ผู้เขียน หัวข้อ: ESSAY 2: BE YOURSELF HAPPINESS IS IMPORTANT  (อ่าน 8086 ครั้ง)

Alec Love Me

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 13954
    • ดูรายละเอียด
ESSAY 2: BE YOURSELF HAPPINESS IS IMPORTANT
« เมื่อ: ตุลาคม 13, 2010, 11:58:27 AM »
2.Be Yourself (เป็นตัวของตัวเอง)



หากว่าตอนนี้ผมสามารถย้อนเวลากลับไปได้ ก็คงจะถามตัวเองว่าทำไมถึงอยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยนัก การสอบได้เป็นตัวแทนของอะไร มุมานะอ่านหนังสือทำไม ปัญหาเหล่านี้ทั้งต้องคิดและแบกรับไว้ ทั้งยังอยากต้องพยายามให้มากขึ้นไปอีกด้วย ใบรายงานผลการสอบของผมคะแนนก็ไม่ค่อยดีนัก ซึ่งผมเป็นคนที่ไม่คิดมากและเก็บเอาคำแนะนำของคนอื่น ๆ มาปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ เพราะผมต้องอยู่เพื่อตัวเองไม่ใช่เพื่อคนอื่น มันยากที่จะระบุลงไปว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นอดีตเมื่อเวลาผ่านไป และไม่มีคำว่า “ถ้า” ในสิ่งที่ผ่านไปแล้ว (นั่นคือเราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก หากมันผ่านไปแล้ว) สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่ได้เคยเขียนไว้ (เป็นตัวของตัวเองดีกว่า เพราะความสุขคือสิ่งที่สำคัญที่สุด) ในหนังสืออนุสรณ์ซึ่งมันเป็นข้อสนับสนุนที่ดีและทำให้เรามองโลกในแง่ดี

ตอนปี 1และปี 2 ผลการสอบของผมแย่มาก ที่ห้องเรียนก็ถือเป็นห้องสำหรับคนเก่ง ทั้งคณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษซึ่งเป็นวิชาที่ผมเก่งมาก ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นอะไรเวลาที่ต้องทบทวน ก่อนนี้คิดว่าสอบเข้าได้แล้วก็คงไม่มีอะไร เพียงแต่ตัวเองอ่านหนังสือตามสบายก็ทำได้แล้ว แต่ตอนปี 1 ที่นี่ อาจารย์ที่สอนคณิตศาสตร์ กลับไม่สอนตามบทเรียน เริ่มต้นมาก็สอนตรรกวิทยา เปรียบ P เป็น Q ผมรู้สึกประหลาดใจ บทเรียนข้างหน้าก็ข้ามไป บทเรียนที่แล้วก็ยังไม่ได้เรียน เจออุปสรรคการเรียนอย่างนี้ทำให้ผมเครียดมาก

ทุกครั้งที่มีการสอบต้องไปขอให้เพื่อนช่วย ทั้งยังต้องยืมสมุดเลคเชอร์ ถามถึงจุดสำคัญ ถึงวิธีการแก้ปัญหา แต่ตามปกติเพื่อนๆก็ไม่ค่อยสนใจผม ที่เจี้ยนจงในด้านการเรียนแล้วถือเป็นผู้นำ ทุกคนต่างก็ยอมรับว่าคนเรียนเก่งคือคนดี เขาไม่สนใจฐานะอื่นของผม ในห้องเรียนผมจึงเหมือนไม่ค่อยมีเพื่อนและยังไม่กระตือรือร้นที่จะสร้างมิตรภาพอีกด้วย

ผมเองก็มักจะต้องออกไปข้างนอก ไม่ค่อยได้เข้าเรียนเป็นประจำ หลายคนคิดว่าการไม่ได้อ่านหนังสือสอบเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง และนั่นก็คือความรู้สึกอันโดดเดี่ยวที่น่ากลัว จะไม่มีใครมาเห็นใจคุณ เขาจะมองคุณด้วยสายตาแปลกประหลาด หรือบางทีก็จะจ้องมองถึงจุดจบของคุณว่าจะเป็นอย่างไรเสียด้วย

มีอยู่ครั้งหนึ่งอาจารย์ (Zhang Fengying) ได้ชื่นชมผมในห้องเรียนถึงผลการสอบประจำเดือนที่ดีขึ้น แต่ว่ากลับมีเพื่อนคนอื่น ๆ ตำหนิว่า “ผมคงจะอายพ่อแม่มากเลย ถ้าแม้แต่ซูโหย่วเผิงก็ยังเอาชนะไม่ได้” ซึ่งจากเหตุการณ์ครั้งนี้มันได้สร้างรอยแผลเป็นในใจของผมเอาไว้ ในสายตาของคนอื่น ๆ ซูโหย่วเผิงก็เหมือนเสือเชื่อง ๆ ตัวหนึ่งที่ต้องแบกรับภาระมากมายซึ่งแพ้ไม่ได้และผลการสอบที่ดีเท่านั้นที่จะเป็นตัวบอก ผมเคยเดินไปตามถนนแล้วได้ยินคุณแม่คนหนึ่งบอกลูกของเธอว่า “อย่าเป็นเหมือนเสือเชื่อง ๆ ที่ภายนอกมองดูดีเหมือนดาราแต่ไม่มีความรู้และไม่มีอนาคตอะไร” จากวันนั้นผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนเพื่อกำจัดฝันร้ายเหล่านั้นออกไปจากใจ ผมสามารถลืมชื่อเสียงและคำโฆษณาต่าง ๆ เพื่อหันมาสนใจการเรียนได้ ผมเคยคิดจะยอมแพ้พวกกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การถ่ายรูป, อัดเสียง, ออกรายการสำหรับอัลบั้มใหม่ เพื่อจะตั้งหน้าตั้งตาเรียนให้ได้ดีเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ



มีนักเรียนคนหนึ่ง (เป็นนักเรียนเทคนิคที่ Tai Da) ที่ผมคิดว่าเค้ากำลังดูผมเป็นแบบอย่าง มันเป็นแรงบันดาลใจให้ผมก้าวเดินต่อไป เพื่อให้เค้าสามารถยึดผมเป็นแบบอย่างได้ ผมพยายามพูดคุยและสร้างมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ในช่วงหลังเลิกเรียนหรือเล่นบอลร่วมกับคนอื่น ๆ ผมเริ่มทบทวนตำราเรียนตั้งแต่วันที่สองของช่วงตรุษจีน เพื่อเตรียมตัวสอบเมื่อโรงเรียนเปิดอีกครั้ง ในขณะที่ทุกคนกำลังตรวจเช็คและเปรียบเทียบผลการสอบที่สำนักงานของโรงเรียน ผมเองก็อยู่ที่นั้นด้วย ผลการสอบออกมาว่าผมติดหนึ่งในสิบของห้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนแปลกใจมาก ผมปรับปรุงตัวทุกอย่างและมันทำให้ทุกคนมองผมเปลี่ยนไปและทำให้ผมรู้สึกภูมิใจขึ้นมาก แม้ว่าครั้งหนึ่งมันจะไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่วันนี้มันกลับทำให้ผมมั่นใจมากขึ้น การสอบไม่ได้เป็นเรื่องยากอีกต่อไป และเพื่อน ๆ ก็ไม่ได้เก่งเหมือนอย่างที่ผมเคยคิดไว้ ความกดดันที่มี ผมก็พยายามหลีกเลี่ยงมันไป ผมพยายามอย่างหนักแม้จะรู้ว่าผมคงไม่สามารถทำได้ทุกอย่างแต่ผมก็ไม่สนใจอีกแล้ว Lin Hengyu (ก็คนที่ไปช็อปปิ้งกับผมซะมากมายที่ Zhonghua lane) บอกผมว่า “ในช่วงปี 1และปี 2 คุณกำลังเป็นนักร้องและพวกเราก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะพวกเราไม่ได้ทิ้งคุณไปไหน” ผมได้ยินประโยคนี้อีกครั้งในช่วงปี 3 ผมรู้สึกว่าพวกเค้าพยายามจะทำให้ผมใจเย็นขึ้น จนกระทั่งเทอมสุดท้ายผมจึงเข้าใจว่าไม่มีใครสามารถทำให้เราหวาดกลัวได้ เพราะเราทุกคนอยู่ที่จุดเริ่มต้นเดียวกัน นักศึกษาบางคนซึ่งเป็นฐานของชั้นเรียน พวกเค้าพยายามทบทวนบทเรียนในช่วงก่อนอาหารกลางวันและระหว่างที่เปลี่ยนคาบเรียนเพื่อผ่อนคลายและลดอาการหวาดกลัวที่มีต่อคนอื่น บางคนก็เปรียบเทียบระหว่างคนที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการดูหนังสือกับคนที่มักจะโกหกว่าพวกเค้าไม่มีสมาธิมากพอที่จะทบทวนบทเรียนหรือรู้สึกงง ๆ และพยายามที่จะทำให้คนอื่นไขว้เขวด้วยการบอกว่าไม่มีการทบทวนเพิ่มเติมหรอกนะถ้าหากเป็นเกมในบาสเกตบอล

อาจารย์ได้สร้างความประหลาดใจให้กับพวกเราด้วยการบอกว่าให้เราคิดเสียว่าห้องเรียนอื่น ๆ เป็นคู่แข่งของเราและพยายามเอาชนะพวกเค้าให้ได้ยกห้องของเราเลย ซึ่งก็พอดีกับที่ว่าจุดมุ่งหมายของผมที่จะพิสูจน์ให้พวกเค้าเห็นว่าผมก็สามารถเข้าโรงเรียนที่ดี ๆ ได้เช่นกัน ข้อดีของการเรียน, ความทะเยอทะยาน, วิชาที่น่าสนใจที่สุด ฯลฯ...ก็คือ คำถามหลาย ๆ คำถามผมไม่เคยข้ามไปโดยที่ไม่ค้นหาคำตอบเลย มีการหมุนเวียนห้องเรียนในช่วงชั้นปีที่ 2 ผมก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่คิดว่าพวกผู้ชายควรจะเลือกเรียนสายแพทย์หรือไม่ก็ด้านเกี่ยวกับพลังงาน เพราะว่ามันแสดงถึงความเฉลียวฉลาดนั่นเอง โดยผมลองเลือกจากการกรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์ม ซึ่งในวันที่ 7 ก็ยังคงอยู่ในลิ้นชักอยู่เลย ผมไม่รู้ว่าควรจะเลือกวิชาไหนดี ก็เลยแอบสืบดูของเพื่อนคนอื่น เพื่อที่จะนำมาเป็นข้อมูล สุดท้ายผมก็เลือกสายแพทย์เหมือนกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มที่ 3 พร้อมกับเลือกวิชาเรียนเพิ่มเติมเพราะผมคิดว่าผมน่าจะรับมือกับมันได้ เนื่องจากผลการเรียนผมค่อนข้างดี ย้อนกลับไปตอนนี้ ความจริงผมรีบแล้วก็ไม่ค่อยใส่ใจที่จะกรอกรายละเอียดลงในแบบฟอร์มสักเท่าไหร่ (ไม่รู้จะเอามันมากรอกทำไม)

มีเวลาว่างถึง 20 กว่าวันก่อนที่ผลการสอบจะออก ผมค่อนข้างเครียดและคิดถึงอนาคต แม้ผมจะคิดว่าผมทำข้อสอบได้ดีก็ตาม เมื่อได้รับผลสอบผมก็นำมันมาวิเคราะห์ว่าผมสามารถที่จะเข้าโรงเรียนไหนได้บ้าง ที่พอเป็นไปได้ก็มี Taida, Qingda และ Jiaoda ผมพยายามที่จะไม่วางแผนหรือกำหนดอนาคตของตนเอง แต่ผมต้องการที่จะเติมเต็มความฝันของผมให้เป็นจริงและสวยงามมากกว่า เพื่อที่จะสามารถเข้าเรียนที่ Taida ได้ ในระดับ lower steam ความจริงการเรียน electronic steam ที่ Qingda และ Jiaoda ก็ไม่เลวเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่มีความทะเยอทะยานอีกแล้ว