ผู้เขียน หัวข้อ: [05-พ.ย.-2009] โหย่วเผิง เป็นกระเทยแต่แข็งกระด้าง  (อ่าน 7658 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด

5 พฤศจิกายน 2009  (จางอี๋เถีย) ชายชาตรีแต่มีจิตอ่อนโยน (โหย่วเผิง) เป็นกระเทยแต่แข็งกระด้าง

(โหย่วเผิง) โด่งดังแต่อายุ 15  แต่ (จางหันอี๋) นั้นต้องรอจนถึง 20 ปีถึงค่อยดัง ไม่ว่าจะดังช้าหรือเร็ว ทำอย่างไรถึงสามารถปรับตัวอยู่ในแวดวงสีเสียงที่ล่อใจได้ นั่นถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญของเหล่าศิลปิน

ขณะที่ได้อ่านข่าวภาพยนตร์เฟิงเซิงที่สร้างรายได้กว่าเก้าพันล้านนั้น ดาราไต้หวันคงจะไม่ค่อยรู้จัก  (จางหันอี๋) ที่ได้รับรางวัล (หยิ่งตี้:SUPERSTAR) ในปีที่แล้วนั้น บทบาทนั้นเป็นชายชาตรีที่ถูกทรมานแบบชายธรรมดาสามคนก็ยังทนไม่ไหว (ไกวๆหู่) ที่เราคุ้นเคยนั้น เล่นในบทที่อยู่ในบ้าน

แต่ว่าชีวิตจริงเราไม่เหมือนละคร  จะแสดงก็ไม่สามารถแสดงออกมาได้ (จางหันอี๋) ที่ดูแล้วเหมือนกับเข้มแข็งชาตรี แต่ในชีวิตจริงนั้นเป็นคนที่ตลกขำขัน ไม่เพียงแต่กลัวคนอื่นร้องไห้ยังหูเบาอีกด้วย (โหย่วเผิง) ในจอภาพยยนตร์นั้น เมื่อเจอกล้องแล้วจะแข็งกระทื่อ ร้อยต่อร้อยจะมีความคิดของตัวเอง ไม่ยอมทำตามสิ่งที่ช่างภาพบอก คนหนึ่งเป็นชายชาตรีคนหนึ่งเป็นชายอ่อนสุภาพ โหย่วเผิงดูเหมือนอ่อนโยนแต่ข้างในแข็ง

อดีตเคยได้รับฉายาไกวๆหู่ แต่โหย่วเผิงบอกว่าตัวเองเป็นเด็กดื้อมาตลดอดเวลา เวลานี้ทางเสี่ยวหู่ตุ้ยจะรวมตัวอีกครั้ง กลัวแต่แป็นเพียงข่าวลอยเท่านั้น 

เห็นบุคลิกที่เป็นเหมือนกระเทย สามารถบอกได้ว่าในวงการภาพยนตร์นั้นเป็นสิ่งที่ยากสำหรับ (โหย่วเผิง)  เมื่อเจอนอกจอไปถามว่าเขามีจิตใจที่เป็นอย่างนี้หรือเปล่า (โหย่วเผิง) เลี่ยงตอบอย่างชัดเจน แม้กระทั่งมีจิตใจเป็นอย่างนั้นหรือเปล่าแค่ประโยคนี้ก็ไม่ยอมพูดแล้ว จะบอกว่า (โหย่วเผิง) นั้นป่วยทางจิตไม่ได้ บอกได้เพียงว่าเขานั้นทำได้อย่างเนียน ไม่ว่าจะเป็นการอิงกับในบทหรือว่าได้อารมณ์ มีเพียงผู้ชมเท่านั้นถึงสามารถตอบได้


โหย่วเผิง ::  บทที่ผมเล่นนั้นไม่มีตัวอย่างของใครที่จะให้เป็นไกด์ลายแสดง แน่นอนเรื่อง (ป้าหวังเปี๋ยจี้) หรือ (เหมยหลันฟาง)เรื่องเหล่านี้ก็เคยดู แต่เรื่องเหมยหลันฟางภาคไต้หวันนั้นใช้คนละคนแสดง แน่นอนคงไม่เหมือนกับที่ (ก๋อหยงเหยียน) แสดง แต่บทที่ผมเล่นนั้นจะสง่าและมีคุณธรรมสูง คนรักและหยิ่ง ไม่ว่าจะในเวทีหรือนอกเวที จะมีบุคลิกที่เป็นหญิงหน่อย 

ไม่ได้ตั้งใจเลียนแบบใคร แต่ว่าผมรู้สึกว่ารอบข้างก็จะมีแบบว่า (หัวอกเดียวกัน) จริงๆแล้วไม่ใช่ว่าคุณไม่รู้ความหมายนั้น ผมอยากจะเน้นว่าผมไม่ใช่คนอย่างนั้น หากว่าด้วยบทที่แสดงมันเหมือนกับว่าผมเป็นคนหัวอกเดียวกันแล้ว แสดงว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จแล้ว นี่ก็นับตามความคาดหมายไว้เหมือนกัน ดีกว่าจะบอกว่าแสดงได้ไม่เหมือนเลย

นักแสดงต้องแสดงอารมณ์สมจริงให้ได้ อะไรที่ต้องเก็บไว้ อะไรที่ต้องปล่อยไป ก็คือพึ่งตัวเองเตรียมบทวางแผนบทไว้ให้ดีๆ ผมเคยถาม (โจวซิ่น)  “จากประสบการณ์ของเธอแล้ว ใช่หรือไม่ฉากที่เมาเหล้าต้องดื่มให้เมาก่อน?” เธอตอบว่า “ใช่แล้ว เพราะสายตานั้นสามารถดูออกว่าเมาหรือไม่เมา”
 

จาง ::  จะต้องวางแผนให้รัดกุมไม่มีจุดให้จับถึงจะดี อู่จื้อก๋อที่ผมแสดงนั้น หากว่าเข้ามาก็ถูกผู้ชมดูออกว่าผมเป็นสายลับ ก็ถือว่าผมแสดงได้ล้มเหลวมากๆ เพราะผู้ชมยังดูออก แล้วศัตรูเป็นปัญญาอ่อนหรือถึงดูไม่ออก ฉะนั้นต้องแข็งใน เปิดเผยแต่ไม่ให้รู้

หลังจากเรื่อง (จี้เจียห้าว)แล้ว ปีครึ่งที่ผมยังมีความรู้สึกกับเรื่องนี้อยู่ การประพฤตินั้นก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ สายตาก็ยังค้างอยู่กับเรื่องที่แสดง แม้กระทั่งฝันก็ยังรู้สึกอย่างนั้น จริงๆแล้วผมถูกบททำให้เป็นอย่างนี้ ตอนนี้มีหลายคนเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ผมคนเดียว ผมเองก็เริ่มชินแล้ว


ในเรื่องเฟิงเซิงนั้น (โหย่วเผิง) แสดงได้สมจริงเหมือนคนหัวอกเดียวกันเลย แต่ที่น่าเสียดายการร้องละครเพลงนั้นถูกตัดทิ้งหมด


ชายที่เข้มแข็งก็กลัวแมลงสาป

ก่อนนี้เห็นผู้กำกับหม่า ตอนมาร่วมงาน “ราตรีหัวอี้” ได้นำดารามาด้วยสิบแปดคน และดาราไต้หวันพูดสำเนียงเสียงหวานมาก ทำให้ดาราจีนก็คอยเลียนแบบไปด้วย จางหันอี๋ ที่เป็นเพื่อนผู้กำกับหม่านั้นได้ยินแล้วปากค้างเลย เมื่อถึงเวลาถ่ายรูปนิตยาสารรายสัปดาห์ ได้หยิบเครื่องแต่งหน้ามาแต่งเอง ผมยังต้องเชิญเขาด้วย “พี่จาง ช่างทำผมผมก็เชิญมากแล้ว เงินก็ชะระแล้ว คุณใช่เขาหน่อยเถิด” จางหันอี๋กล่าวว่าชีวิตเขานั้นสุดประหยัด

จาง ::  คนอย่างผมสมองนั้นใช้ยาก ทำไม่จะต้องมีคนมากมายมาช่วยผมคิดด้วย ขอเพียงมีผุ้ช่วยดูแลผมเพียงคนเดียวก็พอแล้ว ชีวิตผมนั้นจะแย่หน่อย เช่นการจัดกระเป๋า เรื่องนี้สำหรับผมเองนั้นใช้ไม่ได้เลย ผมจะยัดมันเข้าไปเป็นกอง สุดท้ายจะหาอะไรก็ไม่เจอ จริงๆแล้วผมไม่อยากเป็นอย่างนั้น


โหย่วเผิง ::  เสน่ห์กับการซื้อตั๋วนั้นมันเปรียบกันไม่ได้ จำเป็นหรือไม่ที่จะใช้คนมากมายมา จริงๆแล้วการใช้เงินนั้นควรเป็นประโยชน์

จาง ::  ผู้กำกับหม่าว่า ตอนนี้ดาราสมัยใหม่ของจีนนั้นเลียบเสียงหวานแบบดาราไต้หวัน เรื่องนี้มันดูเหมือนขำขันนะ

โหย่วเผิง :: ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ปกติ (นักข่าว) ทำไมเห็นดารารุ่นใหม่นั้นไม่เห็นแมนๆเลย?  ผมรู้สึกว่ามีสไตล์แบบ F4 อย่างนั้นมากกว่า

ชีวิตจริงผมกับในจอนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง เรื่องเหล้าคอผมอ่อนมาก ดื่มเยอะหน่อยก็จะหน้าแดงหน้าดำเลย ทรมาน ผมเป็นชายรักบ้าน ไม่มีอะไรผมก็จะกลับบ้านไปเล่นที่บ้านมี ของโบราณให้ดู
 
แมลงสาปกับหนูนั้นผมไม่ค่อยชอบ เห็นพวกมันเดินออกมาผมก็รีบวิ่งเลย ผมกลัวคนร้องไห้ ร้องไห้แล้วผมก็ไม่รู้จะไง ผมกลัวคำหวานๆ คนอื่นขอร้องให้ผมทำอะไรแล้ว แค่พูดคำซึ้งๆผมก็ใจอ่อนแล้ว ผมกลัวสิ่งเหล่านี้ ตอนหนุ่มๆนั้นเรื่องไม่ให้ยืมเงินนั้นไม่เคยมีเลย
 
เมียนั้นผมไม่กลัว กลัวทำไม? ทองแท้ไม่กลัวไฟ เราสองคนเป็นนักศึกษาด้วยกัน โตมาด้วยกัน หากไม่เข้าใจกันก็คงไม่ไปด้วยกัน

ปีที่แล้วได้รับรางวัล (จิงหม่าหยิ่งตี้) ที่ไต้หวัน จางหันอี๋กล่าวว่าคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ในบทที่แสดงเป็นคอมมิวนิสนั้นแต่กลับได้รับรางวัลในกัวหมิงตั่น (สองพรรคนี้ไม่ถูกกัน)

จาง ::  เรื่องการแสดงนั้นใครก็อย่าไปบ่นว่าแก่แล้วดังยาก ไม่มีใครสามารถเป็นผู้ชี้ทางได้ หากไม่ได้ก็คือฝีมือยังต้องฝึกฝน หากมีโอกาสผ่านมาก็ให้รีบๆฉวยไว้


ผมอายุ 20 กว่าแล้วค่อยมาฝึกตัวเองเป็นคุณผู้ดี ไม่เคยหยุด ฝึกฝนตลอด ตอนหลังมันไม่น่าดู มันแข็งมาก ถ่ายออกมาแล้วดูทึ่มๆ ดูอย่างไรก็เหมือนขยับไม่เป็น ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนมืออาชีพ ผมก็เริ่มวิ่งเป็นเวลาเจ็ดเดือน สุดท้ายหายหมด หากผมตั้งใจจะทำไรแล้ว จะทำให้ถึงที่สุด เหมือนกับการวิ่ง วิ่งจนมืด

 ตอนถ่ายเรื่อง(จี้เจียห้าว) เฉินก๋อฟู่เป็นผู้คุมดูแล ครั้งหนึ่งตอนประชุมเขาพูดว่า “นี่เป็นเรื่องจริงๆ เป็นไปได้ไหมที่จะไม่ใช้ดารา” สุดท้ายสามารถเลือกผู้ที่จะเป็นพระเอกสิบสองคน ผมก็ลองมาทดสอบว่าผ่านรับการคัดเลือกไหม ผมพูดกับผู้กำกับว่า คุณลองให้ผมเล่นดูสักตอนได้ไหม เขาหัวเราะแล้วไม่พูด สุดท้ายทางนักข่างถาม “ตอนนั้นทำไมคุณไม่ให้เขาแสดง” ผู้กำกับบอกว่า “ผมกลัวว่าเขาลองแสดงเสร็จแล้วก็ไม่ให้เขาแสดง เขาจะเสียใจ”
 

จากนั้นผ่านไปสองสามเดือนมีการมาบอกข่าวกับผม แน่นอนผมตกใจมาก ไม่ใช่สามารถแสดงเป็นพระเอก แต่บทของกู่จื่อตี้นั้นเป็นที่สนใจผมมาก ตอนนั้นได้ใช้ชีวิตของกับเขาครึ่งปี กินอยู่ด้วยกัน สามารถเป็นตัวของเขาได้ บทกู๋จื่อตี้นี้ในเรื่อง(จี้เจียห้าว)นั้นเป็นจุดพลิกผันชีวิตของจางหันอี๋ จากค่ายแสดงเล็กๆ สามารถอยู่ในแนวหน้าของวงการนักแสดง

ภาพลักษณ์ในจอภาพยนตร์ของ (จางหันอี๋) กับ(โหย่วเผิง)  เป็นการเปรียบระหว่างชายชาตรีกับกระเทย แต่ชีวิตส่วนตัวของเขาทั้งสองนั้นกลับตรงกันข้าม (จางหันอี๋) เป็นชายที่สุขภาพและรักบ้าน (โหย่วเผิง) เป็นคนที่มีหลักการและทำตามสิ่งที่ตนเองคิดวางไว้เท่านั้น

(เฟิงเซิง) พูดเรื่องความลึกลับและเรื่องนิสัยคน (โหย่วเผิง) ก็เคยเจอเมื่อชีวิตเจอกับผลประโยชน์กับอำนาจแล้วจะเปลี่ยนไป “ตอนที่ไปถ่ายทำที่จีน เคยเจอคนอื่นมาแย่งบทอย่างซึ่งๆหน้า ไม่ว่าจะเป็นการยัดเงินให้หรืออะไรหลายอย่าง”  (จางหันอี๋) ที่อยู่ในวงการ 20 ปีถึงได้ดังประทับใจประโยคหนึ่ง “เรื่องราวต่างๆจะร่วงไปตามเวลา ต้องดูและตามให้ทัน”  จางหันอี๋ พูดว่า “ตั้งแต่โบราณกาลมา มีหลายเรื่องที่เด่นแต่ก็ต้องศูนย์สิ้นไป แล้วทำไมจะต้องไปถือสามันด้วย”  ทุกอย่างควรดูให้ไกลหน่อย”
 
อย่าบอกว่าชายหนุ่มสองคนนี้มีอารมณ์พูด นักข่าวหลายคนก็เจอดาราหลายคนเมื่อเจอคำถามแทงใจแล้วทำเป็นไม่ยอมตอบ กลับโมโหใส่ด้วย เสียดายดาราเหล่านี้นั้นไม่ใส่ใจในหน้าที่การงานเท่าที่ควร ไม่อย่างนั้นรางวัลต่างๆคงไม่น้อยกว่า 4 หรือ 5 รางวัลที่จะได้รับ


ไฉ่หลินเป็นเรื่องล้อเล่น

ตั้งแต่เข้าสู่วงการบันเทิงโหย่วเผิงมีข่าวฉาวแค่สองเรื่อง นอกจากเรื่องหลินซินหยูแล้ว อีกคนคือหญิงที่ร่วมถ่ายภาพยนตร์ด้วยกันคือดาราสาวเกาหลี สามปีก่อนไฉ่หลินประกาศหย่า มีข่าวว่าโหย่วเผิงเป็นมือที่สาม พูดไปแล้วเป็นเพราะปัญหาก็มาจากภายนอก จริงๆแล้วนิสัยที่ดื้อๆ แม้จะแต่งงานก็ยังคิดถึงเรื่องของหลิวเต๋อหัวเลย โหย่วเผิงที่หวงหน้าหวงหลังนั้น กลับได้ฉายาว่าไกวๆหู่มันไม่เหมาะกับเขาเลย

โหย่วเผิง ::  ปีครึ่งแล้วที่ผมไม่มีแฟน ตอนนั้นมีข่าวว่าผมเป็นมือที่สามของไฉ่หลิน เกิดจากการที่ผมพูดเล่น ผมคิดว่าผมกับเธอนั้นสนิทกัน นักข่าวถามผมว่าเขาจะหย่าแล้ว ผมก็ล้อเล่นว่าเป็นผมเอง สุดท้ายถูกไฉ่หลินปฏิเสธ เธอบอกว่าสังคมเกาหลีนั้นจะอนุรักษ์นิยม การพูดเล่นอย่างนี้ไม่ควรเลย..

คุณแม่พูดกับผมว่า ความรักนั้นรักง่ายๆได้ แต่การจะแต่งงานนั้นต้องระวัง เพราะเป็นเรื่องตลอดชีวิต เพียงแค่ยังไม่เจอคนที่โอเคเอง เรื่องนี้ช้าเร็วก็ต้องจัดการให้เรียบร้อย เหมือนกับ (หัวจื่อ) ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง ผมยังไม่เคยคิดให้รอบคอบว่าเรื่องอย่างนี้ควรจะทำอย่างไร


นักข่าว ::  มีข่าวว่าตอนนั้นเสี่ยวหู่ตุ้ยวงแตกกับตอนนี้จะมีการมารวมกันใหม่นั้น  ปัญหาหลักนั้นอยู่ที่คุณ?

โหย่วเผิง ::  การที่แยกทางนั้นเพราะ (จื้อเผิง) ต้องไปเกณฑ์ทหาร พวกเราสามคนเคยคุยกัน ผมจะไม่ไปทำเรื่องอย่างนี้ง่ายๆ หากว่าเป็นการที่ทุกคนมาแสวงหาประโยชน์นั้น เป็นสิ่งที่ไม่สมควร ..ผมรู้สึกว่าสำหรับเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นผมผูกพันมากๆ เพียงแต่ว่าจะทำอย่างไรนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญ

ผมได้ร่วมทำประโยชน์กับทุกคน เรื่องอย่างนั้นมันง่ายกว่าเยอะ การที่ต่างคนออกอัลบั้มนั้น ผมก็คิดว่ามีความเป็นไปได้