ผู้เขียน หัวข้อ: 2008 Trading Up magazine  (อ่าน 8423 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
2008 Trading Up magazine
« เมื่อ: กันยายน 25, 2010, 06:48:55 PM »
2008 Trading Up magazine



บางครั้งอาจเป็นเพราะว่าช่วงนี้ดูหนังโบราณสมัยของเขาเยอะไปหน่อย ในสมองนั้นมักจะจำได้แต่ภาพใบหน้าเด็กของเขา สิ่งที่ได้ยินก่อนเลยคือเสียงเพลงที่แว่วมา  ซูโหย่วเผิงได้เดินเข้ามาในห้องแต่งหน้าด้วยมือล้วงกระเป๋ากางเกง “ วันนี้ใครจะมาสนทนากับผม?” เปรี่ยมด้วยชีวิตชีวาในการจะคุย ผมได้ถอนหายใจ พริบตาเดียวก็ได้สะท้อนถึงเมื่อยี่สิบปีก่อน ทั้งสมองนั้นกำลังคิดถึง วัยหนุ่มวัยแน่นของผมเอ๋ย...(หัวเราะ)

ดาราที่มีใบหน้าเด็กนั้นสามารถที่จะปกปิดอายุได้ ซูโหย่วเผิงนั้นเป็นนอกเหนือกรณี ถึงอย่างไรก็ยังเป็นใบหน้าที่เราคุ้นเคยมาแต่สมัยประถม แม้ว่าจะดูไปแล้วอาจจะหนุ่มกว่าดาราหนุ่มหลายคน นับดูแล้ว ถึงเดือนนี้ เขาได้เข้าสู่วงการยี่สิบปีแล้ว ในโรงเรียนนักเรียนชายหล่อๆที่ได้เรียนแบบเขาอย่างบ้าคลั่งในสมัยนั้นนั้น ล้วนเสียศูยน์ไม่มีความสง่าเหลืออยู่แล้ว ซูโหย่วเผิงแต่กลับยังเหมือนเดิม ร้องเพลง แสดงละคร แป๊บเดียวยี่สิบปี ยังมี---  ที่ยังไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาที่ดี เพียงแต่ ลักษณะท่าทางขณะที่เขาพูดนั้น สามารถเป็นถึงมืออาชีพในการทำงานที่รวดเร็วน่าเชื่อถือ ซึ่งหาในวัยหนุ่มนั้นแทบจะไม่มีเลย


ผู้สูงศักดิ์ (อาจหมายถึงผู้อุปภัมภ์ในชีวิต)

ขณะที่เขากำลังคิดนั้น มักจะใช้มือขยี้ผม ผู้แต่งทรงผมจำต้องแต่งทรงผมให้เข้าที่ให้เข้าทางครั้งแล้วครั้งเล่า  “ที่จริงผมมักจะชอบคิดเรื่องต่างๆ ตอนเป็นนักศึกษานั้นมักจะรวมกลุ่มปรึกษาประชุมกับเพื่อนๆ  ในตอนนั้นรู้สึกว่า ชีวิตคนนั้นไม่ใช่ว่าจะเดินไปด้วยรูปแบบเดียวเท่านั้น เส้นทางของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน อยู่ที่ว่ามีความสุขหรือเปล่านั่นแหละเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”  ซูโหย่วเผิงที่เข้าสู่มหาลัยนั้น เคยผ่านวันเวลาที่ลำบากมากในช่วงมัธยมปลายช่วงหนึ่ง ยังเด็กอายุยังน้อย แต่กลับถูกชาวจีนทั้งโลกเพ่งสายตาจับจ้องอยู่ที่เขา เป็นเสี่ยวหุ่ตุ้ยที่มีการเรียนที่ดีที่สุดคนหนึ่ง ทุกคนก็จับจ้องมองไปที่เขาว่าซูโหย่วเผิงนั้นจะสอบเข้ามหาลัยไหน

“สิ่งที่โชคดีก็คือ ทุกช่วงชีวิตของผมนั้นล้วนมีผู้สูงศักดิ์ปรากฏ”  มีอาจารย์ให้คำปรึกษาท่านหนึ่งได้ให้คำชี้แนะแก่ซูโหย่วเผิงที่ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ดีเป็นประจำ “ท่านจะไม่บอกกับผมว่าทำอย่างไรจึงถึงถูก ไม่ว่าจะเป็นการอกหัก หรือว่าทุกเรื่องที่คิดไม่ตก ท่านเพียงแต่รับฟังและเป็นเพื่อน ค่อยๆช่วยผมให้อารมณ์ที่มั่นคงไม่สับสน หลังจากนั้นค่อยช่วยผมหาช่องทางออกที่ถูกต้อง”

ผู้สูงศักดิ์นั้นไม่เพียงแต่ปรากฏครั้งนี้เท่านั้น และยังรวมถึงเป็นผู้มีชื่อเสียงในช่วงหลังด้วย สำหรับซูโหย่วเผิงนั้น เวลาสิบปีเหมือนกับช่วงวิถีการพัฒนาของเหตุการณ์ที่สำคัญ ในปีที่สิบของการเข้าสู่วงการ เขาได้มีโอกาสได้เล่น (องค์หญิงกำมะลอ)

ในตอนนั้น ความสง่างามของเสี่ยวหู่ตุ้ยที่มีอยู่ในตัวเขานั้นได้จางเลือนไปหมดแล้ว เขาได้ยอมรับว่าตัวเองนั้นเป็นนักร้องขวัญใจที่ดังก็ไม่ใช่ไม่ดังก็ไม่เชิงอะไรอย่างนั้น ตัวเองตกอยู่ในสภาพที่ตกต่ำมาก แล้วยังต้องเครียดกับสภาพการเงินที่ไม่คล่องอีก “ไม่เคยคิดเลยว่าอนาคตจะดังอีกหรือไม่ การที่เข้าสู่การเป็นนักแสดงนั้นล้วนเหตุเพราะการเงินขัดคล่อง” การตัดสินใจ(เป็นนักแสดง)เพื่อจะมีชีวิตที่จะอยู่รอดได้นั้นกลับเปลี่ยนชีวิตของเขาอีกครั้งหนึ่ง 



“ตอนแรกที่แสดงนั้นก็เรียกว่าเป็นหนังแสดงหน้าใหม่ ก็เหมือนกับ "จ้าวเวย" ที่มักจะถูกพี่ๆที่แต่งหน้ารังแก”  พวกเราไม่เคยเห็นหรือมีประสบการณ์ที่คนคนหนึ่งดังแล้วกลับมาดังใหม่อีกครั้งหนึ่ง แน่นอนนั่นไม่ใช่เป็นสิ่งที่ง่ายๆของช่วงชีวิต สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับข้างต้นที่พูดไปคือเริ่มต้นใหม่ จิตใจถ่อมลง  “ตอนนั้นจริงๆ แล้วแสดงละครไม่เป็นเลย  จะไปเปรียบเทียบกับคนที่มีพรสวรรค์ในการแสดงอย่างงั้นได้ไง? มีแต่ถ่อมใจลงแล้วไปเรียนรู้ หากเริ่มต้นใหม่ตลอดแล้ว ก็จะไม่มีทางที่จะพัฒนาได้"

หรือว่าลักษณะบุคลิกแท้ของเขานั้นเป็นนักเรียนที่ดีคนหนึ่ง ผู้คนค่อยๆทิ้งภาพ “ไกวๆหู่”  เริ่มเห็นถึงชายที่โตเป็นผู้ใหญ่คนนี้ จากละครเพลงไหหลำ สู่ จิงเซียวจี้จื้อ จากคนที่เป็นแบบอย่างไม่มีที่ตำหนิสู่นักแสดง 3 มิติ วันนี้ กลิ่นไอของความเป็นนักร้องนั้นแทบจะถูกลบออกจากสมองของทุกคนแล้ว เขาในตอนนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงชายยอดเยี่ยมของชาวจีนไปแล้ว



สะสม

“ศิลปะการแสดงนั้นไม่ได้เป็นเทคนิค แต่เป็นการทุ่มเทอย่างจริงจัง สำหรับผมแล้ว การแสดงนั้นไม่เป็นสิ่งที่สิ้นเปลืองแรง” บทบาทที่ซูโหย่วเผิงเกี่ยวข้องนั้นได้ล้ำสมัยปัจจุบัน  โบราณ และข้อมูลต่างๆ ล่าสุดนั้นได้ข่าวว่าได้เข้าร่วมแสดงหนังฮอลลีวูดกับมอร์นี่คา พีลูสคิสตาตัน แสดงเป็นนักรบคนปลา นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว เขายังกำลังพยายามปั้นร่างกายตัวเอง(เป็นเงือก) ผ่านบทบาทละครที่สำคัญในการปั้นสร้างนั้น เขาเริ่มที่จะรู้สึกถึงบทบาทแสดงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง ได้ทุ่มเททั้งหมด จนที่สุด “คิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริง” จนถึงปัจจุบันนี้  สำหรับเขาแล้วสิ่งที่ท้าทายที่สุดคือ(ต้าเสิ้นฝัน)ที่กำกับโดย ฝันเสี่ยวเทียน


ในเรื่องนี้ซูโหย่วเผิงได้รับบทเป็น "ซูหมิงโซ้ว"  ที่ถูกความรักทำให้บ้าจนเป็นโรคจิต “คนบ้า” ตัวมันเองก็เป็นบทแสดงหนี่งคนท้าทายผู้แสดง ซูโหย่วเผิงยังจะต้องเผชิญกับเบื้องหลังกิจกรรมที่ไม่ปกติของประชาชนในสมัยเริ่มแรกในการตั้งราชอาณาจักร  “บทแสดงนี้มันไม่เหมือนกับสภาพการณ์ของแต่ละช่วงของชีวิต จากการไม่พอใจกับสงคราม จนถึงการต่อสู้ก่อนเกิดโรคนี้ อารมณ์หวั่นไหวตกใจง่ายเป็นโรคประสาท จนสุดท้ายกลายเป็นคนบ้า อารมณ์การแสดงออกของบทนั้นล้วนต่างกัน จะไม่หยุดในการที่จะปรับตัวเองเข้าสู่อารมณ์ในสภาพอย่างนั้น นี่ไม่ง่ายที่เดียว



ผู้กำกับฝันเสี่ยวเทียนเปิดเผยว่า เหตุที่เลือกซูโหย่วเผิงรับบทนี้ก็เพราะ ภาพลักษณ์เขาดี นิสัยที่ดี บุคลิกดี วัฒนธรรมและศิลปะนั้นล้วนไปถึงจุดสุดยอดแล้ว” ได้เดินเส้นทางแห่งขวัญใจมาบ่อยแล้วอย่างซูโหย่วเผิงด้วยเหตุนี้เองได้ขยายเส้นทางการแสดงของตัวเองกว้างขึ้น ได้ขุดค้นคุณสมบัติพิเศษอย่างอื่นในตัวเขา  ที่จริงแล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นเขาใส่ใจกับภาพลักษณ์ของนักแสดงมากๆ ไม่เคยรับบทละครในบทร้ายๆเลย ได้รักษาภาพลักษณ์ที่ดีงามมาตลอด และสิ่งนี้ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาได้รับรางวัล “บุคคลที่เด็กๆชื่นชอบที่สุด” ผมไม่สามารถหยุดที่จะคิดขึ้นได้ว่า ในสมัยประถมนั้น ได้เคยอ่านบทความแจ้งให้ทราบหนึ่งให้คุณแม่ฟัง เนื้อหามีดังนี้ว่า นักเรียนที่จะซื้อตั๋วเข้าชมของเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นจำเป็นต้องมีคะแนนใบเกรดที่มากกว่า 90 ขึ้นไป

“อดีตคุณเคยเป็นขวัญใจของพวกเรา ยี่สิบปีผ่านไป ผู้คนที่ชื่นชอบคุณนั้นก็ยังเป็นคนในวัยนี้ นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือว่าไม่ดีล่ะ?” เขาไม่เขินเลย หัวเราะและพูดไปด้วย “อย่าลืมว่านอกเหนือจากเด็กๆแล้ว ยังมีคุณแม่และพี่ ป้า น้า อา หลายท่านอีกด้วยนะ” อดีตเขาเป็นแบบอย่างให้กับคนรุ่นเดียวกันกับเขา ปัจจุบันนี้ พวกเขาเหล่านั้นล้วนมีความนึกคิดการตัดสินใจที่โตเป็นผู้ใหญ่ของตัวเอง และเขาก็ได้กล่าวออกมาว่า “ ทุกเรื่องนั้นล้วนต้องทำให้ดีที่สุด” ใช้ชีวิตวิถีที่ตัวเองชอบ “ชีวิตที่สบายๆ”

“ความจริงแล้วชีวิตของคนเรานั้นล้วนมีทุกข์สุขปะบนด้วยกัน ดูตัวเองและชีวิตนั้นก็กำลังก้าวสู่ความสมบูรณ์ การทุ่มเท ความพยายามของตัวเองนั้นก็ได้รับการตอบกลับจากทุกคน นี่ก็ดีที่สุดแล้ว” ที่จริงบางอย่างในวงการนั้น เขาไม่ใช่เป็นคนที่มีความสุขกับการที่ตกเป็นเป้าสายตาของผู้อื่น ชีวิตประสาคนทั่วไปของเขานั้นล้วนหายไปจากชีวิตของเขาในช่วงวัย 15 แล้ว หากมาเทียบกับการสูญเสียอย่างนี้แล้ว การมีชื่อเสียงนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญเลย



คนเราถึงที่สุดแล้วความโตเป็นผู้ใหญ่จะทำให้จิตใจเราสงบลงได้ อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ไม่จำต้องทำตัวเป็นผู้ใหญ่อย่างฝืนๆ เริ่มแรกที่เป็นนักแสดงนั้น ความมีความเป็นห่วงเป็นใยต่อผู้อื่นนั้น เขาเคยมีความขัดแย้งในการทำเหมือนเป็นวัยรุ่น ความจริงที่เรียก เสี่ยวไกว นั้นเป็นเพราะความเป็นคนกันเองและกับของคนที่เรียก เขาก็กลับรู้สึกว่าใช้ความสง่าของอดีตสะท้อนความพยายามของปัจจุบัน ไม่เป็นการยุติธรรมเลย เขาในสมัยนั้นเป็นผู้ใหญ่อย่างเขินเก้อ  เหมือกับเด็กที่พึ่งมีจุดยืนของตัวเอง พยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อจะลบล้างตลอดที่ผ่านมาในลักษณะเด็กของเขา แล้วย่อมค่อยๆถูกยอมรับ ความเป็นผู้ใหญ่ถึงค่อยๆนิ่ง มีเพียงแต่ความนิ่ง ถึงสามารถนำมาซึ่งอิสระที่แท้จริง

คิดแบบธรรมดา

เมื่อเอ่ยถึงชีวิตปัจจุบันแล้ว เขาใช้ประโยคนี้มาสรุปทุกอย่างในชีวิต “ตามเวรตามกรรม”  เข้าสู่หนที่ 3 ของสิบปี เขาก็ไม่ค่อยอยากไปวางแผนมันนัก  เพียงแค่หวังว่าได้ใช้ชีวิตตามที่ใจชอบ แน่นอน เขาก็รับแบบหน้าที่ความรับผิดชอบที่ผู้ชายต้องมี

“หน้าที่รับผิดชอบ” สำหรับในตัวเพื่อนสมิทอย่างอู๋ฉีหลงนั้น  สิ่งนี้ได้กลายเป็นครอบครัวลูกมีลูกไปแล้ว  ซูโหย่วเผิงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอกับคำถามในแนวนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากใคร่ครวญแล้ว เขาก็ยังคิดว่า “เรื่องชีวิตคู่” ที่จริงไม่ใช่เป็นสิ่งที่จำเป็นของชีวิต เป็นผมชายนั้นการรับได้ที่มีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน การไปมาหาสู่กับญาติมิตร ความถ่อมใจ การขอบคุณ สิ่งเหล่านี้ในชีวิตนั้นสามารถเห็นถึงคุณสมบัติของคน แต่ไม่ใช่ว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเอาแบบอย่างวิถีชีวิตของคนทั่วไปทำนั้นมาใช้กับตัวเรา  คุณสมบัติเหล่านี้ได้เป็นที่ชมชอบในท่ามกลางเพื่อนของเขา

“คุณลองดูคนคนหนึ่ง หากมีความหวังหมายมากมายแต่เป้าหมายนั้น สุดท้ายจะไม่พบความสุข หากจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เข้ามาในชีวิตนั้นมันยาก การจะเปลี่ยนแปลงตัวเองไปปรับตัวเข้ากับทุกสิ่งนั้นถึงจะง่ายกว่า จิตใจบริสุทธิ์ มีอะไรอีกหรือที่ยังไม่พอใจอิ่มใจ?

สามารถที่จะพูดสิ่งเปล่านี้ออกมาอย่าง “ไกวๆหู่” (ฉายาของเขา) ถึงจะเรียกว่าเป็นผู้ใหญ่จริงๆ

เข้าสู่วงการ20ปี เป็นผู้ที่มีความเป็นวัยหนุ่มกว่าคนรอบข้าง จนบัดนี้ซูโหย่วเผิงยังมีใจขอบคุณสำหรับชีวิตของตัวเองอยู่ ในเวที่คอนเสิร์ตนั้นเคยถึงจุดสูงสุด ในด้ายละครนั้นก็มีความสำเร็จมากมายแล้ว สำหรับสภาพของตนเอง ชีวิตของเขาคงไม่มีอะไรที่ขาดไป “เส้นทางชีวิตนับจากวันนี้ไปก็จะไม่ไปบังคับฝืนมัน คะแนนภายนอกนั้นที่จริงไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญอะไร เพียงแต่ยังถนอมรักษาการมีอิทธิพลที่ดีต่อสังคมของตัวเองให้ดี สามารถที่จะทำสิ่งอื่นได้” แม้ว่าในกิจกรรมการกุศลหรืองานเพื่อประโยชน์แก่สาธารณะก็สามารถเห็นรูปของโหย่วเผิง ทั้งยังได้รับโล่มากมายจากการทำงานการกุศล เขาก็ยังยืนยันเหมือนเดิม “การทำกุศลนั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นเฉพาะเรื่องเงินๆทองๆ ทุกวันของคนเรานั้นล้วนสามารถทำการกุศลกับคนรอบข้างที่ประสบปัญหา รวมทั้งชีวิตแห่งการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งการให้อภัยการไม่แกร่งแย่งกับเพื่อนรอบข้างของตัวเรา นี่ล้วนเป็นกิจกรรมการกุศลทั้งสิ้น”

ก่อนจะลา ผมยังได้ถามถึง วันที่7 เดือน7 ครบรอบปีที่20ของเสี่ยวหู่ตุ้ย โหย่วเผิงจะทำอะไรบ้าง จะมีการติดต่อกับเพื่อนอีกสองคนหรือเปล่า เขาหัวเราะ “เขาสองคนล้วนงานยุ่ง ร่วมทั้งปกติพวกเราก็ได้เจอกันเป็นประจำ ไม่มีความจำเป็นจะทำอะไรเป็นพิเศษ”

น่าจะเป็นอย่างนี้ แม้ตัวเขาเองก็ยังไม่ระลึกถึง ผมเองก็ไม่จำเป็นที่จะไประลึกถึงวันเวลาเหล่านั้นอีก เพียงแต่ใส่ใจวันนี้ให้ดีที่สุด ความยิ่งใหญ่ในอดีตนั้น ยังสู่ความสุขของตอนนี้ไม่ได้เลย



Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 2008 Trading Up magazine
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2016, 10:38:32 AM »








Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 2008 Trading Up magazine
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ธันวาคม 21, 2016, 10:38:39 AM »







Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด