เสี่ยวหู่ตุ้ย คุณที่ไม่มีอะไรมาแทนความทรงจำได้
ปีเสือปีนี้ เสียวหู่ตุ้ยได้กลับมาแล้ว ความหน้าใสน่ารักของพวกเขานั้นได้ถูกกาลเวลาบดบังไป แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน คือ รอยยิ้มที่สวยงามกับเสียงเพลงที่เพราะ 20 ปีแห่งกาลเวลา การรวมตัวครั้งนี้ของพวกเขานั้นนับว่าเป็นการทำความฝันของทุกคนให้เป็นจริง ในความฝันที่มีความทรงจำเก่าๆมากมาย
การรวมอีกครั้ง “เชื่อเถิดว่า พวกเราจะกลับมาหาทุกคนอีกครั้ง ร้องถึงวัยหนุ่มที่ไม่เคยลืมของพวกเรา”
ก่อนหน้านี้ที่ จื้อเผิง ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อที่ปิกกิ่ง ขณะที่ถูกถามถึงความรู้สึกที่ได้เจอเพื่อนเก่า “ผมรู้สึกว่าตอนแรกๆ ก็ยังมีความไม่คุ้นเคยอยู่ แน่นอนปฏิเสธไม่ได้ว่านานแล้วที่พวกเราไม่ได้ร่วมเวทีร่วมการแสดงด้วยกัน แต่ว่า หลังจากที่ได้ซ้อมการแสดง 2-3 วันแล้ว รู้สึกต่างคนก็ค่อยๆ เรียกความรู้สึกในสมัยอดีตกลับคืนมาแล้ว”
อู่ฉีหลง ได้กล่าวว่า นี่เป็นโอกาส เบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นของส่วนตัว ผ่านทางการรวมตัวครั้งนี้ พี่น้องทั้ง 3 คนได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน และได้หวนคิดถึงเรื่องราวอดีตต่างๆ และสิ่งที่โหย่วเผิงอัศจรรย์ใจที่สุดคือ ทั้ง 3 คนนั้นเข้าขากันได้ดีกว่า 20 ปีก่อน มันอาจเป็นเพราะพวกเราเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว ตอนซ้อมพวกเรายังแซวกันเลยว่า หากว่าเวลาแสดงท่าจังหวะของพวกเราพร้อมเพรียงกันจนหมดนั้นคงไม่ใช่เสี่ยวหู่ตุ้ยแล้ว ก็คิดไม่ถึงว่าผลงานที่ออกมานั้นดีกว่าอดีตจริงๆ”
เหตุด้วยมีผู้คนหนับหมื่นแสนเฝ้ารอการกลับมาของพวกเขา ทำให้ทั้ง 3 ก็ต้องเตรียมตัวการแสดงในงานนี้อย่างสุดๆ ทราบจะผู้จัดการส่วนตัวโหย่วเผิง เพื่อจะมางานนี้ โหย่วเผิงได้แคนเซิ่นงานกว่า 10 งานของเขา และเพื่อจะตอบแทนที่ทุกคนยังรักห่วงใยเสี่ยวหู่ตุ้ย แม้จะสูญเสียจากงานของเขามากมายเขาก็ยินดี เพื่องานนี้นั้น โหย่วเผิงได้โกนหนวดที่ไว้มาเป็นเวลานานทิ้งไป ขณะเดียวกัน ทางฉีหลงก็พยายามที่จะเรียกท่าตีลังกาหลังกลับคืนมา โดยการฝึกทุกวันเลยก้าวสู่วงการ “ตัวหนอนรอคอยพรุ่งนี้จะมีปีกสวยงามคู่หนึ่ง”
ตุลาคม 1988 เสี่ยวหุ่ตุ้ยได้ดังขึ้นในรายการทีวี “ชิงชุนต้าตุ้ยคั้ง”ของไต้หวัน ตอนนั้นทางรายการต้องการให้มีผู้ช่วยซึ่งเป็นผู้ชาย 3 คน เมื่อหวนคิดถึงภาพอดีตตอนนั้น ฉีหลง ได้เล่าว่า “ครั้งแรกที่ได้เจอจื้อเผิงและโหย่วเผิงก็จำฝังใจแล้ว เพราะทุกคนที่มาสมัครก็ล้วนปกติ มีแต่พวกเขา 2 คนที่ดูแปลก ตอนที่จื้อเผิงเดินเข้ามานั้น ได้แบกกระเป๋าใบหนึ่ง สวมหมวกแก๊ปใบหนึ่ง เสื้อผ้าที่เขาใส่ก็ถือว่าทันสมัยเหมือนกัน ตอนเข้ามาเขาไม่พูดไม่จา ไปนั่งอยู่มุมหนึ่งแล้วหยิบร้องเท้ามาเปลี่ยน ผมก็ได้มองเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า เปลี่ยนรองเท้า ตอนนั้นก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่มีไอเดียตอนหลังก็เห็นโหย่วเผิงเดินเข้ามา เขาใส่ชุดนักเรียน โรงเรียนที่เขาเรียนถือว่าเป็นโรงเรียนที่ดีแห่งหนึ่งของไต้หวัน ผมเลยแปลกมากๆ เด็กนักเรียนของโรงเรียนที่เป็นเด็กเรียน มาที่นี่ได้ไง? และทรงผมของเขาก็หยิกนิดๆ” และทางจื้อเผิงและโหย่วเผิงก็ได้หวนคิดอดีตของฉีหลง ภาพที่ติดใจตลอดคือ “มอเตอร์ไซร์คันใหญ่ของเขา”
ตอนแสดงคัดเลือกนั้น โหย่วเผิงที่ร้องเพลงมีหลักมีการ จื้อเผิงที่โดดเด่นการเต้น และการแสดงที่มีสีสันของฉีหลง “ตอนนั้นผมเห็นคนนั้นร้องเพลงได้ดี คนนี้ก็เต้นได้ดีมาก ตัวเองไม่รู้ว่าจะเอาอะไรโชว์ดี สุดท้ายก็เลยตีลังกาหลังโชว์” แค่ตีลังกาหลังนี้ ทำให้เข้าตีเข้าสู่เส้นทางบันเทิงเลย
สำหรับช่วงนั้นของผมนั้น โหย่วเผิงกล่าว ตอนนั้นตัวเองได้คุยกับแม่ว่าเรื่องการไปสมัครเข้าคัดเลือกนั้นจะปิดไว้ไม่ให้พ่อรับรู้ “พ่อผมหน้าตาดีมาก ขนาดเดินบนถนนก็ยังมีแมวมองมาชวนให้ไปเป็นดารา แต่ทัศนะของพ่อนั้น เป็นคนหัวโบราณหน่อย ลูกผู้ชายนั้นไม่ควรพึ่งใบหน้ากิน และไม่ชอบที่ผมจะเกี่ยวข้องกับอาชีพนี้” เพราะเหตุนี้ การคัดเลือกผ่านไปทีละขั้นทีละตอนจนได้กลายเป็นสมาชิกของเสี่ยวหู่ตุ้ย โหย่วเผิงเองก็มองเสี่ยวหุ่ตุ้ยเป็นเพียงงานเสริมที่จะหาเงินเป็นค่าขนม เพื่อจะไม่ให้กระทบต่อการเรียนเขา เขาได้มีเงื่อนไขเซ็นสัญญากับทางค่ายว่า “เวลาเรียนนั้นจะไม่ลาไปทำกิจกรรมเด็ดขาด”
เริ่มแรกนั้นทั้ง 3 คนทำงานเป็นผู้ช่วยของรายการ โดยได้รับเงินสัปดาห์ละ 1,350เหรียญไต้หวัน หากว่าสัปดาห์นี้รายการไม่ยาว ยังมีเวลาเหลืออยู่ไม่กี่นาที พวกเขาทั้ง 3 คนก็จะได้ร้องเพลง 2 เพลงและเต้นไปด้วย เพิ่มจะให้เวลารายการพอดี ยิ่งกว่านั้นบางครั้ง งานพวกเขาเป็นการโยกย้ายอุปกรณ์ต่างๆในรายการ แต่เมื่อพวกเขาได้ออกรายการแล้ว ใบหน้าที่ใสๆ และเดียงสาของพวกเขาเป็นที่สนใจของผู้ชมเป็นอย่างมาก
ธ .ค.1988 พวกเขาได้เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการกับค่ายไคลี่
ม .ค.1989 วงเสี่ยวหู่ตุ้ยกับวงเหย่าฮวนได่ตุ้ย ได้ร่วมกันออกอัลบั้ม “ซินเหนียนไคว่เล่อ” คิดไม่ถึง อัลบั้มที่แค่ลองทำเป็นชิ้นแรกกลับขายดีอย่างเทน้ำเทท่าในตลาด โดยเฉพาะเพลง “ชิงผิงก่อเล่อเหยียน” หลังจากที่อัลบั้ม “ซินเหนียนไค่วเล่อ”ออกได้ไม่นาน เสี่ยวหู่ตุ้ยก็เริ่มที่จะทำอัลบั้มของตัวเองซึ่งอัลบั้มแรกคือ “แซวเหยาอิ๋ว” และได้ติดเป็นอันดับ 1 ของไต้หวันด้วย ในไต้หวันได้มีกระแสเสี่ยวหู่ตุ้ยที่แรงขึ้นมา และหลังจากนั้นโดยเฉพาะอัลบั้มต่อมา “หงชิงถิง”นั้น ได้ทำยอดขายอย่างถล่มทลายโดย 1 เดือนขายกว่า 400,000 ตลับ
พูดถึงเรื่องการถ่ายรูปโปสเตอร์แล้ว อู่ฉีหลงนั้นจะมีหน้าครึม ยิ้มแบบไม่เห็นฟัน ฉีหลง ได้กล่าวว่า จริงๆ แล้วเรื่องนี้เป็นคอนเซ็ปของค่าย “ตอนนั้นที่ถ่ายรูปนั้น ทางค่ายได้บอกผมว่า พยายามอย่ายิ้ม และทางโหย่วเผิงต้องยิ้มให้บาน ต้องให้เห็นฟันทุกซี่ด้วย สำหรับจื้อเผิงนั้นแล้วแต่เขา สิ่งเหล่านี้ก็เพื่อจะทำให้งานออกมาได้สมบูรณ์ แต่แรกทางค่ายก็มีคอนเซ็ปอย่างนี้แล้ว ตามบุคลิกของเราแล้วทำใบหน้าให้เข้ากับตัวเอง