ผู้เขียน หัวข้อ: [02-พ.ย.-2009] โหย่วเผิงได้เปลี่ยนไปดังหน้ามือเป็นหลังมือต่อหน้าผู้ชม  (อ่าน 7451 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด

2 พฤศจิกายน 2009  โหย่วเผิงได้เข้าสู่ ภาคเหนือ ได้เปลี่ยนไปดังหน้ามือเป็นหลังมือต่อหน้าผู้ชม

เสื้อแจ๊คเก็ทสีเทา แว่นตาสีดำ ใต้คางไว้หนวดนิดๆ คืนนี้สามทุ่มโหย่วเผิงได้เสร็จสิ้นจากหน้าที่การงาน อ่อนเพลียเล็กน้อย เขาที่นั่งต่อหน้านักข่าวนั้นไม่มีภาพของไกวๆหู่หลงเหลืออยู่เลยสักนิดเดียว

โหย่วเผิงไม่อยากเป็นขวัญใจอีกต่อไป

เขาเกลียดการอนุรักษ์อย่างเดิม เขาไม่อยากจะเป็นขวัญใจอีกต่อไป เขาเลยใช้ถ้อยคำแห่งการตัดสินใจมาประกาศถึงแจตนารมณ์ในการจะทะลุทะลวงภาพลักษณ์เก่าของตัวเอง

หลังจากสองปีที่ได้เงียบไป ไกวๆหู่นั้นได้พลิกบุคลิกตัวเอง รับเล่นไป๋เสี่ยวเหนียนซึ่งเป็นนักร้องละครเพลงในเรื่องเฟิงเซิง หลังจากที่ผู้กำกับหม่าได้ดูเรื่องนี้จบแล้วบอกว่า “ผมยังคิดว่าเขานั้นแสดงเป็นแต่บทผู้ดีๆเท่านั้น ในเรื่องเฟิงเซิงนั้นเขาเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเลย”

สำหรับโหย่วเผิงแล้ว การเล่นบทของไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นสิ่งที่ยากที่สุดคือบุคลิก วันแรกที่เปิดกล้อง โหย่วเผิงรู้ดีว่าประสบการร์การแสดงในสิบปีที่ผ่านมานั้น มันไม่ได้ช่วยในเรื่องนี้สักนิดเดียว

ตอนที่ได้รับเนื้อบทของเฟิงเซิง โหย่วเผิงรู้ว่าโอกาสมาแล้ว แต่จะแสดงได้ดีขนาดไหนนั้น ตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจ “บทไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นเป็นสิ่งที่ท้าทาย ขอเพียงแสดงได้ดี จะกลัวทำไมมือใหม่โอกาสที่จะดังชั่วคำคืนนั้นก็มี โอกาสอย่างนี้นั้นไม่มีใครจะมีเหตุผลปล่อยมันหลุดไป ไม่สำเร็จก็ไม่อาย แต่ถ้ากลัวซิถึงจะต้องอาย”

การแสดงเฟิงเซิงแน่นอนเป็นการพนันกัน การที่ได้แสดงกับมืออาชีพอย่าง (โจวซิ่น) (จางหันอี๋) (หวังจื้อเหวิน) นั้นก็จะทำให้เห็นถึงฝีมือการแสดงว่าเป็นอย่างไรได้ชัดเจน หากแสดงได้ดีก็มีแววต่อ หากแสดงไม่ดีก็คงต้องดับ”

โหย่วเผิงกล่าว  การจะเล่นบทไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นยากตรงบุคลิก “ภาพยนตร์นั้นเป็นการเล่นศิลปะที่สูงมาก ผมเองก็ไม่ได้เป็นนักร้องละครเพลงมาก่อน การที่จะมีบุคลิกในสายเลือดสะท้อนออกมานั้นมันยากจริงๆ”

เริ่มจากการแต่งตัว โหย่วเผิงเองก็รู้สึกถึงการไม่พร้อม จริงๆแล้วตอนเริ่มถ่ายทำนั่นตัวเองเล่นได้ไม่ดีเลย “วันแรกที่ถ่ายทำคือตอนที่พวกเราถูกขังในจวน ไป๋เสี่ยวเหนียนฟังเพลงอยู่ในห้อง หวนคิดถึงอดีตที่ร้องเพลง ตอนนั้นผมนั้นมือไม้สั่นไปหมด ต้องจำเนื้อ ต้องปรับเสียงการร้อง ต้องท้องบท ยังจะต้องทำท่า ไม่ว่าจะถ่ายอย่างไร มันออกมาไม่เหมือนเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าขาดเกินตรงไหนบ้าง” ความทุกข์ทรมานในช่วงนั้น ทำให้เขาฝังใจ “ผมรู้สึกว่าตอนนั้นตัวเองน่าสงสารมาก ประสบการณ์แสดงสิบปีของผมนั้นไม่สามารถช่วยอะไรผมได้เลย อะไรก็ทำไม่ถูก”

สภาพอารมณ์อย่างนี้มีไปถึงเที่ยงวันที่สอง หลังกินข้าวเที่ยงแล้ว ภายใต้ความกดดัน โหย่วเผิงได้เอาสิ่งที่ควรจำทั้งหมดจำไว้ สิ่งที่ควรลืมทั้งหมดให้ลืมมันไป หลังจากที่เสร็จสิ้นการถ่ายฉากกระเทยรอบแรกผ่านไป ในที่สุดโหย่วเผิงก็สัมผัสถึงอารมณ์ของไป๋เสี่ยวเหนียน

ละทิ้งภาพลักษณ์ การแสดงบทของไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นทำให้โหย่วเผิงยิ่งแสดงยิ่งมั่นใจ ไม่ว่าจะยกไม้ยกมือบุคลิกนั้นเหมือนนักร้องละครเพลงมากๆ ฉากที่ถูกขังที่จวน ตอนที่ขึ้นบันไดนั้น โหย่วเผิงที่เดินขึ้นคนแรกนั้นก็โดนทีมงานแซว “พวกเขาบอกว่า ไป๋เสี่ยวเหนียนนี่เวลาเดินเหมือนกระเทยจริงๆ” ตอนนั้นโหย่วเผิงก็รีบที่จะตอบกลับไปเลย “เป็นอย่างนั้นเพราะเสื้อเอี้ยมที่สวมนั้นทำให้เห็นเอว อย่าคิดว่าผมเป็นคนอย่างนั้นสิ”
 
เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ ทุกคนก็จะใช้ชื่อในเรื่องเรียกกัน และฉายาของไป๋เสี่ยวเหนียนนั้นจะเป็นคำที่ว่า “ไม่เชื่อว่าคุณจะแมนได้” คำนี้แทนการเรียกเขา ตอนหลังมีคนก็ล้อเขาเล่นว่าเขานั้นเป็นกระเทยไปแล้ว เขาก็รีบตอบกลับเลยว่า “ทุกคนก็ล้วนเป็นนักแสดง ก็รู้ดีว่าการจะแสดงให้ดีนั้นต้องอิงกับบท ฉะนั้นพวกเรามักจะใช้ไป๋เสี่ยวเหนียนมาล้อเล่นกัน”



ในจอถ่ายแค่นาที ตอนซ้อมนั้นเกือบสิบปี โหย่วเผิงกล่าว ช่วงเวลาที่เรียนร้องละครเพลงนั้น ขวัญผวามาก

ไป๋เสี่ยวเหนียนเป็นนักร้องละครเพลง สำหรับโหย่วเผิงที่ไม่เคยร้องละครเพลงเลยนั้น หลายอย่างก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ “ตอนนั้นอีกสามเดือนก็จะเปิดกล้อง ผมยังถ่ายทำเรื่อง(ตามหาพี่หลิวซัน) ก็รีบเชิญอาจารย์สอนร้องละครเพลงจากโรงเรียนปักกิ่งมา ก็จะซ้อมขณะที่ว่างจากการเข้าฉาก นอกจากนี้ โหย่วเผิงก็ยังเสริมเทคนิคโดยการดูภาพยนตร์เรื่องที่มีความเกี่ยวข้อง ก็ค่อยๆที่จะเข้าใจบุคลิกของคนร้องละครเพลงในสมัยนั้น” เวลาผ่านไป โหย่วเผิงรู้สึกถึงความงามของละครเพลง “สิ่งที่บรรพบุรุษสืบทอดมานั้นเป็นศิลปะที่ดีงามจริงๆ หากที่ไหนมีการแสดงพวกนี้ ผมก็จะไปชม ไม่แต่ การที่ผมไปเรียนมันก็เป็นคนละเรื่องกัน”

“การเรียนละครเพลงนั้น การร้องยากกว่าหรือว่าท่าทางสายตายากกว่า”


“อย่างน้อยก็มีพื้นฐานการร้องเพลงมา ฉะนั้นการร้องนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ง่ายกว่า” โหย่วเผิงกล่าวต่อว่า “สำหรับท่าทาง สายตา มันทำให้เราแทบจะตายเลย ช่วงที่เรียนนั้นสามารถมาคำว่า ขวัญผวา คำนี้มาเปรียบเทียบเลย ปกติแล้ว หากช่วงไหนที่ผมไม่ได้เข้าฉาก ผมก็จะไปเรียนกับอาจารย์ที่ปักกิ่งเลย ทุกวันไปถึงห้องเรียนก็เริ่มซ้อมพื้นฐาน ร่ำ ร้องนั้นทำให้เอวแข็งทื่อ ทุกครั้งที่ซ้อมเสร็จ เอวแทบจะงอไม่ได้เลย”
 
โหย่วเผิงกล่าวว่า การอิงไปกับสถานการณ์นั้นเป็นเคล็บลับที่สำคัญ “อาจารย์ทำท่าไปด้วย แล้วยังเล่าให้ผมจิตนาการณ์ไปด้วย “คุณดูซิ มันสวยงามมากๆ ธรรมชาติงามหิมะตก” หากวันไหนอารมณ์ผมไม่ดี ก็ไม่สามารถที่จะอิงกับบทได้ มันมีข้อบังคับอะไรมากมาย มือต้องอยู่ตรงนี้ จะอยู่ที่นั่นไม่ได้”

“เพราะว่าทุกวันไม่สามารถมีอารมณ์แบบอ่อนโยนอย่างนั้นได้ ฉะนั้นทุกครั้งที่เข้าห้อง หรือว่าทุกครั้งที่จะเข้าฉาก ผมก็ต้องใช้เวลาทำใจให้อิงในอารมณ์ ปกติเวลาถ่ายทำนั้น ก็เหมือนกับเป็นวิญญาณอย่างนั้นลอยไปลอยมา เหมือนกับไป๋เสี่ยวเหนียน มีท่าทางอย่างนี้จนติดนิสัย”

สำหรับเรื่องฝีมือการแสดงจากมือใหม่ที่ไม่เคยมีความมั่นใจ แต่ได้รับรางวัลนั้นเป็นสิ่งที่ให้กำลังใจมาก แต่ที่เสียดายคือ โหย่วเผิงกลายเป็นเพรชที่ถูกลืมใน (รางวัลจิงหม่า/Golden Horse Awards)
 
หลังจากที่เรื่ององค์หญิงกำมะลอแล้ว โหย่วเผิงเล่นเป็นพระเอกในหลายๆเรื่อง จาก ฮัวบ่อข่วยในเรื่อง (เดชเซียวฮื่อยี้)  เตียบ่อกี้ในเรื่อง(ดาบมังกรหยก) จนถึง ลู่เอินฉี่ในเรื่อง(รักข้ามขอบฟ้า) โหย่วเผิงไม่เคยที่จะหลุดพ้นจากบทที่เป็นผู้ดีเลย  “ผมไม่มีความอดทนในการรอคอยที่จะอยู่ในที่เดิม ก่อนหน้านี้เพราะเหมือนเป็นคนดีมาก ทำให้ทุกคนเข้าใจผมผิด จนถึงวันนี้ไป๋เสี่ยวเหนียนประสบความสำเร็จแล้ว ถึงทำให้ทุกคนรู้จริงๆว่า แท้จริงโหย่วเผิงนั้นดื้อเหมือนกัน”



ปีที่แล้วโหย่วเผิงได้เล่นเรื่องหนึ่งคือ (เย้ออ้าย)  ในเรื่องนั้นเขารับบทเป็นผู้ป่วยทางจิตคนหนึ่ง “ผมอยากจะลองเล่นบทที่ตรงข้ามกันบ้าง”

ไม่ว่าจะเป็นคนป่วยทางจิต หรือจะเป็นนักร้องละครเพลงที่เปรี้ยวๆ สำหรับโหย่วเผิงนั้นการเลือกบทนั้นก็ใส่ใจเหมือนกัน “หากว่าไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ชมไม่ยอมรับ ผมก็ต้องตัดสินใจโบกมือลา”


“จะไม่หันกลับไปเล่นบทผู้ดีอีกหรือ?”

“ไม่แล้ว หากไม่อย่างนั้นผมคงไม่หยุดรอโอกาสหรอก” โหย่วเผิงตอบได้เร็วมาก และหนักแน่นด้วย
 
สองสามวันก่อน จิงหม่า (Golden Horse Awards) ได้ประกาศรายชื่อผู้จะรับรางวัล โหย่วเผิงที่อยู่อันดับห้ากลายเป็นผู้ถูกลืม เมื่อเอ่ยเรื่องนี้ เหมือนโหย่วเผิงจะตกหล่น “เดิมทีผมไม่กล้าคิดที่จะรับรางวัล แต่ว่าในรายชื่อที่จะประกาศนั้น จริงๆแล้วตอนนั้นผมไม่มีไรทำ ก็เข้าไปเล่นเน็ต ไปดูว่าเขาวิจารณ์บทไป๋เสี่ยวเหนียนอย่างไรบ้าง ตอนหลังผมมาคิด พรุ่งนี้ประกาศรายชื่อคงมีอะไรที่น่าตื่นเต้น ฉะนั้นตอนที่ประกาศรายชื่อนั้น ก็เหมือนกับว่าผมตกหล่น”

หลังจากเฟิงเซิงแล้ว เดิมทีเหมือนกับว่าโหย่วเผิงได้เบิกเส้นทางใหม่ แต่ตอนหลังกลับได้รับบทที่จะให้เล่นนั้นก็ยังเป็นบทผู้ดีอยู่ดี “มีผู้เขียนบทหลายคนบอกว่าผมเป็นคนที่ออกร่าเริง” สำหรับเรื่องต่อไปจะเล่นบทอะไรนั้น โหย่วเผิงกล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่ได้คิดอะไร เฟิงเซิงได้ให้โอกาสกับผม นี่เป็นจุดเริ่มต้นด้านภาพยนตร์ของผม เรื่องต่อไปที่จะเล่นนั้นมีความสำคัญกับผมมาก เมื่อเล่นเรื่องเฟิงเซิงแล้วผมไม่อยากจะกลับไปรับบทผู้ดีอีกจริงๆ”


ฉายาที่ว่า เร่ร่อนที่ปักกิ่งนั้น โหย่วเผิงได้ซื้อบ้านที่นั่น หากว่างๆเขาก็จะไปเดินโต๋แต๋ที่ปักกิ่ง
 
หลังจากที่เซ็นสัญญากับค่ายหัวอี้ โหย่วเผิงได้ซื้อบ้านที่ปักกิ่ง ให้ฉายาตัวเองว่าเร่ร่อนที่ปักกิ่ง ไม่มีไรทำก็ไปเดินเที่ยวที่นั่น ส่วนมากแล้วเขาจะใช้เวลาในการเข้าฟิตเนส หากว่าเวลาว่างเยอะกว่านี้แล้ว โหย่วเผิงก็จะกลับไต้หวัน หาญาติพบมิตร หรือไปชิมอาหารที่อร่อย หรือว่าไปเฝ้าหน้าจอดูกีฬาเทนนิส “ผมคิดว่าโรเจอร์นั้นเป็นนักกีฬาที่เจ๋งมากๆ เขาเล่นได้อย่างสม่ำเสมอที่เดียว”

โหย่วเผิงได้คลุกคลีกับวงการบันเทิงมานับ 21 ปีแล้ว “ผมบ่นตลอดว่าจะไม่เป็นคนบ้างาน แต่ว่าเผลอทีไร ความคิดที่เพรอเฟรกก็เข้ามาทันที ขอเพียงมีงานก็จะทำเต็มที่ อย่างอื่นนั้นจะไม่สน”

ก่อนหน้านี้ (หลินจื้ออิง) ที่อายุไล่เลี่ยกับโหย่วเผิงได้โชว์รูปถ่ายของลูกชายตนเอง อายุ 36 อย่างโหย่วเผิงไม่คิดจะแต่งงานมีลูกเลยหรือ “ผมคิดว่าวาสนาการแต่งงานผมนั้นยังมาไม่ถึง ยังไม่เจอคนที่เหมาะสม การจะพูดเรื่องแต่งงานมีลูกก็ยิ่งแล้วใหญ่แล้ว หากว่าวันนั้นมาถึงจริงๆ ผมคงต้องลางานแสดงหลายปี ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้”