินจิ้งดูเหมือนจะเป็นคนที่จมปลักอยู่กับชีวิต คุณได้ปรับเนื้อหาเดิมของนิยายในด้านไหนบ้าง

A: ผมคิดว่าแววตาเป็นสิ่งสำคัญ คนฉลาดมักจะมีแววตาของคนฉลาดอยู่ บางเวอร์ชั่น ผมคิดว่ามีบางคนที่ไม่เหมือนคนที่เก่งกาจมีความสามารถเลย ดังนั้นในแววตาของคุณดูฉลาดหรือไม่นั้น สำหรับผมถือเป็นสิ่งสำคัญมาก แววตาตัวละครในภาพยนตร์นะ เมื่อคุณต้องแสดงเป็นคู่กัด ทั้งสองจะต้องมีฝีมือพอๆกัน มันถึงจะสู้กันได้ ถ้ามีฝ่ายหนึ่งที่แสดงออกชัดเจนมากว่าโง่ มันไม่ได้ คุณเข้าใจไหม ดังนั้นในช่วงแรกผมนี่พยายามมาก ไม่ว่าจะนักแสดงคนใดก็ตาม แม้ว่าคุณจะไม่มีการแสดงออกทางอารมณ์ ถ้าผมรู้สึกว่าสมองของคุณกำลังวิ่งไปวิ่งมาอย่างรวดเร็ว คุณนั่นแหละคืออัจฉริยะ และนั่นคือสิ่งที่ผมต้องการจากสองคนนั้น

Q: นางเอกในนวนิยายออกแนวขี้ลังเลไม่มีความมั่นใจ แต่นางเอกในภาพยนตร์ให้ความรู้สึกแบบต้อง “ล้างบาปชดเชยความผิด” การปรับบทแนวนี้คุณมีแนวคิดอย่างไร

A: เนื่องจากเราได้ย้ายใจความสำคัญมาไว้กับสองพระเอกคู่กัดนี้ ดังนั้นจึงยัดเรื่องราวของนางเอกเข้าไปมากไม่ได้ เพราะผมจำได้ว่าก่อนที่เธอจะยอมจำนน มีบทหนึ่งที่เหมือนว่านางเอกพูดอะไรสักอย่างกับแม่ เพิ่มความรู้สึกผิดเข้าไป ต่อมาพวกเราก็เลยตัดบทนี้ทิ้ง ก็เพราะว่าเนื้อหาหลักพวกเราได้ใส่ไว้ในพระเอกสองคนนี้แล้ว จึงอาจจะไม่สามารถเพิ่มเติมเรื่องราวความรู้สึกเกี่ยวกับตัวเธอเข้าไปได้มากนัก

Q:ความรู้สึกที่สือหงมีต่อเฉินจิ้งค่อนข้างซับซ้อน ความรู้สึกที่สือหงมีต่อเฉินจิ้งที่คุณอยากสื่อให้ผู้ชมได้รู้คืออะไร

A: เมื่อเขาหมดสิ้นความหวังต่อทุกอย่างแล้ง เมื่อเขาต้องทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  สำหรับเขาแล้วถือว่าเป็นแสงสว่างของชีวิตใช่มั้ย แท้จริงแล้วชีวิตสามารถเฉิดฉายสว่างไสว งดงามแบบนี้ได้ วินาทีตอนที่เปิดประตู ต้องพยายามทำให้แสงดวงอาทิตย์ทอเป็นประกาย และเมื่อประตูถูกเปิด ก็จะทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยน และกลายเป็นผู้ช่วยชีวิตของเขา

Q:สวัสดีแขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่าน สำหรับหัวข้อ “แนวพื้นบ้าน” นี้ ผมอยากจะสอบถามให้ลึกอีกครั้ง เมื่อสักครูนี้ก็ได้พูดถึงทั้งสองท่านไปแล้ว เพื่อให้ผู้ชมชาวจีนเชื่อว่าเรื่องราวนี้กำลังเกิดขึ้นและถ่ายทำในประเทศจีน ดังนั้นฉากและรายละเอียดภาพยนตร์เรื่องนี้จึงมีการทำให้เป็นแนวพื้นบ้านมากขึ้น เช่น ใต้สะพานมีการเต้นระบำของคนแก่ และยังมีจักรยานที่เปลี่ยนมาเป็นรถจักรยานสาธารณะ อยากถามว่า คุณมีวิธีการออกแบบรายละเอียดเหล่านี้อย่างไร

A:บางสิ่งที่เราคิดว่าทุกคนน่าจะมองข้ามไม่สนใจ จริงๆแล้วเราอาจจะต้องทำมันให้มากขึ้น รวมถึงหลังจากความจริงถูกเปิดเผย เฉินจิ้งก็ย้ายไปอยู่ที่ใหม่  ทักทายเพื่อนบ้าน คนญี่ปุ่นก็อาจจะกล่าวคำทักทายเหมือนในหนังญี่ปุ่น “ไฮ่” ซึ่งดูเหมือนว่าคนจีนจะไม่มีวัฒนธรรมแบบนี้ ดังนั้นจึงไม่ง่ายเลยที่จะหาโรงเรียนเพื่อสั่งการบ้านเพื่อทำให้เรื่องนี้ผ่านไปแบบสบายๆ  ดังนั้นสิ่งที่ผู้ชมในประเทศอาจจะมองข้าม พวกเราก็จะไปศึกษา พยายามเต็มที่แล้วแต่อาจจะออกมาไม่สมบูรณ์แบบทั้งหมด แต่ก็ทำด้วยใจ สมมุติในประเทศ ผมเป็นตำรวจ ผมมีเพื่อคนหนึ่งเก่งมาก ผมสามารถเปิดเผยคดีไปเรื่อยได้หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องให้เขาไปอยู่ในสถานีตำรวจในฐานะศาสตราจารย์ ให้เตะฟุตบอลและสัมผัสกับความจริงของคดี ไม่เช่นนั้นในประเทศจีนคดีนี้จะดูไม่สมเหตุสมผล และมันจะเป็นแค่ละครไอดอลทั่วไป

Q:เราสังเกตว่าภาพยนตร์โดยรวมของคุณคือมักจะใช้สีสันแบบแสงและความมืด ซึ่งความมืดแตกต่างจากนวนิยายและเวอร์ชั่นญี่ปุ่น คุณกำหนดสไตล์ของภาพยนตร์นี้ได้อย่างไร

A:คุณคิดว่าสีของเวอร์ชั่นญี่ปุ่นมืดกว่าของพวกเรา คุณแน่ใจเหรอ (สีสัน) ใช่เหรอ

Q:ในส่วนของสีสันโดยรวมของภาพยนตร์ เนื่องจากเวอร์ชั่นญี่ปุ่นจะออกสีเทาและดำตั้งแต่ต้นจนจบ รวมถึงภูเขาหิมะด้วย ทำการทดลองในเวลากลางคืน ในห้องก็ค่อนข้างอึดอัด แต่เรื่องนี้ที่เราถ่ายทำในประเทศก็อาจจะมีนิดหน่อย รวมทั้งในป่าก็เป็นสีเขียวและโทนสีอบอุ่น มีสองคนกำลังก่อไฟในกระท่อม จะให้ความรู้สึกอบอุ่นกว่าของเวอร์ชั่นญี่ปุ่น ดังนั้นจึงอยากจะถามว่า การควบคุมสไตล์ภาพโดยรวมเกิดจากไอเดียอะไร

A: ผมขอเสริมนิดนึงนะครับ  จริงๆแล้วสุดท้ายโทนสีก็เป็นสีเข้ม ผมคิดว่าหลายสิ่งหลายอย่างในภาพยนตร์รวมถึงการแสดง จริงๆแล้วมันคือความสามารถอย่างหนึ่ง ถ้าพูดถึงส่วนใหญ่ ภาพยนตร์ของเรายังคงเป็นโทนสีน้ำเงิน – เขียว เมื่อสักครู่ได้ยินคุณพูดว่า ป่าที่พวกเขาไปเป็นป่าไม้ที่มีแสงแดดงดงาม ใจผมแทบละลายแน่ะ เดิมทีผมอยากจะเน้นการใช้ภาพวิวในการเล่าเรื่อง สือหงผู้ที่มีความเงียบขรึมและอยู่ตัวคนเดียวมาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็จำเป็นต้องพูดคุยกับเขา จริงแล้วภาพป่านั้นสามารถแทนความรู้สึกในใจของสือหงได้ดีเลยแหละ เขาได้พาเขาเข้าไปในส่วนลึกของหัวใจของตัวเอง และพูดคุยสนทนากันอย่างชาญฉลาด ดังนั้นจึงมีข้อเรียกร้องสูงมากสำหรับฉากนั้น  สือหงเป็นคนแบบไหน เนื่องจากเป็นคนฉลาด ดังนั้นก็จะดูหยิ่งทะนงมาก ข้างนอกค่อนข้างถ่อมตัว แต่ด้านในช่างเยือกเย็น และมีคุณธรรมสูงมาก ถนนบนภูเขาเส้นนั้น หมอกหนา ซึ่งผมคิดว่าภายในใจของสือหงเป็นสถานที่ที่ลึกที่สุด ดังนั้นคุณต้องยื่นมือออกไปจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ในความสับสนก็มีเพียงเขาที่รู้อย่างชัดเจนที่สุด แม้แต่สิ่งนี้พวกเรายังคงถกเถียงกัน หมอกที่เห็นบนยอดเขาคือสิ่งที่เราเป็นคนทำเอง พวกเราได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านการจุดควันมาจากไต้หวันโดยเฉพาะ เขาสามารถปล่อยควันได้อย่างเป็นธรรมชาติ แล้วหลังจากนั้นก็รอให้มันค่อยๆลอยขึ้นไป ให้มันดูเหมือนว่าเป็นไอหมอกจากยอดเขาตามธรรมชาติพวกเราใช้เวลารอ ในที่สุดก็ทำให้พวกคุณได้เห็นว่ามันเป็นเหมือนแสงแดดอันสดใส แต่ว่าความตั้งใจในตอนแรกของผมไม่ใช่แบบนี้ มันน่าจะเป็นเพราะความเยือกเย็นที่มีอยู่ภายในใจลึกๆของสือหงมากกว่า ครึ่งแรกของการแสดงนั้นถือว่าสือหงเสี่ยงมากๆ ช่วงแรกถางชวนยอมลงจากม้าให้สือหง และพาคุณไปที่ห้องปฏิบัติการของผม  สือหงรู้สึกอายมาก พอไปถึงยอดเขา ผมได้ปีนเขาอยู่บ่อยๆ คุณมาถึงสถานที่ทำงานของผม ผมทำให้คุณรู้สึกอับอาย สถานที่แห่งนั้นบ่งบอกถึงภายในใจของสือหง ผมจะให้คุณได้เดินเข้าไปในโลกภายในใจของผม สำหรับถางชวนแล้วนั้น เผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้ (เปลี่ยนแปลงแล้ว) ฉบับดั้งเดิมดูยิ่งใหญ่มาก ซึ่งทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าเขากำลังเผชิญอยู่กับอันตราย ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ต่อมา ตอนที่จุดไฟเผา ความอันตรายที่อยู่ตรงหน้าก็หายไป เพื่อนรักทั้งสองคนกำลังจะเริ่มสนทนากันอย่างฉลาด ดังนั้นสถานที่ตรงนั้นจึงเริ่มดูอบอุ่นมากขึ้น พวกเขาทั้งสองคนจะคุยอะไรกันบ้างเมื่ออยู่ที่นั่น คนที่ฉลาดจะไม่พูดกระจายออกไปทุกคำ ทุกประโยคคือการแข่งขัน ถึงแม้ว่าตอนจบไม่จำเป็นจะต้องเฟอร์เฟคมากมาย แต่อย่างไรก็ตามพวกเราก็พยายามตั้งใจคิดว่าจะให้สองคนนั้นใช้คำพูดแบบไหนมาแข่งขันกัน

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด

Q:ในช่วงของการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องจั๋วเอ่อร์ คุณมีวิธีการอย่างไรในการพูดคุยกับอาจารย์ ยร่าว เส่วม่าน (Rao Xueman) ผู้ที่มีคำพูดหนักและรักนวนิยายของตัวเองเป็นอย่างมาก แต่มีประสบการณ์ด้านภาพยนตร์ไม่มาก เนื่องจากเขาเดาว่าอาจารย์ยร่าวต้องการคงหลายสิ่งเอาไว้ แต่ความยาวของภาพยนตร์มีจำกัด หวังว่าผู้กำกับจะแบ่งปันประสบการณ์ให้ได้ฟังสักนิด

A:เนื่องจากเธอเป็นผู้เขียนฉบับดั้งเดิม เธอจึงมีความรู้สึกต่อผลงาน จึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตอบสนองความต้องการของเธอ ในส่วนของการผันตัวจากนักแสดงไปสู่ผู้กำกับ: สำหรับผมแล้ว การเป็นนักแสดงถือว่าเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง ปรารถนาอยากให้ตัวเองเป็นผู้กำกับที่ดีขึ้น

Q:คุณผันตัวจากนักแสดงมาเป็นผู้กำกับ ประสบการณ์จากการที่เคยเป็นนักแสดงมีผลดีต่อการเป็นผู้กำกับของคุณอย่างไรบ้าง การที่คุณได้มายืนอยู่ในจุดของผู้กำกับ มีวิธีการติวนักแสดงในการแสดงอย่างไรบ้าง

A:[สำหรับผมแล้ว การเป็นนักแสดงถือว่าเป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่ง อยากให้ตัวเองเป็นผู้กำกับที่ดีขึ้น] เรื่องแรกเป็นคนที่มาใหม่ทั้งหมด เรื่องที่สองเริ่มรู้จักนักแสดงที่เก่งๆและมีประสบการณ์เหมือนกัน ผมต้องลองไปพูดคุยกับพวกเขาดู เทคนิคในการพูดคุยผมยังคงต้องศึกษาเพิ่ม เพราะว่าพบความแตกต่างมากมาย โดยหลักการแล้วในแต่ละฝ่าย ผมจะดูความเข้าใจของคุณ ทุกคนจะต้องส่งการบ้านที่หน้างาน คุณต้องแสดงให้ผมดู โดยใช้ความสามารถของผมเป็นมาตรฐานซึ่งก็คือ 80 คะแนน ถ้าแสดงได้ดีกว่าผม ผมก็จะชมเลยว่า “สุดยอด ทำให้ผมเซอร์ไพรส์มาก” ถ้าความคิดไม่ตรงกันล่ะ ผมก็จะเข้าไปคุย ซึ่งบางครั้งก็เจอกับสถานการณ์ที่คุยไม่ได้ งั้นก็ต้องหักหน้าแล้วแหละ อย่าสิ้นความคิด การแสดงของคุณไม่สามารถโน้มน้าวให้ผมใจอ่อนได้ ผมพูดไปคุณก็ไม่เข้าใจ งั้นก็ไปลงมือทำเลย ทุกคนก็พยายามแล้ว

Q:คุณมีวิธีจัดการกับบทบาทของการเป็นนักแสดงและผู้กำกับอย่างไร

A:การเป็นผู้กำกับเหนื่อยมาก ถ้าไม่มีอะไรทำก็ไม่ต้องมาเป็นผู้กำกับนะ เงินเดือนก็ไม่ได้เยอะ (หัวเราะตลก) ทั้งสองงานนี้มีความแตกต่างกันมาก สิ่งที่ผู้กำกับต้องใส่ใจมีเยอะมาก ยุ่งยากกว่าการเป็นนักแสดงเยอะ ในความคิดของพวกคุณ ผู้กำกับกับนักแสดงมีความแตกต่างกันอย่างไร มันก็เป็นแบบที่พวกคุณคิดนั่นแหละ

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด

https://www.facebook.com/AlecfanclubinThailand/posts/2083496501688832?__xts__[0]=68.ARDJ2U65BtuNIPNTJUMo5px4seGUXS9iLK-L0KrmOV-GPIFt9nk0gDeHx1PKoOOT6jp06ztpmP7afVVHPQl35f6dWo7ry-7Y0oEElDcV-t174JNIQ6VcdjlPFwL0K3ein7f54vcx7QToD5DabTKn_VWRU9UuCvcX8WBye0zDz5TYMW-vis1nd02Mz_55I96YiKopWCBw2JxMlxZcPMo_53UOl0vw_Og4hixPaHcctpXxzkQztnKPO0S_N8xzi-fe8hMWriNM2ozPqXLylGzqLgeG5WRL7zrpX4MNKpPQ0RcaLetbhv8zmCgRre0VfPBt-FoTj3hETFJ6dlU9odOc6gCTQfrsBhlehicrXbQkgcI7QrrOGm_-zrCMpRVScOgqMcIgNj1LwVWi_sW1Wfl9vOU5LD2Jd53-sCRQd0gEuaynHczkEana-lmvlIvKZwWUjJcPcS03IBxZNoD8YMQT&__tn__=-R