ผู้เขียน หัวข้อ: 2009 Fashion Weekly  (อ่าน 12111 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
2009 Fashion Weekly
« เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 12:46:59 AM »
ซูโหย่วเผิง VS จางหันอี้, Fashion Weekly 2009
https://www.facebook.com/AlecfanclubinThailand/posts/716053871766442


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 Fashion Weekly
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 12:52:08 AM »
Thanks, http://tieba.baidu.com/f?kz=657544982

Fashion Weekly 2009

18 ตุลาคม 2009 :  เมื่อจางหันอี๋เจอซูโหย่วเผิง



หากว่าไม่มีบรรดาศักดิ์หรือตำแหน่งมากมายนั้น (จางหันอี๋) นับว่าเป็นพระเอกของ ”ปักกิ่ง”  ขณะที่อารมณ์ดีก็จะพูดเรื่องประวัติศาสตร์หน่อย ให้คุณขำขัน  แน่ล่ะนี่ต้องเป็นเวลาที่อารมณ์ดี แล้วตอนที่อารมณ์ไม่ดีนั้น ตัวหนังสือตัวเดียวก็ไม่ดู อย่างว่าสำหรับเขาที่มีบรรดาศักดิ์มากมายอย่างนั้นจนเป็นเจ้าแห่งปักกิ่งไป แม้จะผ่านไปแล้วสองปี แต่ก็ยังถูกนำมาพูดอยู่เสมอ ช่วยไม่ได้ ภาพลักษณ์ที่ชอบสวมเสื้อคลุมยาวแบบจีนนั้น แม้ว่าบั้นปลายของเขาจะประสบผลสำเร็จมาแล้วมากมาย แม้ภายนอกจะเปลี่ยนไปมากมาย แต่เขาก็ยังเป็นเขาเหมือนเดิม

อย่าคิดที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเองอย่างเด็ดขาด ไม่มีอะไรให้เปลี่ยน ทุกวันก็คิดแต่อยากจะปฏิวัติตัวเอง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้ เพราะกระจิตกระใจนั้นไม่ได้มุ่งจ่ออยู่ที่จะแสดงให้ดี แต่มุ่งจ่ออยู่กับการจะเปลี่ยนตัวเอง นี่น่าจะไม่ใช่เรื่องที่คิดขึ้นมา

(จางหันอี๋) เป็นบุคคลตัวอย่างของคนปักกิ่ง จะมีนิสัยที่ยั่วเย้าหน่อยๆ แต่ก็รักสนุกเหมือนกัน ไม่ทันสังเกตุ เขาก็สวมชุดคลุมยาวเลียนแบบละครปักกิ่งเดินไปเดินมา เดี๋ยวอารมณ์ก็ดีแล้วจับ (เอ้อหู่) เดินไปมา เขาโด่งดังขึ้นจากภาพยนตร์เรื่อง(จี่เจียเห้า) ผ่านไปสองปีถูกเชิญไปสัมภาษณ์รายการอย่างหมดไส้หมดพุง อย่างไรก็ตามอย่างน้อยก็สามารถแจ้งเกิดทางด้านการแสดงได้ วงการภาพยนตร์ก็มีความเบื่อหน่ายของมันอยู่ เล่าเรื่องไป ขำไป พูดอาจไม่ยาว ตอบไปแบบสั่นๆ ขณะที่แต่งคิ้วก็ได้สอบถามสัมภาษณ์เขาก็พูดเพียงสั้นๆว่าใช่ และเงียบไปอีกสองนาทีตอบอีกที่ก็ใช่เหมือนเดิม แม้จะโยนคำถามไปให้เขาก็ไร้ประโยชน์ หากว่าเอาคำถามประเด็นเด็ดจากวงการบันเทิงมาถามเขาแล้ว เขาก็จะไม่ตอบเลย หรือว่าจะพูดอย่างอื่นไป ทำให้คุณรู้สึกว่าถามคำถามไปเยอะแยะก็ไม่มีความหมาย คนปักกิ่งก็ยากจะปราบอย่างนี้แหล่ะ คนวัยกลางคนก็ยากจะปราบอย่างนี้แหล่ะ

 
ผมคงจะไม่มีวันเหนือกว่ากู๋จื่อตี้

พิธีมอบรางวัลของ (หัวเปี่ยว) พึ่งเสร็จสิ้นไป (จางหันอี๋) นั้นได้รับรางวัล (กู๋จื่อตี้) เป็นครั้งที่ห้าแล้ว เทียบกับอดีตที่เคยรับรางวัลอย่างอื่นแล้วรู้สึกตื่นเต้นกว่า เขาคงชินกับการรับรางวัลอย่างนี้ไปแล้ว “ทุกครั้งที่ได้รับรางวัลก็รู้สึกว่าเหนือความคาดหมาย แต่ว่าได้แล้วก็รู้สึกดีมาก แสดงว่าทุกคนก็มีความเห็นเดียวกันที่ผมจะได้รับรางวัลกู๋จื่อตี้นี้” เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายสำหรับบทบาทหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากบรรดากรรมการ ก็ถือว่า (จางหันอี๋) นั้นได้เปิดมุมมองใหม่  “การรับรางวัลครั้งนี้นั้นมันเหนือความคาดหมายจริงๆ ไม่มีใครกล้าคิดว่าเรื่องนี้ของผมนั้นจะได้รับรางวัลนี้ กรรมการมากมายต้องไปดูเรื่องนี้ที่มันยาวมากๆ สุดท้ายมาตัดสินว่าใครดีที่สุด มันเป็นเรื่องที่บังเอิญมากๆเลย” ที่โชคดีคือ ความบังเอิญอย่างนี้นั้นได้เกิดขึ้นกับ (จางหันอี๋) ห้าครั้งแล้ว และรางวัล(ไป๋ฮัว) นั้นไม่รู้ว่าจะบังเอิญอีกไหม “เราเองก็ไม่กล้าพูด การได้รับรางวัลนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ดี ไม่มีใครบ่นว่าได้รับมากเกินไป อย่างไรก็ตามการจะได้รับนั้นก็ย่อมมีขั้นตอน ได้อันนี้ก็คงจะต้องเสียอันนั้นไป ฉะนั้นเลยไม่ขอหวังมัน ไม่ว่าอย่างไร รางวัลที่เราได้รับนั้นมันเหนือความคาดหมายจริงๆ”เป็นการบังเอิญมากๆในสองสามปีนี้ ทำให้ความนิยมของเขานั้นพุ่งขึ้นมากมาย จากเดิมที่เป็นนักแสดงที่เงียบๆไม่มีใครรู้จักในค่ายหัวอี้ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นดาราดังไปแล้ว


เฟิงเซิงที่จะฉายในเร็วๆนี้นั้นไม่เพียงเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ของค่ายหัวอี้ ทั้งยังเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ของชาวจีนในปี 2009 ในเรื่องนั้นบทของ (จางหันอี๋) นั้นสำคัญมากๆในขณะเดียวกันการแสดงของเขาก็ยอดเยี่ยมมากๆด้วย ตัวอย่างรูปแบบนั้นได้ใช้เวลาอินตี้ไม่น้อยเลย เดือนกันยายนนั้นก็คงจะไม่มีงานอะไรที่จะทำนอกจากการโปรโมทเรื่องเฟิงเซิง “การไปโปรโมทภาพยนตร์นั้นเป็นอะไรที่เบื่อมากๆ แต่ก็ทำไงได้ เพราะสมัยนี้นั้น แม้ว่าของจะดีมากแต่ถ้าไม่โปรโมทก็ไม่สู้ของที่ไม่ดี ไม่โปรโมทก็ไม่มีใครรู้ แม้ภาพยนตร์จะเจ๋งขนาดไหนก็ไร้ประโยชน์” ถามว่าเมื่อเรื่องนี้เสร็จแล้วจะทำงานด้านนี้เป็นหลักเลยไหม คำตอบของเขาคือไม่แน่ “ชั่วชีวิตผมอาจไม่เหนือกว่ากู๋จื่อตี้ นี่ปกติมาก นักแสดงคนหนึ่งทั้งชีวิตคงอาจไม่ได้เจอกับบทที่เหมาะกับคุณเลย โดยเฉพาะเป็นเรื่องที่ดีๆ ผมเจอมันแล้ว ก็คงไม่หวังครั้งที่สองอีก”

ชื่อของ (จางหันอี๋) นั้นคงแยกไม่ออกจาก(จีเจียเห้า)แล้ว แต่ว่าเขานั้นจะไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้อีก แม้ว่าเรื่องนี้จะทำให้ความฝันของเขาเป็นจริงได้ แต่เรื่องเดียวพูดคุยไปแล้วสองปียังไม่ยอมจบนั้นคงเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ แต่เรื่องเฟิงเซิงก็ใช่ว่าจะคุยได้ เพราะเรื่องนี้ยังไม่เข้าโรงเลย ไม่สามารถพูดเยอะ ในเรื่องนั้นก็ยากจะเอามาพูดคุย เพราะถ้าคุยบทของตัวเองไปเยอะแล้วก็เหมือนกับว่าตัวเองเป็นพระเอก ตามเส้นทางเดิมของ(จางหันอี๋) แล้ว จะไม่วิจารณ์คนอื่นอย่างเด็ดขาด “ผมสนใจอย่างเดียวคือตัวเองแสดงได้ดีหรือยัง สื่อสิ่งที่ควรสื่อแล้วหรือยัง นอกเหนือสิ่งเหล่านี้แล้วเราเองก็ไม่ได้คิดอะไรอีก (โจวซิ้น) แสดงได้ดีไหม (หลี่ปิงปิง) แสดงได้ดีไหม เรื่องอย่างนี้ไปถามผู้กำกับดีกว่ามาถามผม” สำหรับบท (เหล่ากุ่ย) ที่ทุกคนสงสัยว่าเป็นใครแสดงนั้น( จางหันอี๋) หัวเราะแล้วบอกว่าเป็นความลับ แต่สุดท้ายก็เก็บไม่อยู่ที่ได้หลุดออกมาว่าตัวเองกับหลี่ปิงปิงนั้นตอนจบไม่ตาย (เหล่ากุ่ย) ต้องเป็น (โจวซิ่น) แน่นอนเลย

เห็นได้ชัดว่า (จางหันอี๋) นั้นชอบเรื่องเฟิงเซิงมาก แม้จะเป็นวรรณกรรมในสมัยต่อสู้กับญี่ปุ่น แต่เมื่อเทียบกับภาพยนตร์เรื่องอื่นๆที่เคยแสดงมานั้นมันแตกต่างกันมากเลย ซึ่งมันหนักใจมากๆ เป็นสมัยที่ปิดกั้นมากๆ ล้วนแต่ต้องใช้จิตใจไปสัมผัสความรู้สึกอารมณ์อย่างนั้น ไม่ง่ายเลย แต่ว่าผมก็ชอบบทแบบนี้ สนุกดี คนอย่างผมนั้นไปแสดงบทที่เว่อร์ๆไม่ค่อยได้ พวกทั้งร้องทั้งตะโกน พวกชกตีตบต่อยมันไม่เหมาะกับผม ผมเองก็เล่นไม่เป็นด้วย ผมจะเป็นคนที่คิดในความเป็นจริง มักจะคิดว่าอย่างนั้นใช่การแสดงหรือ น่าจะเป็นละครเวทีมากกว่า


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 Fashion Weekly
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 12:55:29 AM »
หากว่ามีมาดอย่างประธานธิบดีเหมาแล้ว นับว่าเป็นพี่ใหญ่เลย

ทางจางหันอี๋, หวังจงจิน, โจวซิน ที่ได้ออกมาปรากฏตัวในงานฉลองสองปีของค่ายหัวอี้ที่เพิ่งเสร็จไป เรื่อง “พี่ใหญ่” นั้นก็เป็นประเด็นร้อนเหมือนกัน ทางหัวอี้ยอมที่จะออกประเด็นร้อน “พี่ใหญ่” แน่นอนคนเยอะความก็เยอะ บอกว่าตัวเองไม่อยากจะเป็นผู้ชายที่ดื้อที่สุดของค่าย เช่นนี้ก็จะได้รับการสนับสนุนจากทางบริษัทก่อน เมื่อเทียบกับก่อนหน้าที่ (หวงเสี่ยวหมิง) ที่เด่นเป็นพิเศษ สองสามปีมานี้ทาง (จางหันอี๋) ก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน แต่เมื่อมามองเส้นทางของแต่ละคนแล้ว ล้วนแล้วแต่ไม่มีการแข่งขันกันเลย แต่การไม่มาร่วมงานของ (หวงเสี่ยวหมิง) กับการปรากฏตัวของ(จางหันอี๋) นั้นเป็นสิ่งที่น่าคิดเหมือนกัน

(จางหันอี้) นั้นไม่ชอบและยังรู้สึกเบื่อกับฉายา “พี่ใหญ่” (ดาราเนื้อหมอที่สุด) นี้  “อะไรคือพี่ใหญ่ แล้วใครคือพี่รองล่ะ น้องแท้ๆยังต้องคลอดตามมาตามเวลา ค่ายหัวอี้มีดารามากมาย ทุกคนต่างมีผลงานของตัวเอง คงไม่จำเป็นจะต้องไปออกงานพร้อมกันก็ได้มั้ง” ก่อนหน้านี้นั้น (จางหันอี๋) ยังกล่าวว่าในใจเขาพี่ใหญ่คือ (หวังจงจิน)  พี่รองคือ (หวังจงสือ)  แต่ว่าเมื่อได้ชมภาพยนตร์(เจี้ยนกว่อต้าแย่)แล้ว เอาพี่ใหญ่ของประเทศจีนมาเปรียบแล้ว เมื่อเทียบกับท่านแล้ว พวกเราเป็นใคร อย่าไปเปรียบว่าใครเป็นพี่ใหญ่เลย”

 
                                                                               
                                                                       

จริงๆแล้วฉายาพี่ใหญ่นั้นก็เป็นเพียงตั้งขึ้นเฉยๆ ใครจะเป็นพี่ใหญ่นั้นล้วนเป็นการโปรโมทของทางบริษัทเอง สำหรับจางหันอี๋แล้ว ไม่ว่าจะเป็นพี่ไรก็ตาม อย่างน้อยเขามีรางวัลต่างๆที่เขาได้รับมาเป็นหลักประกันให้เขาว่าเขาเองก็ไม่น้อยเหมือนกัน นี่เป็นความภูมิใจที่ดาราหลายคนไม่มี “อย่าไปเทียบเรื่องใครเป็นพี่ใหญ่ ต้องเทียบด้วยผลงานรางวัลต่างๆ” นี่เป็นเสียงที่จางหันอี๋สะท้อนออกถึงการเป็นพี่ใหญ่ หลังจากเรื่อง(จีเจียเห้า)แล้ว เขาเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่จากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างเรื่อง (อีวหลงซี่ฟ่ง) (เฟิงเซิง) และดารารับเชิญอย่างเรื่อง(เจี้ยนก๋อต้าแย่) รวมทั้งยังมีอีกเรื่องที่กำลังจะเข้าโรงที่ตอนนี้เขาเองก็ยังเก็บเป็นความลับอยู่ อายุของจางหันอี๋ นั้นไม่น้อยแล้ว แต่เขาเองก็ยังเดินไปทีละก้าวทีละก้าว แต่ไม่ใช่เพื่อเงินแล้วทุ่มเป็นบ้าเลยอย่างนั้น และเขามีกฏระเบียบหลายๆอย่างที่เขาต้องไม่ฝ่ามัน แม้ว่าจะอยู่ในวงการบันเทิง เขาถือว่าหากไร้วินัยก็ไร้ชีวิต
 
ที่เพิ่งเซ็นสัญญากับไปคือซ่งเจียงของ(ซินสุ่ยฝู) “เรื่องนี้นั้นทีมงานของพวกเขาได้มาหาผมตั้งนานแล้ว รอผมตอบรับตลอดเวลา ผมเองก็ได้นำมาคิดแล้วคิดอีกสุดท้ายก็ได้ตัดสินใจไป บทซ่งเจียงนั้นเล่นไม่ง่ายเลย แต่ว่าแต่เด็กผมเองก็ได้อ่านเรื่องนี้มาแล้ว สำหรับตัวละครนั้นผมเองก็รู้ดี แต่ผมก็ไม่มั่นใจว่าจะแสดงได้ดีไหม สำหรับบทที่คุ้นหูนั้น ทุกคนต่างก็มีจิตนาการณ์ของตัวเอง ฉะนั้นจะแสดงอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าไม่พอใจบ้าง” ซ่งเจียงในฉบับ หลี่เสียเจี้ยน นั้นมันต่างกับของซ่งเจียงเสียอี้ และครั้งนี้นั้น ทีมงานได้เลือกจางหันอี๋ หวังว่าเขาสามารถจะสร้างความเป็นซ่งเจียงเสียอี้ขึ้นมา “ซ่งเจียนแน่นอนเป็นวีรบุรุษ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของพี่น้องเขาแล้ว เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อพี่น้องของเขา ฉะนั้นผมจะพยายามที่จะเป็นซ่งเจียงที่เก่งกาจ แต่ว่าความกดดันก็ไม่น้อยเลย”

จางหันอี๋ที่รับบทที่เป็นพระเอกบทที่เป็นผู้ดีมาตลอดนั้นเวลานี้เขาน่าจะหันไปหาบทที่ท้าทายและทะลุทะลวงภาพลักษณ์เก่าของตัวเองแล้ว เช่นตอนนี้ไม่เล่นบทซ่งเจียง แต่ว่าไปรับเล่นบทที่มีภาพลักษณ์ที่ดีหน่อย เพื่อแสดงออกถึงฝีมือการแสดงของตัวเองบ้าง “มันไม่จำเป็นครับ อย่าคิดจะเปลี่ยนปฏิวัติภาพลักษณ์ตัวเองเด็กขาด ไม่มีอะไรให้ทำลายภาพลักษณ์ตัวเอง เพียงแค่แสดงในบทของตัวเองให้ดีก็พอแล้ว ทุกวันคิดเพียงว่าผมต้องท้าทายบทใหม่ แสดงไปแล้วครั้งหนึ่งก็คงไม่รับบทอย่างนั้นอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มักจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะกระจิตกระใจนั้นไม่ได้จ่ออยู่กับบทที่ตัวเองแสดงเลย แต่ไปจดจ่อกับการที่จะเปลี่ยนแปลง เรื่องอย่างนี้นั้นมีแต่ก็หาได้ยาก หรือว่าบังเอิญวันหนึ่งคุณเจอเรื่องที่ดี และมันก็ไม่เหมือนเรื่องที่เคยเล่นมา คุณก็เล่นได้ดี นี่ถึงเป็นการเปลี่ยนแปลงปฏิวัติ” สำหรับจางหันอี๋ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ละเรื่องที่ติดต่อกันมานั้นก็จะเห็นภาพลักษณ์คอมมิวนิส ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวหลงเถ้าในเรื่องเจี้ยนก๋อต้าแย่ “สำหรับภาพยนตร์ประเภทนี้นั้น แค่ได้เข้าร่วมแสดงก็ถือว่าเป็นเกียรติมากแล้ว ฉะนั้นไม่เคยเรียกร้องไว้ อย่างไรก็ตามผมเองก็ไปดูมาแล้ว สนุกจริงๆ”




สามารถเขียนว่าผมนั้นงูๆปลาๆได้หลายอย่าง ซอปักกิ่ง ซอเครื่องดนตรี 4 สาย ผมล้วนเล่นได้เพลงสองเพลง

เมื่อถ่ายฉากแรกเสร็จแล้ว จางหันอี๋ได้กลับไปในห้องแต่งตัวหยิบซอขึ้นมา ในห้องแต่งตัวนั้นมีเสียงซอดังขึ้น “โถ อย่าถามผมเรื่องอิ๋งตี้เลย มาเขียนเรื่องฝีมือการเล่นดนตรีผมจะดีกว่าเยอะ ผมเล่นเครื่องดนตรีเป็นหลายอย่าง” จางหันอี๋ที่เรียนเล่นเครื่องดนตรีแต่เด็กนั้นมีความฉลาดในเพลงพื้นเมือง ไม่ว่าจะเอาดนตรีอะไรมาให้ เขาก็สามารถดีดเป็นเพลงได้ “ลูกสาวผมตอนนี้กำลังเรียนเปียโน สมัยนี้เด็กเรียนเพลงพื้นเมืองนั้นน้อยมาก เรียนเปียโน เรียนวาดรูป นี่เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทำแล้วจะดูเป็นกุลสตรีขึ้น”
 
ความเป็นอยู่ของจางหันอี๋นั้นจะว่าเรียบง่ายหรือพิถีพิถันก็ว่าได้ เขาบอกว่าตัวเองนั้นเรียบง่าย ไม่เรื่องมากกับการกินการใส่ ขอเพียงแค่กินอิ่มใส่อุ่นก็พอแล้ว มีชีวิตที่เรียบๆง่ายๆก็สุขใจแล้ว แต่ดูอีกด้านเขาก็เป็นคนที่พิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ เสื้อต้องเข้ากัน อยากจะให้เขาหยิบซอขึ้นมาเพื่อถ่ายรูป แต่เขากลับบอกว่า “เสื้อกับซอไม่เข้ากัน” เมื่อเห็นเชิ้ทสีแดงก็บอกว่านี่คงจะเข้ากันได้ เขาเองก็ไม่รู้เรื่องยี่ห่อ ไม่ว่าจะยี่ห่ออะไรหากไม่สวยก็ไม่เอาแล้ว ฉะนั้นจะบอกว่าจางหันอี๋ใส่สื้อเป็นเหตุเป็นผลหรือมีหลักการนั้นยากจะพูด

นอกจากจะแสดงแล้ว งานอดิเรกที่เขาชอบทำคือการสะสมของโบราณ เครื่องแต่งบ้าน จัดวางของโบราณ ช่วงนี้เขาสนใจกับการเก็บก้อนหิน เห็นหินที่เก่าแก่และมีประวัติศาสตร์ “จริงๆแล้ว การจะชอบของโบราณกับการชอบประวัติศาสตร์มันเกี่ยวข้องกัน เพราะทุกชิ้นล้วนมีประวัติของมัน” และในวาเลนไทล์นั้นจางหันอี๋ได้ซื้อเครื่องประดับผมให้กับภรรยากล่องหนึ่ง “เธอชอบมากๆ มันสวยจริงๆ ทุกวันจะมองจ้องที่กล่อง เมื่อใส่มันแล้วจะดูสวยมาก” จางหันอี๋ที่ชื่นชอบของสะสมโบราณนั้นมีเหตุผลว่ามันจะช่วยเราเก็บแรงไว้ เพราะดูชมที่บ้านก็ได้ “หากไม่มีอะไรทำก็ชงชาดื่ม มองดูของสะสม มันดีขนาดไหน”
 
พูดรวมๆแล้ว จางหันอี๋เป็นชายที่อนุรักษ์นิยมมากๆ ชอบเพลงพื้นเมือง ไม่ค่อยสนใจเครื่องดนตรีของยุโรปสักเท่าไหร่ ชอบศิลปะโบราณ ละครเพลง “เป็นไม่เป็นก็อยากจะลองทำดู” ชื่นชอบในวัฒนธรรมจีน อ่านประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา อ่านแล้วอ่านอีก ชอบของเก่า ภาษาสมัยนี้เรียกว่าของโบราณ ยิ่งเก่ายิ่งมีค่า แต่เขาไม่ได้ทำเป็นธุรกิจ ทำเพื่อตัวเองชื่นชมเท่านั้น ชอบดื่มชา ไม่เรียกร้องว่าต้องเป็นชาที่ราคาแพง คือชาที่ดีเลิศ เป็นชาสมัยราชวงศ์หมิง เขาเป็นผู้ชายปักกิ่งที่เรียบง่ายมีวัฒนธรรมคนหนึ่ง สองปีก่อนที่สัมภาษณ์เขา เขาหยอกล้อว่า มีความตลกในสไตน์ปักกิ่งมากมาย หลายเรื่องพูดขึ้นมาแล้วรู้สึกสนุกมากๆ สองปีผ่านไป สไตน์ตลกปักกิ่งยังอยู่ แต่ไม่มีความหยอกล้อให้เห็นแล้ว อาจเป็นเพราะเจอสื่อเยอะไป ทำให้หมดมุกไปแล้ว


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 Fashion Weekly
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 12:58:58 AM »
ไป๋เสี่ยวเหนียน เขาอยากจะให้คนอื่นตัดสินว่าเป็นเพศไหนกันแน่ สิบปีที่ผ่านมาได้มีบทอย่างนี้ก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ขอเพียงจาลึกภาพไว้ให้กับทุกๆคน ให้รู้ว่าจริงๆแล้วผมเองเป็นคนที่กล้าท้าทายเหมือนกัน พร้อมที่จะไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ นี่ก็พอใจแล้ว


เรื่องราวที่ลี้ลับอย่างภาพยนตร์เฟิงเซิงนั้น สำหรับผมแล้ว เริ่มตั้งแต่ที่ผมได้รับเนื้อบทผมก็เริ่มรู้สึกความลี้ลับแล้ว

หากว่าคุณสนใจข่าวด้านภาพยนตร์แล้ว สำหรับเรื่องเฟิงเซิงแล้วแน่นอนคุณต้องยกนิ้วโป่งให้เลย ไม่ว่าการโปรโมทหรือโฆษณาต่างๆจะร้อนแรงมาก หากอยากรู้ตอนจบมันว่าเป็นอย่างไรนั้น คุณจำเป็นจะต้องไปหาคำตอบในโรงภาพยนตร์ถึงจะรู้ว่าเป็นอย่างไร ฉะนั้น ความลี้ลับ จึงเป็นฉายาหนึ่งของภาพยนตร์เฟิงเซิง แน่นอน ความลึกลับนี้นั้นไม่เพียงแต่จะเกิดในบรรดาคอหนังเท่านั้น แม้กระทั่งนักแสดงหลักเองก็ยังมีความรู้สึกอย่างนี้ด้ว

ตอนที่โหย่วเผิงได้รับเนื้อบทนั้นเขาอ่านให้จบหนึ่งรอบโดยไม่ยอมวางเลย สิ่งแรกที่คิดคือเรื่องนี้มันดีจริงๆ และความคิดที่สองก็เกิดขึ้นโดยปริยายว่ามันลึกลับจริงๆ “เพราะเริ่มแรกผมได้รับการชวนเชิญจากผู้กำกับ ว่าตอนนี้มีอยู่บทหนึ่ง ถามผมว่าสนใจไหม่?ตามที่ทุกคนก็ทราบกัน ว่ามันเป็นเรื่องที่เก็บความลับ ฉะนั้นเริ่มแรกเลยพวกเราก็ต้องเก็บความลับต่างๆไว้ และแล้วการเก็บความลับก็เก็บได้ดีมาก เพื่อเนื้อเรื่องจะแพร่งพรายออกไป เลยไม่ยอมให้คนอื่นส่งบทมาให้ผม แต่จะใช้คนในส่งบทมาหาผมในบริษัท นอกจากจะมีการปิดอย่างหนาแน่น แม้กระทั่งในเนื้อบทของแต่ละคนนั้นยังเขียนชื่อไว้เลยว่าเป็นของใคร เนื่องจากตอนนั้นยังไม่ยืนยันว่าผมเองจะแสดงบทไป๋เสี่ยวเหนียน ผมจำได้แม่นมากเลยว่าเนื้อบทที่เอามาให้ผมนั้นเป็นของผู้กำกับเฉิน มันก็คือหากว่าเนื้อบทของฉบับนั้นรั่วไหลออกไปนั้น ก็จะรู้ว่าเป็นฉบับของใคร สำหรับผมแล้ว ความลึกลับของเรื่องเฟิงเซิงนั้น ผมสัมผัสได้ตั้งแต่ตอนแรกที่ได้รับบทแล้ว”
 
แน่นอน เหตุผลที่โหย่วเผิงร่วมแสดงด้วยนั้นนอกจากจะเป็นความลึกลับของเรื่องแล้ว บทของไป๋เสี่ยวเหนียนที่มีการเขียนตัวละครที่สับซ้อนอย่างนี้ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่โหย่วเผิงตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้ พูดได้ว่าตัวละครไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นมันมีอารมณ์ที่ไม่ปกติเลย เดิมที่นั้นตัวละครนี้ไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัยเลย แต่เพื่ออยากจะให้เรื่องนี้มันลวง ลึก ลับให้มากที่สุด และดึงความสนใจว่าผู้ร้ายจริงๆคือใครนั้น ตัวเสี่ยวไป๋เหนียนก็เลยตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปด้วย เขาได้กลายเป็นตัวละครที่ถูกเปลี่ยนจากเนื้อเรื่องเดิมไป ทำให้มีรายละเอีดยมากมายที่จะต้องพิถีพิถัน เริ่มจากชุดแต่งกายในฉากถึงรูปร่างทรงหุ่น ทุกอย่างต้องเนียบหมด แม้แต่ครูที่สอนละครเพลงของเขาก็ต้องตะลึงและบอกว่า ลักษณ์บุคลิกของเขานั้นเหมือนกับกระเทยที่เขาเคยรู้จักในอดีตเปี๊ยบๆเลย ไม่ว่าจะนั่งยืนพูดคุยก็เหมือนจนแยกไม่ออก
 
“มาตรฐานของคุณนั้นจะเหมือนกับกระเทยในเรื่องที่ (จางก๋อหัว) แสดงอย่างนั้นหรือเปล่า แล้วคุณมีความกดดันไหม?” การเอาโหย่วเผิงไปเปรียบกับพวกเขาอาจเป็นเรื่องที่ไม่ควร แต่หากพูดถึงเรื่องของการแสดงเป็นกระเทยแล้วล่ะก็ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะคิดถึง (จางก๋อหัว)
 
“ผมรู้สึกว่ามันคงไม่เกี่ยวกับดีกว่าหรือไม่ แม้ว่าบทของทั้งสองอาจจะเป็นบทกระเทย แต่เรื่องมันต่างกัน บุคลิกก็ต่างกัน ไป๋เสี่ยวเหนียนเป็นคนเปรี้ยว พูดจาก็ไม่เพราะ ฉะนั้นผมรู้สึกว่าความกดดันก็ยังมีอยู่ แต่นั่นไม่ใช่มาจากการไปเปรียบเทียบกับใคร หรือว่าแสดงให้เก่งกว่าใคร แน่นอนผลงานของ (จางก๋อหยง) นั้นเคยดูมาแล้ว ทุกคนที่ดูไม่มากก็น้อยที่จะมีความทรงจำกับเขา มันก็อาจจะช่วยได้บ้าง แต่ว่าตัวผู้แสดงนั้นมันคนละคน ฉะนั้นสำหรับผมแล้ว ความกดดันที่แท้จริงจะเป็นเรื่องของไป๋เสี่ยวเหนียนมีภูมิหลังเป็นนักร้องละครเพลง เพราะในเรื่องนั้นผู้ต้องสงสัยแต่ละคนจะต้องบอกภูมิหลังของแต่ละคน ของแต่ละคนฟังแล้วดี ฟังแล้วเยี่ยมมาก แต่ของผมซิ ในเรื่องยังมีการแสดง(อิ๋วเหยียนเหลียงม่ง) แม้ว่าในเรื่องนั้นจะร้องแค่ไม่กี่คำ แต่เมื่อไปเรียนจริงๆมันเกือบเอาชีวิตเลย และนี่ใช่ว่าเป็นอะไร มันคือการร้องละครเพลงแบบเอื้อน คนอื่นเรียนร้องละครเพลงนั้นเรียนสมัยเด็กๆ แม่ผมนั้นกลับมาเรียนตอนทำงาน ทางผู้กำกับก็เรียกร้องให้ผมต้องร้องเอง ผมกังวลใจมากๆว่าตัวเองจะร้องได้หรือเปล่า กลัวถ่ายแล้วไม่เหมือน ไม่สมจริง”

มือ นี่เป็นมือผู้ชายหรือ เล่าอีกหน่อยซิ ว่าที่คุณเล่นนั้นเป็นอะไรกัน
 
โหย่วเผิงกล่าวอย่างเปิดเผยว่า ตัวเองนั้นไม่ได้รับเล่นภาพยนตร์เรื่องใหม่เป็นเวลาสองสามปีแล้ว สำหรับบางอย่างนั้นมันก็เหมือนกับเราไปเล่นซ้ำๆซากๆ แต่ละบทนั้นก็เป็นแต่บทที่ดี เป็นบทผู้ดีที่ไม่มีจุดด่างพร้อย ฉะนั้นเมื่อเขาได้มีโอกาสมาเจอกับบทของไป๋เสี่ยวเหนียนแล้ว เป็นบทที่ต่างกันสิ้นเชิง ในจิตใจของเขานั้นก็จะมีความรู้สึกถึงมันต้องมันแน่ๆเลย
 
ก่อนจะเปิดกล้องนั้นเขาได้รับคำแนะนำจากผู้กำกับ คือทั้งเรื่องนั้นอยากจะให้นักแสดงทุกคนแสดงให้ได้มาตรฐานที่ผู้กำกับตั้งหวังไว้ การเรียกร้องอย่างนี้นั้นทำให้โหย่วเผิงที่แม้จะเป็นนักแสดงมานานแล้วก็ยังถือเป็นเรื่องใหม่ “ผู้กำกับบอกว่า ต้องเป็นคนในตัวละครห้าสิบเปอร์เซ็น เพราะทั้งเรื่องนั้นมันเป็นการถูกเก็บกด เงียบๆ ฉะนั้นจะสื่ออารมณ์ออกมาโดยผ่านทางการแสดง ท่านหวังที่อยากจะให้ขนของทุกคนนั้นดูแล้วลุก โอ้ พี่ผู้กำกับ ท่านเขียนเหมือนง่ายมาก แต่จะแสดงอย่างไรล่ะ จะให้เป็นตัวละครในเรื่องแต่แม้กระทั่งอารมณ์ก็ยังรู้สึกอยากเลย”
 
สำหรับมาตรฐานที่สูงของผู้กำกับ บวกกับการไม่คุ้นกับตอนที่เริ่มถ่ายทำใหม่ๆ ทำให้อารมณ์ของโหย่วเผิงนั้นไม่นิ่ง เพราะบทไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นจะต้องเนียบตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้กระทั่งเสียงที่พูด จังหวะของการพูด สำเนียง การควบคุม ล้วนแต่มีการตั้งมาตรฐานไว้ วันแรกนั้นเขาเองก็แสดงได้ไม่ดีเท่าไหร่ บวกกับทางผู้กำกับเรียกร้องเขาสูง ทำให้โหย่วเผิงต้องรับความกดดันมากมาย “วันแรกนั้นแม้กระทั่งการอ่าน NG มันไม่ง่ายเลยจนตัวเองรู้สึกว่าวันนี่ถ่ายทำไปตั้งเยอะแต่ก็คงใช้ไม่ได้ ผู้กำกับบอกกับผมว่า คุณลองกลับไปแล้วทำการบ้านเยอะหน่อย แล้วใช้ชีวิตของในตัวละครเลย แต่ขณะที่ท่านพูดประโยคนี้นั้น ผมเองก็เจ็บใจเหมือนกัน เพราะว่าตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันน่าจะโอเคแล้วนะ เพราะเรื่องอย่างนี้ไม่เคยมีในอดีตที่ผมเคยเล่นเลย ฉะนั้นทำให้ผมสูญเสียความมั่นใจไปหมด มันกระทบกระเทียนใจมาก”


Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 Fashion Weekly
« ตอบกลับ #4 เมื่อ: กันยายน 26, 2010, 01:03:41 AM »
การทำงานในช่วงเวลาอันสั้นนั้นไม่เพียงทำให้ผู้กำกับบอกว่าไม่ตั้งใจแล้ว สำหรับโหย่วเผิงแล้ว ในใจก็คงเต็มไปด้วยความเสียใจ เพราะเหตุที่อยากจะแสดงการร้องละครเพลงให้ดีที่สุด เขาลงทุนด้วยการเรียนอย่างเอาเป็นเอาตาย ช่วงเปิดกล้องนั้น การเรียนร้องละครเพลงยังไม่จบเลย ฉะนั้นขอเพียงช่วงไหนที่ไม่มีบทฉากของเขา เขาก็จะบินไปที่ปักกิ่งเรียนร้องละครเพลง สำหรับเขาที่อยู่ในวงการแสดงมานานยังต้องไปเรียนอะไรที่เริ่มนับหนึ่งใหม่ อาจารย์ที่สอนเขาก็ลำบากไม่น้อยเหมือนกัน ติสอนเขาอย่างไม่หยุด “มือ นี่มันเป็นมือผู้ชายไปแล้ว ต้องอ่อนหน่อย บทคุณเป็นกระเทยของเรื่องนะ” ฉะนั้นปิดกล้องนั้น ทำให้เขาต้องผวากับคำว่าละครเพลงไปนานเลยล่ะ”  “ทุกวันต้องฝึกฝนร้อง ผมคิดว่ามันเพียงพอแล้ว ยังต้องให้ผมไปใช้ชีวิตอย่างนั้น จะให้ตายทั้งเป็นเลยหรือไง?” แต่ในตอนนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขารู้ว่าตัวเองควรจะแสดงอย่างไร หากไม่สมจริงคงจะไม่ผ่านด่านง่ายๆ หากผ่านด่านไม่ได้ก็ต้องเสียเวลาของคนอื่นไปด้วย สุดท้ายผมหาทางที่จะผ่านวิกฤษนี้ มีเพียงลืมสายตาของผู้อื่น ทั้งยังลืมตัวเอง ผมคิดว่านี่เป็นบทเรียนหนึ่งที่ดีมาก เพราะเมื่อก่อนนั้นการแสดงไม่ได้ยากอย่างนี้เลย”
 

สามารถที่จะเล่นบทของไป๋เสี่ยวเหนียนได้ดีนั้น สำหรับโหย่วเผิงแล้วการรอคอยและการปรับตัวในสองสามปีนี้ถือว่าคุ้มค่า ไป๋เสี่ยวเหนียนสำหรับเขาแล้ว ไม่เพียงแค่การเริ่มต้น แต่เป็นการเริ่มต้นที่ตื่นเต้น “ตอนนั้นผมให้ความคิดกับผู้กำกับกับนักเขียนเรื่องหน่อย มันใกล้กับสิ่งที่ผมต้องการแล้ว ผมอยากจะให้พวกเขารู้ว่าโหย่วเผิงก็มีอย่างอื่นเหมือนกัน เขาเป็นคนหนึ่งที่รับการท้าทาย ผมเข้าใจแล้วว่าบทบาทก่อนหน้านี้นั้นมันจำเป็นจะต้องมี เป็นนักแสดงแล้วหากคุณได้มีบทบาทที่เป็นอย่างนี้แล้ว ทางผู้สร้างก็จะเห็นว่าผู้ชมชอบอย่างนี้ ทุกคนก็จะรักษาเก็บไว้ สำหรับผู้สร้างผู้ทำหนังแล้วเป็นสิ่งหนึ่งที่ปลอดภัย แต่สำหรับนักแสดงแล้ว ถ้าเราไปเดินทางที่ซ้ำๆซากๆแล้วก็จะทำให้อนาคตหรือเป้าหมายเราตันไป ไม่พัฒนา มันน่ากลัว แต่ไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นไม่เหมือนกัน เป็นบทที่ยากแก่การตัดสินใจว่าเป็นเพศไหนกัน สิบปีได้มีบทอย่างนี้เล่นก็ถือว่าไม่เลว ขอเพียงให้ภาพพจน์ไว้กับทุกคน ให้ทุกคนรู้ว่าผมเป็นคนที่รับการท้าทาย พร้อมที่จะไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆนี่ก็พอใจแล้ว”

สำหรับความล้มเหลวความสำเร็จภายนอกนั้น ผมจะไม่ไปใส่ใจกับมันมากมายนัก ผมจะใช้ท่าทีที่ปกติไปมองมัน

ถามโหย่วเผิงว่าฝีมือการแสดงของเขานั้นอยู่ในขั้นไหนแล้ว เขาตอบอย่างถ่อมตัวว่าตัวเองก็ยังอยู่ในขั้นเรียนรู้ตลอดเวลา เพราะไม่ได้เรียนด้านนี้มาโดยตรง เริ่มจากเรื่องแรกที่เขาแสดง ก้าวแรกแห่งการเรียนรู้ของเขาก็เปิดออก และเขา ก็ได้เดินมาทีละก้าวทีละก้าวอย่างนี้แหล่ะ

จริงๆแล้วสำหรับการตอบอย่างนี้ของเขานั้น พวกเราล้วนไม่พอใจ มันรู้สึกถอมตัวไปแล้ว ตัวเขาที่เป็นนักแสดงที่ดังไปทั่วโลกอย่างเขานั้น ก็เหมือนกับที่เคยพูดไว้ว่ามีคนจำภาพของเขาและหยุดเขาไว้เฉพาะในเรื่ององค์หญิงกำมะลอ บางคนจำภาพของเขาเก่าล้าสมัยกว่านี้ เขาอธิบายว่า หรือว่าเขาได้ผ่าฝันผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย หรือว่าความเชื่อพระพุทธศาสนาของเขานั้นซึ้งเกินไป ทำให้เขายังมีจิตใจที่มั่นคงอยู่เสมอ



ผมเคยถามเขา “คุณนั้นดังมาแต่เด็ก พูดง่ายๆคือคุณนั้นไม่เคยมีชีวิตที่ธรรมดาเลย ฉะนั้นการที่คุณกล่าวว่าจิตใจที่ปกติธรรมดากับจิตใจที่ปกติธรรมดาของพวกเรานั้นเหมือนกันไหม?เมื่อถามคำถามนี้กับเขา ก็เหมือนกับชาวฝรั่งที่มีลูกตาสีน้ำเงินมองเส้นด้ายกับคนเอเซียเราที่มีลูกตาสีดำมองเส้นด้ายมันต่างกันไหม

“น่าจะไม่เหมือนกัน จิตใจที่ปกติของผมนั้น ผมคิดว่าเป็นการที่ผมเข้าสู่วงการศิลปินมานาน หลังจากได้ผ่านร้องผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายแล้ว ตอนนี้มองจากทัศนะผมแล้วชื่อเสียงเกียรติยศเป็นสิ่งนอกกาย จริงๆแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมายกับสภาพจิตใจข้างในของคุณเลย และไม่สามารถใช้สิ่งเหล่านี้มาวัดมาตรฐานชีวิตของคนเราด้วย ฉะนั้นสำหรับความสำเร็จและความล้มเหลวของภายนอกนั้น ผมเองก็ไม่ค่อยใส่ใจมันนัก ผมจะใช้ท่าที่ที่ปกติมองมัน” โหย่วเผิงกล่าว่า อาจจะเป็นเพราะเขาประสบความสำเร็จในชีวิตเร็วเกินไปจึงทำให้ชีวิตของเขานั้นไม่มีหลัก แต่เขาในวันนี้นั้นก็รู้แล้วว่าหนักแน่นมั่นคงคืออะไร เขาไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งของภายนอกอีกต่อไป เรื่องการรับเล่นหนังก็เช่นกัน สำหรับเรื่องหน้าที่การงานแล้ว จะเล่นหนังนั้นจะไม่คิดเรื่องที่ว่าเล่นแล้วจะดังไหม เขาให้น้ำหนักไปทางสนุกน่าสนใจไหมมากกว่า

ตามที่รู้กัน ในแวดวงบังเทิงนั้นไม่ขาดสาวกพระพุทธเจ้าเลย ฉะนั้นสำหรับพวกเราที่เป็นคนสามัญแล้ว ไม่รู้ว่าเรื่องความเชื่อศาสนาสำหรับพวกเขาแล้วคิดกันอย่างไร โหย่วเผิงบอกว่าตอนที่อยู่มัธยมปลายก่อนจะสอบเข้ามหาลัยนั้นเขาก็ดังแล้ว เขาในตอนนั้นที่ตกอยู่ในสายตาของคนนับหมื่นที่ใช้เวลาเรียนแค่หนึ่งปีกับหลักสูตรที่จะต้องเรียนกันสามปี เขาในตอนนั้นก็เริ่มเชื่อในพระพุทธ “ ความเชื่อนั้นช่วยผมมากมาย เพราะตอนนั้นยังเยาว์วัยมาก ความกดดันในตอนนั้นที่มีนั้นมันมากเกินที่อายุในตอนนั้นจะแบกรับไหวได้

ตอนนั้นศาสนาทำให้ผมมีสมาธิ ได้ช่วยให้จิตใจผมปกติมากขึ้น เริ่มจากตอนนั้นก็ได้มีความเกี่ยวข้องกับพุทศาสนาแล้ว ตอนหลังผมอายุ 20  ผมเองก็มีโอกาสเป็นศิษย์ของพระพุธทเจ้าแล้ว แต่การเป็นศิษย์คือการเป็นสาวกคนหนึ่ง ตอนหลังก็เริ่มเรียนหลักพระธรรมต่างๆ รู้สึกคำสอนนั้นมีหลักมาก เพราะว่าตอนนี้อย่างไรก็ไม่ได้เข้าสู่การทำงานอย่างเต็มตัว ฉะนั้นการบ้านที่จะทำในตอนนี้คือการศึกษาคำสอนหลักธรรมแล้วนำมาประยุกค์ใช้ในชีวิต เพื่อจะให้คำสอนนั้นสอดคล้องใช้ได้กับชีวิตจริงๆได้
 
คนล้วนบอกว่าการเป็นผู้เชื่อในพระพุธทนั้นล้วนเป็นคนที่มีจิตเมตตา โหย่วเผิงก็ไม่นอกเหนือ ในเวลาที่ยุ่งนั้น เขาก็ยังเจียดเวลามาทำในสิ่งที่เป็นบุญกุศล โหย่วเผิงให้ความสำคัญกับการศึกษาของเด็กอย่างมาก “ผมคิดว่าสำหรับคนจีนแล้ว วันนี้วัตถุนิยมมันก้าวหน้ามากแล้ว และสิ่งหนึ่งที่จะสร้างให้เข้มแข็งคือการศึกษา มันจะช่วยเราให้มีชีวิตที่ดีขึ้นเยอะ ไม่เพียงแค่สิ่งที่ทุกคนพูด ในที่ที่ยากจนนั้นการศึกษาก็สามารถทำให้มั่งคั่งได้ สามารถเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ มันเป็นทั้งระบบของประเทศเลย”



Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 Fashion Weekly
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: ธันวาคม 22, 2016, 12:22:21 PM »








Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 Fashion Weekly
« ตอบกลับ #6 เมื่อ: ธันวาคม 22, 2016, 12:24:58 PM »

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 Fashion Weekly
« ตอบกลับ #7 เมื่อ: ธันวาคม 22, 2016, 12:25:34 PM »

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
Re: 2009 Fashion Weekly
« ตอบกลับ #8 เมื่อ: ธันวาคม 22, 2016, 12:26:02 PM »

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด