ผู้ผลักดันศิลปินมือทอง คือ ผู้เดียวที่ประพันธ์
“เสี่ยวหู่ตุ้ย : เรื่องความสำเร็จ รวมตัว อำลา ดีใจ เสียใจ”
อมตะเสี่ยวหู่ตุ้ย
.........ผมเป็นประจักษ์พยาน เสี่ยวหู่ตุ้ยได้รุ่งเรืองถึงเวลา 20 ปี
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยนานกิ่ง เร็วๆ นี้ ได้ตีพิมพ์เรื่องนี้ทำให้ตลาดหนังสือสะเทือน
ปัจจุบัน 2 ฟากฝั่งได้เริ่มบินสู่น่านฟ้าระหว่างกัน จากไทเปบินสู่ปักกิ่งใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมง ผู้เป็นชาวจีน คนจีนได้คาดหวังมาเนิ่นนานแล้ว ผมและ เสี่ยวหู่ตุ้ยล้วนจากไต้หวันบินมาถึงในเมืองคนละน่านฟ้า ความรุ่งเรืองในอดีตยังคงเก็บทิ้งไว้ในใจท่านผู้ชื่นชม เสี่ยวหู่ตุ้ย ทั่วโลก
อนาคตที่เปลี่ยนแปลงไม่สามารถคาดหวังได้ แต่อย่างไรก็ตามพวกเราห่างเหินนานและไกลแค่ไหน ความสมหวังย่อมให้คน 2 ฝ่ายมอบความอบอุ่นและเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน
..................นาย ซ่งเหวินซ่าน
“ผู้ผลักด้นศิลปินมือทองคำ คือ ผู้เดียวที่ประพันธ์ เสี่ยวหู่ตุ้ย :เรื่องความสำเร็จ รวมตัว อำลา ดีใจ เสียใจ”
เขา เริ่มเข้าสู่วงการก็ทำงานงานด้านนักร้อง เติ้งลี่จวิน
เขา ก่อตั้ง เสี่ยวหู่ตุ้ย ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด เป็นต้นแบบวงบอยแบรนด์อมตะวงแรกและวงเดียวของจีน
บันเทิงได้ 35 ปี พร้อมกับคุณไฉจื้อผิง ถูกขนานนามว่า สุดยอดผู้ผลักดันศิลปินมือทอง
เขา ความประพฤติของนักผลักดันศิลปินผู้นี้ ช่างมีสง่างามจริงๆ ยอมลดตัวเพื่ออุทิศตัวต่อสังคม อยู่ที่ว่าการปักกิ่ง
เช็ดอุจจาระ เช็ดตัว อาบน้ำให้แก่คนชรา เป็นงานหนักมากที่ต้องจัดการ
..........เขาก็คือผู้ผลักดันศิลปินมือทอง คนไต้หวัน นาย ซ่งเหวินซ่าน
ตั้งแต่สถานีโทรทัศน์ยางซื่อได้เชื้อเชิญ เสี่ยวหู่ตุ้ย เข้าร่วม หลังจากมีข่าวดังก้องในคืนปี 2010 สื่อต่างๆ แฟนๆ อินเตอร์เนต รวมทั้งผู้หลงใหล เสี่ยวหู่ตุ้ย ต่างล้วนพูดคุยข่าวสารต่อเรื่องนี้อย่างตื่นเต้นและคึกโครมต่อเนื่อง ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เสี่ยวหู่ตุ้ย ได้ปรากฏตัวอีกนั้น กลายเป็นสถานทื่มีสารพัดการพูดคุยถกเถียงกันอย่างตื่นเต้น แนบแน่นศูนย์รวมความทรงจำย่างเข้าปีที่ 20 เสี่ยวหู่ตุ้ยทั้ง 3 คน เมื่อโด่งดังขึ้น ผลงานงานแสดง การเต้น รวมทั้งเสียงเพลงของพวกเขา เบื้องหลังการเติบโตแห่งความสำเร็จ สภาพการณ์การคบหามิตรสหาย การแสดงเดี่ยว ต่างแยกย้ายพร้อมทั้งสายทางใยรักต่อกันของพวกเขา ล้วนโอนย้ายถ่ายทอดสู่เวทีอภิปรายทุกสถานที่ทุกเวลากันอย่างตื่นเต้น เช่นเมื่อ 20 ที่แล้วเริ่มโด่งดังขึ้น ฝูงชนต่างคลั่งไคล้กันมาก
เป็นบิดาแห่งเสี่ยวหู่ตุ้ย ผู้ประพันธ์หนังสือเล่มนี้คือนาย ซ่งเหวินซ่านได้ทำลายสถิติความเงียบขรึมมากว่าหลายปี เมื่อมีใยรักลึกซึ้งต่อการเล่าขาน เรื่องราว เสี่ยวหู่ตุ้ย จากอดีตสู่ปัจจุบัน.........คือ นาย ซ่งเหวินซ่าน
นาย ซ่งเหวินซ่าน ใช้สายตาและจิตวิญญาณดูประจักษ์แน่ชัดว่า เสี่ยวหู่ตุ้ย เมื่อเข้าวงการ การต้อนรับการฝึกอบรมแล้ว ฝึกซ้อมอย่างหนักทำลายสถิติถึงจุดต่างๆ ต่างเรียนรู้ด้วยตัวเอง ร่วมเข้าคณะ แสดงเดี่ยว แยกวง ให้คนรุ่นหนึ่งรอคอยประวัคิศาสตร์ที่มีเรื่องยาว คือเขา นำประสบการณ์ เสี่ยวหู่ตุ้ย ซึ่งมีการแยกๆ รวมๆ หลายหน ร่วมกันเผชิญหน้ากับการเจริญและเสื่อมลงในวงการบันเทิง พร้อมกันแบกรับความฝันอมตะของเสี่ยวหู่ตุ้ย
.......ดังนั้น อย่างไรก็ตามพวกเขาต่างคนต่างอยู่คนละทิศละทาง ใจของเขายังมีเยื่อใยผูกพันอย่างเหนียวแน่นชั่วนิรันดร์ ไม่ทิ้งจากกัน หากไม่มีเยื่อใยรักนี้ ช่วงคืนของปี 2010 หากพวกเขาไม่เหมือนเดิมเช่นตอนที่แยกกันช่วงวัยหนุ่ม พวกเราคงไม่สามารถมีความทรงจำช่วงวัยหนุ่มที่ประทับใจของเขาอันยาวนานได้ขนาดนี้
มีบางอย่างเพราะมนต์ขลัง ถึงได้อยู่อย่างอมตะ เพราะมีมนต์เสน่ห์ ซึ่งเป็นความรัก เสี่ยวหู่ตุ้ย นำพาให้พวกเรา ย่อมมิใช่ทำนองเพลงที่มีมนต์ขลัง อย่างเช่นสรรพสิ่งในโลกมนุษย์ สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความดีย่อมฝังลึกที่สุด และตอนนี้ พวกเราโชคดีที่สามารถเห็นสิ่งของอันล้ำค่าที่ฝังลึกที่สุด สิ่งของล้ำค่าก็อยู่นี่ รอคอยจนกว่าท่านจะค่อยๆ เปิดออกมา ร่วมกันเสพสุข.........
คนที่วางแผนหนังสือเล่มนี้ ........สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยนานกิง แผนกผู้จัดการบรรณาธิการ หลี่เหว่ย ขณะถูกสัมภาษณ์กล่าวว่า นี่คือ หนังสือที่บันทึกเรื่องราวอันล้ำค่าของความทรงจำกลุ่มวัยหนุ่ม 70...80 ปีให้หลัง ของ ผู้ผลักดันศิลปินมือทองของวงการบันเทิง คือ หัวข้ออันล้ำค่าหนึ่งเล่มสำหรับคนวางแผนบริษัทค่ายเพลง ยิ่งกว่านั้น คนที่มีใจปรารถนาเป็นศิลปินดาราวงการบันเทิงควรอ่านเป็นคู่มือ ทุกคนจะสามารถเข้าใจปรัชญาจากความจริงใจ ซึ่งมีตัวหนังสือที่สวยงามละเอียดละออของ ซ่งเหวินซ่าน เข้าใจอีกมุมหนึ่งของ เสี่ยวหู่ตุ้ย ที่ไม่มีใครรู้มาก่อน จากการไตร่ตรองอย่างจริงจังการวางแผนกฎเกณฑ์ชีวิตของตนเอง คุณซ่ง เป็นบุคคลหนึ่งที่มีวุฒิความรู้เขียนความทรงจำเสี่ยวหู่ตุ้ย เพราะเขาเป็นผู้ก่อตั้ง เสี่ยวหู่ตุ้ย และร่วมเป็นประจักษ์พยานประวัติศาสตร์นี้
หนังสือเล่มนี้จะทำให้คุณอ่านอย่างสนิทและระทึกใจที่จากมานาน.........
ปี 1976 จากที่ผมไม่เคยรู้เรื่องในวงการบันเทิง เมื่อเท้าได้แตะสู่วงการบันเทิง เริ่มแรกโชคดีได้เข้าอยู่รุ่นเดียวกับราชินีเพลง เติ้งลี่จวิน , เจ้าชายขี่ม้าขาวอมตะ หลิวเหวินเจิ้ง, ดารารุ่นใหญ่ ฟ่งเฟยเฟย , ราชินีตุ๊กตาทอง กุยอาเหล่ย , ต้นไม้เขียวตลอด เฟ่ยหวี้ชิง ,ไช่ฉิง , เฉินซู่หัว , ฟันอันฟาง ก้าวเข้าสู่ยุคปี 80 ผมเข้าสู่วงการเป็นช่วงดารารุ่นใหญ่ล้วนๆ เช่นราชาเพลงเกาะมุก หงหยงหง , พี่สาวใหญ่ ต้าเจียงหุ้ย
พูดอย่างเปิดอก ผมเข้าสู่วงการไม่กี่ปีก็ได้ทำงานผลักดันดารารุ่นใหญ่ จริงๆ แล้วไม่ใช่ผมเป็นผู้ผลักดันพวกเขา ขณะผมร่วมงานหนุนพวกเขาเหล่านั้น พวกเขาต่างมีชื่อเสียงอยู่ก่อนแล้ว เป็นดารารุ่นใหญ่ที่มีชื่อเสียงทุกครัวเรือนทุกคนก็รู้จักพวกเขา ผมเพียงแต่รับช่วงต่อจากผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์มาก โดยเพียรพยายามขยันขันแข็ง กล่าวอย่างเข้มงวดกวดขัน ในปีนั้น ผมเพียงแต่เป็นดารารุ่นใหญ่ที่มีธุรกิจโฆษณาเล็กๆ ยังไม่นับป็น “ผู้ผลักดันศิลปิน”
ทำงานกับดารารุ่นใหญ่นับว่ามีความกดดันมาก ผมประหม่าและกลัวมาก กลัวว่าตัวเองจะทำผิดพลาด ทำให้ดารารุ่นใหญ่โกรธ โชคดีที่ผมเป็นดารารุ่นใหญ่ผ่านการอบรมให้มีท่าทีเยือกเย็น ทำให้พวกเขามีความไว้ใจเป็นลำดับ และไม่มีใครโกรธเคืองถือสา
จนถึงปี 1982 ผมกับผู้มีบุญคุณ คุณเหมียวซิ่วลี่ ไปที่ห้องอาหารฝรั่งบังเอิญได้เจอ เจียงหวี่เหิง ซึ่งมาจากเกาหลี แล้วได้เซ็นสัญญากับเขา ผมกับพี่เหมียว เริ่มวางแผนโครงการพร้อมทั้งผลักดัน เจียงหวี่เหิง ให้เป็นนักร้องมืออาชีพ นี่ถึงจะนับเป็นการทำธุรกิจการเป็นผู้ผลักดันศิลปินก้าวแรกอย่างแท้จริง
มีผู้มีบุญคุณ พี่เหมียวแนะนำและส่งเสริม ผมมีอาชีพเป็น “ผู้ผลักดันศิลปิน”ในวงการเพลง โดยค่อยๆ แสดงบทบาทออกมา ภายหลังได้พา ไช่ซิ่งเจวียน , หลันเซิ่นเหวิน , ม่ายเหว่ยถิง , หยางลี่ซู เข้าสู่วงการ ต่อมาได้ทำธุรกิจผลักดันอีกหลายคนไม่ว่าจะเป็น หวงจือเจี่ยว , เสี่ยวหู่ตุ้ย , วงอิวฮวง , สวียั่วซวน , หลี่เวย , หลินอิ้วเวย เป็นต้น ผมสามารถวางแผนโครงการอย่างราบรื่น
หวนคิดถึงช่วงเวลาของเดือนพฤษภาคม ในปี 1988 เวลานั้นผมกับผู้มีบุญคุณ 2 ท่าน คือ จางเสี่ยวเยี่ยน เหมียวซิ่วลี่ สถานีโทรทัศน์หัวซื่อไต้หวันทำรายการ(ละครซิทคอม)ใหม่รายการหนึ่งคือ “ ชิงชุนต้าตุ้ยค่าง ” ได้รับการตอบรับจากวัยรุ่นนักเรียน นิสิตนักศึกษา ล้วนอยู่ในวัย 15 -22 ปี ผู้ดำเนินรายการคือ จื้อเหว่ยกับ เฉาหลัน คนหนึ่งสุภาพ ส่วนอีกคนหนึ่งแปลกประหลาดฉับไว บวกกับผู้ช่วยหญิงอีก 3 คน ปราดเปรียวน่ารัก...คือ อู๋เพ่ยหวี หวังซือหัย สวีซู่เจวียน ก็รวมจัดตั้งเสี่ยวเหมาตุ้ย (กลุ่มแมวน้อย) รายการนี้ได้รับการต้อนรับดีมาก
“ชิงชุนต้าตุ้ยค่าง” เมื่อได้ออกฉายสถานีโทรทัศน์หัวซื่อไต้หวัน ก็ได้รับรางวัลตุ๊กตาทองชนะเลิศทันที ได้รับการชื่นชอบจากคนหนุ่มสาว ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ปลื้มอกปลื้มใจมากได้เพิ่มงบการลงทุนให้แก่พวกเรา จะให้พวกเราทำรายการให้คึกคักรื่นเริงมากกว่านี้ โดยเฉพาะคุณเสี่ยวเยี่ยน พี่เหมียวและร่วมกันใช้หัวคิด ตัดสินใจเพิ่มผู้ช่วยชาย 3 คนมาดำเนินรายการ ปีนั้นเพราะรายการนี้ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง เด็กผู้ชายที่มาสมัครมี 3,000 กว่าคน ช่วงนั้นไม่มีอินเตอร์เนต ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้มีทั่วไปหมด ผู้ที่มาสมัครทั้งหมดล้วนแนบรูปถ่าย ประวัติข้อมูลส่งไปทางไปรษณีย์ ทั้งสิ้น
เสี่ยวหู่ตุ้ย กับผู้ที่มาทีหลังคือ หวงจือเจี่ยว , ปู่เสียเลี่ยง , หลิวอื่อจิน , ซ่งเซ่าชิง ผู้จัดตั้ง หงไหเอ่อร์ , ซืออี้หนัน , เจี้ยจิ้นเหวิน รวมทั้งสวียั่วซวน เป็นต้น ในเวลาต่อมาคนเหล่านี้กลายเป็นดารารุ่นใหญ่ในวงการบันเทิงหนังจีน ก็มาจากการคัดเลือกในช่วงเวลานั้นเหมือนกัน
: ซูโหย่วเผิง เกือบโดนคัดออก
ปี 1988 เสี่ยวหู่ตุ้ย จากการคัดเลือกเพราะส่อแววโดดเด่นออกมา ใน 3,000 กว่าคนที่สมัคร คัดเลือกเหลือ 3 คนเท่านั้น ที่ไม่ถูกเลือกก็ส่อแววไม่น้อย
เสี่ยวหู่ตุ้ย เมื่อก่อตั้งขึ้น ก่อนอื่นการเผชิญปัญหาหนักมากเพราะทั้ง 3 คนล้วนเป็นนักศึกษา การเรียนก็ห้ามเสีย โดยเฉพาะเติบโตในครอบครัวที่เป็นชาวจีน เป็นพ่อแม่ทั่วไปต่างเห็นว่าอนาคตของลูกจะทำอะไรก็ได้ เพียงแต่ว่าอย่าเสียการเรียน จากจุดนี้พ่อแม่ ซูโหย่วเผิง เน้นเป็นพิเศษ โดยเฉพาะช่วงเวลานั้น ซูโหย่วเผิง ได้เรียนมัธยมปลายที่ทั่วทั้งไต้หวันได้ให้ความสนใจ คือ โรงเรียนมัธยมเจี้ยนจง ซึ่งไม่ว่าการเรียนการสอน ลักษณะการเรียนเข้มงวด เป็นโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งของไต้หวัน ดังนั้น การเป็นดาราที่เป็นนักเรียนมัธยมปลาย ซูโหย่วเผิงยังมาจากครอบครัวสั่งสอนเข้มงวด พ่อแม่ต่างตั้งความหวังแก่เขาสูงมาก โดยเฉพาะซูโหย่วเผิงในฐานะเป็นนักเรียนได้เข้าร่วมเป็น เสี่ยวหู่ตุ้ย พ่อแม่ซูโหย่วเผิงเห็นว่า นั่นคือความรักสนุกของคนหนุ่มสาว พวกเขาไม่ส่งเสริมและไม่คัดค้าน เพียงแต่ข้างหน้าที่กล่าวมานี้การเรียนคือหลักใหญ่สำคัญอย่างแน่นอน ไม่อนุญาต ซูโหย่วเผิง ร้องเพลง การแสดง ถ่ายแบบแล้วเสียการเรียน
กล่าวถึง อู๋ฉีหลงกับ เฉินจื้อเผิง ในจุดนี้ ความกดดันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าขณะนั้น อู๋ฉีหลง ได้เรียนวิชาชีพพลศึกษาที่ไทจง เฉินจื้อเผิง เรียนอุตสาหกรรมเฉียวไท่ที่ไทจง ทางโรงเรียนมุ่งพัฒนาอนาคตของนักเรียนคือมีลักษณะสนับสนุนและส่งเสริม เพียงแต่ว่าไม่ขาดการเรียนมาก ควรบอกกล่าวกับครูบาอาจารย์ลาเรียนเสียก่อน แล้วเร่งไปที่ไทเปเข้าร่วมงานบันเทิง ถ่ายแบบ หลังจากนั้นค่อยมาติวเรียนพิเศษกับครูอาจารย์ ทางโรงเรียนก็อนุโลมได้
ซูโหย่วเผิง ผู้ยอดกตัญญู เพียงแต่ว่าทางบ้านกวดขัน ตัวเขาก็ฝ่าฝืนไม่ได้ ไม่เพียงแต่ตัวเขาเองทางบ้านคงไม่ปล่อยให้เขาลาเรียนแน่ บริษัทไคลี่ของเราจึงไม่เคยปล่อยให้เขาลาเรียนเพื่อมาหาเงิน
เพียงแต่เดือนมกราคม ปี 1989 - ปี 1990 ช่วงฤดูร้อนระยะเวลาปีครึ่งนี้ เรื่องราว เสี่ยวหู่ตุ้ย อยู่วงการเพลงในประเทศจีนโด่งดังอย่างรวดเร็ว ลักษณะการเรียนและนิสัยของพวกเขาดีหมด ความนิยมปิดฟ้าดินมิดกลายเป็นแบบอย่างในสายตาของวัยรุ่นนักเรียน ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังของ เสี่ยวหู่ตุ้ย ออกอัลบั้มซิงเหนียงไคว่เล่อ (เดือนกุมภาพันธ์ ปี 1989) และตามมาติดติดกับอัลบั้มเซียวเอี๋ยวอิ๋ว (เดือนมิถุนายนในปีเดียวกัน) ทั้ง 2 อัลบั้มนี้รวบรวมออกฉายมากเป็นพิเศษ ถูกถ่ายรูปมากเป็นพิเศษ ถูกสัมภาษณ์ก็ไม่น้อย ถ่ายโฆษณาและกิจกรรมการแสดงก็มากขึ้น
หากขณะสัมภาษณ์มีแต่ อู๋ฉีหลง เฉินจื้อเผิง โชว์ตัวยังพอไปวัดไปวา ถ้าหากสถานีโทรทัศน์ถ่ายแบบ ถ่ายโฆษณา หรือการแสดง หากขาด ซูโหย่วเผิงแล้ว ถ้าเช่นนั้นจะไม่เรียกว่า เสี่ยวหู่ตุ้ย
กลุ่มสื่อมวลชนทุกข์ใจมาก ผู้ชมและผู้ชื่นชอบหลงใหล เสี่ยวหู่ตุ้ย ก็ยิ่งเศร้าใจมาก บ่อยๆ ครั้งบางรายการบางเรื่องเห็นแต่ 2 เสือคือ อู๋ฉีหลง เฉินจื้อเผิง
เดือนสิงหาคม ปี 1989 การขึ้นจากชั้นมัธยมปลายปีที่ 1(ม.4) มาเป็นปีที่ 2 (ม.5)ของซูโหย่วเผิง การบ้านการเรียนยิ่งหนักขึ้น ตอนเช้ายิ่งต้องตื่นแต่เช้า หลังเลิกเรียนยิ่งต้องไปติวเรียนพิเศษเพิ่มโดยใช้เวลายาวนานขึ้น สายตาสั้นยิ่งลึกขึ้น ช่วงเวลาจะขึ้นชั้นเรียนแรงกดดันยิ่งเพิ่มมากขึ้น และเหตุการณ์ทางโรงเรียนก็เข้มงวดกวดขัน บริษัทไคลี่ของเรายิ่งไม่กล้าแตะต้องในชั่วโมงเรียนในเวลาใดเวลาหนึ่งของซูโหย่วเผิงเลย แท้จริง ซูโหย่วเผิงสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีได้หรือไม่ กลุ่มสื่อมวลชนได้เฝ้าดูอยู่ ทั้งประเทศจีนล้วนเฝ้าดูอยู่
หวนรำลึกความเป็นจริง บริษัทไคลี่สามารถปล่อยซูโหย่วเผิงไปเรียนหนังสือ เพราะปัญหาการเรียนไม่ให้เสียเรื่องเรียนเด็ดขาด เพียงแต่ว่าการค้าของบริษัทไคลี่จำเป็นต้องดำเนินต่อไป ยังมีรายการที่ต้องทำ ยังต้องเลี้ยงพนักงานมากมาย ไม่สามารถใช้เหตุผลเพราะซูโหย่วเผิงจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย บริษัทไคลี่ต้องหยุดชะงักการค้าชั่วคราว
เวลานั้นคือ เดือนสิงหาคม ปี1989 บริษัทไคลี่ของเรากำลังเตรียมวางแผนเสี่ยวหู่ตุ้ย อัลบั้มที่ 3 “หนันไหปู้คู” พี่เหมี่ยว ผมกับฝ่ายผู้ผลิต หลี่จือเหิง ยุ่งกับการปิดฉากเพลงอยู่ ขณะเดียวกันก็เผชิญหน้ากับทีมงานเสี่ยวหู่ตุ้ย กับปัญหาที่ปวดหัวว่าจะให้ ซูโหย่วเผิง อยู่หรือไป
พี่เสี่ยวเยี่ยน พี่เหมียวกับผม นัดเรียกบริษัทไคลี่ทำการวางแผน เปิดประชุมโฆษณาอย่างระมัดระวัง หลักสำคัญคือถึงแม้ว่าบริษัททำธุรกิจ เป้าหมายคือเก็งกำไร เพียงแต่ว่าก็ไม่สามารถทำเก็งกำไรแล้วทำเสียอนาคตต่อการเรียนของลูกคนอื่น ซูโหย่วเผิงเป็นบุคคลที่เคารพวงการอาชีพ ยิ่งเป็นนักเรียนดีเด่น การทำการบ้านของตัวเองก็เหนื่อยมากขึ้น เหตุเพราะฐานะของ เสี่ยวหู่ตุ้ย ผูกมัดเวลาของเขา เขาก็เหลือเวลาเล็กน้อย ยิ่งกว่านั้นจะทำให้เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ แล้วสังคมในอนาคตมีการวิจารณ์มุ่งไปที่ ซูโหย่วเผิง เสี่ยวหู่ตุ้ย แล้วบริษัทไคลี่จะถูกมองในแง่ลบทีเดียว
กลุ่มบุคคลเข้าร่วมประชุมที่มีอยู่ ล้วนมีอารมณ์ที่เจ็บปวดเข้าร่วมการประชุมวางแผนครั้งนี้ แผนการที่ปรึกษาหารือออกมามีสองทางเลือกคือ
หนึ่ง : ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป เสี่ยวหู่ตุ้ย หยุดกระทำกิจกรรมการแสดงชั่วคราว เพื่อให้ซูโหย่วเผิง เรียนจบ ม.5 และ ม.6 รออีก 2 ปีสอบเข้ามหาวิทยาลัย เสี่ยวหู่ตุ้ย ก็เข้าสู่วงการร้องเพลงอีกครั้ง
สอง : อาชีพการแสดงการร้องเพลงของเสี่ยวหู่ตุ้ยก็ดำเนินการเป็นปกติ เพียงแต่ว่าเปลี่ยนตัว ซูโหย่วเผิงเป็นบุคคลอื่น
ขณะนั้นกลุ่มบุคคลเข้าร่วมประชุม ล้วนสนับสนุนทางเลือกที่สอง เพราะว่า เสี่ยวหู่ตุ้ย มีความยิ่งใหญ่อลังการโด่งดังมากในปีนั้น มิอาจต้านทานได้จริงๆ เป็นไปได้ไหม เสี่ยวหู่ตุ้ย จะถอนตัวออกจากวงการบันเทิงได้ง่ายๆ บริษัทไคลี่ยังจำเป็นดำเนินธุรกิจต่อไป ดังนั้นมีแต่ให้ .........(นักร้องคนใหม่) มาแทน ซึ่งสามารถให้สังคมยอมรับตัวแทนได้ แน่นอนรวมทั้ง ซูโหย่วเผิง มีแรงกดดันการขึ้นชั้นเรียนอย่างหนัก ด้วยเหตุผลอย่างนี้สามารถได้รับการสนับสนุนจากผู้ปกครองของ ซูโหย่วเผิงแล้ว
การประชุมสิ้นสุดลงคือ เปลี่ยนตัว ซูโหย่วเผิง เป็นบุคคลอื่น เสี่ยวหู่ตุ้ย ดำเนินการต่อไป และเตรียมเปลี่ยนตัวแทนตัวก็อยู่ในความคิดแล้ว ผู้ถูกคัดเลือกนั้นตัวเล็กกว่า ซูโหย่วเผิง นิดหน่อย ดูคล้ายกับ ซูโหย่วเผิง มีความอ่อนนุ่มสุภาพ มีความหล่อ โดยตัวผมเองนั้น ถูกมอบหน้าที่เกลี้ยกล่อม ซูโหย่วเผิงถอนตัว
กล่าวถึงรับหน้าที่ของผม คือการเกลี้ยกล่อมให้ถอนตัว ทำไมลำบากยากเย็น
ผมได้เห็นน้ำตาซึมของเขา
ในใจมิอาจอดกลั้นได้
นิ่งเงียบตั้งนานทีเดียว
“ผมจะไม่ถอนตัวออก” เขาอดกลั้นทั้งที่น้ำตาซึมเบ้า ลูกตาไหลกลิ้งไปมา “กิจกรรมของบริษัทผมสามารถปฏิบัติตามได้ การเรียนของผมตัวผมรับผิดชอบเอง ลำบากกว่านี้ผมคนเดียวขอรับผิดชอบเพียงผู้เดียวทั้งหมด”
เขาใช้เอวยึดตรงขึ้น ผมเห็นเขาขณะนั้นแบกรับกระเป๋าเรียนอันตั้งใจแน่วแน่สุดกระจายไปทั่วร่างกายผอมแห้งแรงน้อย นั่นคือเรื่องยากที่ได้เห็นวัยรุ่นอายุ 17 ปีมีความตั้งใจแน่วแน่และกล้าหาญ เป็นแบบหนึ่ง “แม้ว่าคนพันคนหมื่นคน ผมก็เคยเห็นมาแล้ว” ไม่เคยมีใครกล้าหาญเช่นนี้มาก่อน
ผมหันหลังแจ้งข่าวให้พี่เหมียว พี่เสี่ยวเยี่ยนทราบว่าความตั้งใจของ ซูโหย่วเผิงแล้ว และคุยเหตุผลเรื่องวัยรุ่นวัย 17 ปีคนนี้ พี่เหมียวเป็นคนใจอ่อน
เธอรู้ว่า ซูโหย่วเผิง เต็มใจรับผิดชอบด้วยตัวเองทุกอย่าง ก็ไม่กล้าทำร้ายจิตใจเขา
แล้วเช่นนี้ ซูโหย่วเผิง ก็ราบรื่นเช้าห้องบันทึกเสียงอัลบั้ม “หนันไหปู้คู”
: มีความรักอย่างหนึ่งเรียกว่าเข้าใจหลักเหตุผล
การครองชีพอยู่บนเรื่องสัพเพเหระ ก่อนอื่นถ้าเป็นไปได้ผมจะช่วย ซูโหย่วเผิง จัดการเรื่องนี้ให้ดี เพื่อให้เขาสามารถตั้งใจเรียนหนังสือ อย่าให้มีเรื่องจุกจิกมากวนใจเขา เพื่อให้เขาเอาพลังที่เป็นหลักใหญ่ไปมุ่งการเรียนหนังสือและเรียนเต้นรำร้องเพลง โดยเฉพาะ ซูโหย่วเผิง มีตารางชีวิตต้องดูแลมากมาย ห้ามไปสนใจคำยั่วยุคนนอกวงการโดยใช้คำพูดสกปรก พวกเขาเห็นว่า พี่ซ่ง รักเข้าข้าง ซูโหย่วเผิงเป็นพิเศษ นี่คือทำให้ผมทุกข์ใจพูดไม่ออก
: กล่าวถึง อู๋ฉีหลง กับ เฉินจื้อเผิง จุดนี้ พวกเขาต่างก็รู้กันเอง
อู๋ฉีหลง เป็นคนใจกว้างมาก เขาให้อภัยผมแล้วมุ่งให้ ซูโหย่วเผิง ทำให้ดีขึ้น ขณะนั้นผมจำคำพูดในใจของ อู๋ฉีหลง ที่เคยพูดกับผมได้อย่างชัดเจน “ พี่ซ่ง ไม่เป็นไร พวกเราล้วนห่วงใย ซูโหย่วเผิง มาก เพียงแต่คุณต้องช่วยเหลือเขามากๆ เขาต้องการคุณมาก ก็มีแต่คุณที่ไม่บ่นไม่โกรธ ทำเพื่อเขามากมาย พวกเรายอมนับถือคุณมาก ช่างลำบากคุณแล้วพี่ซ่ง”
แล้ว เฉินจื้อเผิง ก็เป็นบุคคลที่มีสายตาอันฉลาด มีอยู่ครั้งหนึ่งผมกับ เฉินจื้อเผิง ไปสัมภาษณ์สดโดย DJ สถานีวิทยุช่องหนึ่ง คุยไปคุยมาทันที DJ คนนั้นก็ถาม เฉินจื้อเผิง ว่า
“คนข้างนอกล้วนกล่าวว่า พี่ซ่ง รัก ซูโหย่วเผิง มากที่สุด ในสายตาคุณจื้อเผิง คุณว่าอย่างไร ? “
“คงไม่ใช่แน่ๆ” เฉินจื้อเผิงตอบกลับมาแบบจืดชืด “ ซูโหย่วเผิง อายุยังน้อย การบ้านการเรียนก็มาก เดิมทีจำเป็นต้องเอาใจใส่เขามาก แล้วหน้าที่การดูแล ซูโหย่วเผิง ก็คือ ฉีหลงและผมเป็นผู้รับผิดชอบ เพียงแต่ว่า พี่ซ่ง แบกรับคนเดียว พี่ซ่ง ทำได้ดีมาก ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ไม่มีใครทำได้เท่าพี่ซ่ง ซึ่งไม่มีความส่วนตัวกับซูโหย่วเผิง "
จนถึงวันนี้ ผมและ ซูโหย่วเผิง ล้วนขอบคุณอย่างหมดใจทั้งกับ อู๋ฉีหลงกับ เฉินจื้อเผิง ในปีนั้นที่ให้อภัย พวกเราต่างพร้อมใจกันเดินหน้าผ่านพ้นเดือนปีที่ลำบากที่สุด พร้อมใจกันเผชิญหน้ากับคนนอกวงการในแง่สายตาที่คาดกันว่าดู เสี่ยวหู่ตุ้ย ที่เป็นนักร้องที่ดีต้องมาแยกย้ายจากกัน แต่เพราะว่าพวกเรามีใจสมัครสมานสามัคคีกัน จึงประสบความสำเร็จ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” เป็นการรวมตัวความทรงจำสู่คนรุ่นหนึ่ง 20 ปีให้หลังจนถึงในวันนี้ จึงทำให้ อู๋ฉีหลง เฉินจื้อเผิง ซูโหย่วเผิง ล้วนยังคงยืนหยัดอยู่ที่จุดสูงเด่นจุดหนึ่งที่เตรียมรอคอย
: การอบรมสอนสั่งที่เป็นกฎเหล็กสำหรับความรัก
ซูโหย่วเผิง เคยโดนผมเตะ อู๋ฉีหลงเคยโดนผมตี เฉินจื้อเผิงเคยโดนผมด่า
ขณะที่ผมพาเสี่ยวหู่ตุ้ย เข้าสู่วงการ รับหน้าที่เป็นผู้ผลักดันผู้จัดการรวมทั้งเป็นพี่เลี้ยง และร่วมมือได้ผ่านพ้นมา 10 กว่าปี ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรานอกเหนือจากเป็นผู้ผลักดันและผู้จัดการนักแสดงแล้ว เวลายิ่งนานกลับคล้ายกับพ่อลูก พี่น้อง ศิษย์อาจารย์ และเพื่อน ผมยังคงแสดงบทบาทปรองดองระหว่างการรับงานและบริษัท นำพา เสี่ยวหู่ตุ้ย วิ่งข้ามน้ำข้ามทะเลวิ่งเหนือจดใต้ เดินทางระยะไกลสู่ในและนอกประเทศต่อสู้อย่างลำบากเหนื่อยยาก พวกเราพร้อมใจกันเดินผ่านอุปสรรพขวากหนามเพื่อก้าวสู่ความโด่งดัง ร่วมกันผ่านพ้นสะสมทั้งหยาดเหงื่อและน้ำตาผสมผสานความทุกข์ยากและความสุขร่าเริงมา 10 กว่าปี
ตั้งแต่ผมเริ่มนำเพื่อนสหายน้อย 3 คนนี้ (ขณะนั้น ซูโหย่วเผิง อายุ 15 ปี เฉินจื้อเผิงอายุ 17 ปี อู๋ฉีหลงอายุ 18 ปี) ผมก็รู้จักสั่งสอนและควบคุมพวกเขาอย่างเข้มงวดแน่นอน ต้องเอาตัวเป็นแบบอย่าง รักษาตรงต่อเวลา ไม่มาสาย กำลังความสามารถที่ตัวเองทำอยู่ต้องสูงกว่า ต่อผู้อื่นต้องมีสัมมาคารวะและจริงใจ นี่ก็คือผมได้เข้มงวดขอร้องพวกเขาจำต้องทำให้ได้ พวกเขาจำต้องทำหน้าที่มอบหมายงานให้แก่บริษัทลุล่วงสำเร็จ เรื่องระเบียบข้อบังคับในกฎ นี่ก็คือผู้ที่เป็นคนผลักดันศิลปินจำต้องผูกมัดกับตัวศิลปิน
ถ้าหากพวกเขามาสาย ไม่จัดการเรื่องงานส่วนตัวให้เรียบร้อย ผมก็จะตีพวกเขา เตะพวกเขา ซูโหย่วเผิง ก็โดนผมเตะมาแล้ว เช่น ซูโหย่วเผิงมาสาย จากโรงเรียนต้องเร่งมาถึงลานฝึกซ้อมต้องใช้เส้นทางมาระยะหนึ่ง เขาบอกกับผมว่ารถติดมาก แต่ผมบอกเขาว่ารถติดไม่ใช่เหตุผล จริงๆแล้วเขาจำเป็นต้องเอาเวลาที่รอคอยรถเมล์ เวลาการเดินด้วยเท้าเดินคำนวณให้ดี แล้ว อู๋ฉีหลง และ เฉินจื้อเผิง ทำไมจึงมาตรงต่อเวลา ? คุณมาสาย แสดงว่าคุณไม่ให้เกียรติต่อเขาทั้ง 2 คนใช่หรือไม่ ?
อู๋ฉีหลง ก็เคยตกอยู่ในความรักทำข้อผิดพลาดเวลาด้านการฝึกซ้อม เคยโดนผมตีมาแล้ว เฉินจื้อผิง เพราะทานอาหารมากเกินไป โดนผมดุด่าตีเอา จริงๆแล้วนี่คือสาเหตุ ธาตุอาหารที่ทำให้เขาอ้วนง่าย ผมเตือนเขาอย่าทานอาหารที่ทำให้เกิดความอ้วนง่าย เขาแอบดื่มชานม ทานขนมเค้กของแฟนเพลงที่ชื่นชอบนำส่งมาให้ทาน ผมต้องโมโหแน่นอน ดุด่าตีเขา จริงๆแล้ว นักแสดงจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อตัวเอง เพราะเป็นนักแสดงมีหน้าที่รับผิดชอบส่วนหนึ่งคือตัวเองต้องโชว์ตัวให้ผู้ชมชอบในตัวคุณ คนอื่นดูคุณแล้วมีความเพลิดเพลินพอใจถึงจะใช้ได้ คุณอยากอ้วนขึ้นมา แล้วไม่มีผู้ใดชื่นชอบอีก เพื่อเรื่องเหล่านี้ผมเคยดุด่าเขา ผมเชื่อใจเขา
เรื่องผ่านมา 20 ปีแล้ว เสือน้อย 3 คนจำต้องขอบคุณผมในปีนั้น ซึ่งมีเงื่อนไขเข้มงวดกวดขันต่อพวกเขา รวมทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ถอดออกมาจะต้องพับเก็บอย่างไร แล้วต้องวางเรียงให้ดีจึงค่อยส่งซัก ก่อนจะสวมใส่ต้องใช้ไม้แขวนเสื้อ แขวนให้ดีเพื่อให้ลมพัดถ่ายเทมา อย่างนี้จึงจะไม่มีกลิ่นอับของเหงื่อ แล้วห้ามถอดออกมาโดยมีรอยยับจึงวางตรงนั้น ไม่อนุญาตทำสิ่งที่ไม่ดี ไม่เพียงแต่หักเงิน ยังต้องถูกทำโทษร่างกายด้วย
: .........ดูมาตรฐานการตี ด่า เตะนี่คือ สอน สั่ง ควบคุม
เดี๋ยวนี้บริษัทหลายแห่ง เจ้าของธุรกิจรวมทั้งผู้ผลักดันหรือผู้จัดการส่วนตัวรักใคร่นักแสดงมากไป รักจนไม่ลืมหูลืมตา ผมสอนสั่งแนะนำนักแสดงของผมลักษณะท่าที ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม ล้วนกลัวผู้ที่มาดูแลตน คนครัว คนทำอาหาร เด็กกวาดพื้น ล้วนต้องยำเกรงทั้งนั้น เพราะว่าพวกเขาเปรียบเหมือนพ่อแม่ให้เสื้อผ้า ให้ของกินแก่นักแสดง ถ้าหากพวกเขาอยู่ในแบบพิธีคุกคามคุณ พลิกอีกด้านหนึ่งคุณต้องแนะนำสั่งสอนเขาต้องทำตัวอย่างไรต่อบุคคลอื่น ไม่ใช่หันหลังไม่สนใจแล้วไล่เขาออกไป นั่นไม่ถูกต้อง
บัดนี้แมวมองหรือผู้ผลักดันเอาใจดารามาก เหมือนดาราเป็นพวกเทวดา ตัวเองไม่มีวิธีการใดโดยใช้ตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวมาแนะนำสั่งสอนพวกเขา ผู้จัดการส่วนตัวต้องให้ข้อมูลนักแสดงเพื่อให้พวกเขาทราบ เวลาพวกเขาไม่ได้ร้องเพลง จริงๆ แล้ว คือ บุคคลธรรมดาคนหนึ่ง เช่นเดียวกับพวกเราเสมอภาคกัน ทุกคนล้วนอาศัยตัวเองเพื่อไปดำรงชีพขยันขันแข็งทำมาหาเลี้ยงชีพ เพียงแต่ว่าอาชีพของพวกเรามีความแตกต่างกันเท่านั้น อย่าเอาดารามารักลำเอียงจนเสียหาย ส่งผลต่อนิสัยในภายหลังไม่เป็นผลดีต่อการพัฒนาของพวกเขา
ขณะที่ผมนำพา เสี่ยวหู่ตุ้ย เพราะว่าพวกเขายังไม่ได้เข้าสู่วงการนี้ เพียงแต่ผมสามารถกล่าวกับพวกเขาว่าควรทำอย่างไร เป็นคน ต้องมีคุณค่ายิ่งกว่าการแสดงและร้องเพลง เป็นคนดีแล้วจึงจะเป็นนักร้องและนักแสดงที่ดีได้ พวกเขาก็เข้าใจเหตุผลจุดนี้
จนถึงบัดนี้ เวลาทุกคนอยู่ร่วมกัน จะสามารถค้นพบทุกคนล้วนเป็นบุคคลมาจากต่ำสุด และคือ บุคคลธรรมดาๆ นี่เอง พวกเขาให้ความเคารพต่อคนอื่นมาก และก็จริงใจด้วย โดยเฉพาะยุคสมัยที่ต่างกัน ความคิดและสอนสั่งก็ต่างกัน ปัจจุบันบริษัทจัดหาดาราได้เอานักแสดงมาปั้นด้วยกับมือ แต่ขาดการเอาใจใส่ดูแลสอนสั่งพวกเขาอย่างไร (หรือว่าจริงๆแล้ว ไม่กล้าสอนสั่งนักแสดง) ตรงกันข้ามให้ผลร้ายต่อนักแสดง เดี๋ยวนี้นักแสดงหลายคนเห็นว่าตัวเองได้รับการนิยมชื่นชอบ โดยอาศัยตัวเองที่มีความสามารถและขยัน แท้จริงแล้วก็ลืมคณะทีมงานซึ่งอยู่ข้างกายทุ่มเทและช่วยเหลือ เอาความดีความชอบมาใส่ตัวเอง นี่คือความผิดพลาดสาหัสสากรรจ์ในความคิดอ่าน จริงๆแล้ว ความลำบากและขยันของพนักงานข้างกายนักแสดงก็ไม่น้อยหน้ากว่านักแสดง
: ผมมุ่งวิธีสอนสั่งต่อ เสี่ยวหู่ตุ้ย คือ กฎ ข้อระเบียบ กฎเหล็ก และสอนสั่ง
: อารมณ์รักของเสือน้อย 3 คนในสากลโลก
ผมมีความรู้สึกว่าการอยู่ในอารมณ์รักๆ ใคร่ๆ ต่อบุคคลธรรมดา นี่เป็นเรื่องธรรมดาของคนทั่วไป นั่นคือเรื่องของมนุษย์ ล้วนมีความรักใคร่ที่ต้องการ
เวลานักแสดงเมื่อไม่มีงานแสดงและร้องเพลงก็คือ บุคคลธรรมดา มีสิทธิคุยเรื่องรักๆใคร่ๆได้ ดังนั้นผมต่างกับผจก.ส่วนตัวคนอื่นๆ ผมไม่ห้ามพวกเขาคุยเรื่องรักๆใคร่ๆ เพราะว่าผมรู้สึกว่า หากขอร้องนักแสดงไม่ให้คุยเรื่องรักๆใคร่ๆ ถือเป็นคนเห็นแก่ตัวและไม่ยุติธรรม นี่คือการแย่งชิงสิทธิเสรีของพวกเขา โดยเฉพาะเรื่องคนหนุ่มสาว ถ้าหากเอาอารมณ์รักเหล่านั้นนำออกมาจากชีวิตแล้ว พวกเขาได้กลายเป็นความว่างเปล่า
อีกกรณีหนึ่งนักแสดงยิ่งต้องการคุยเรื่องรักใคร่ ไม่ว่าคุณเป็นนักร้องหรือนักแสดง ต้องผ่านประสบการณ์อารมณ์รักใคร่ ทั้งทุกข์กระหน่ำและความสุข กลัวอย่างเดียวอารมณ์รักใคร่สิ้นสุดลงถึงขั้นแตกสลาย ทำให้คุณผิดหวัง เจ็บปวด นี่คือชีวิตของคุณจำต้องผ่านประสบการณ์ เพียงแต่คุณต้องมีประสบการณ์สิ่งนี้ ขณะที่คุณแสดงหนังอยู่นั้น ถึงจะสามารถนำเอาสัจจะความจริงและอารมณ์จริงของในหนังแสดงตัวตนออกมา
ดังนั้นผมขอกล่าวว่าการคุยเรื่องรักใคร่ต่อนักแสดงสำคัญมาก เดี๋ยวนี้มีบางบริษัทแผ่นเสียงได้แย่งชิงสิทธิการคุยรักใคร่ของนักแสดงในวัยหนุ่มสาว นี่ก็ทำให้พวกเขาไม่มีประสบการณ์ทางด้านนี้ เวลาร้องเพลงก็ไม่สามารถอาศัยตัวเองที่ได้ผ่านการทดสอบมาแล้วร้องได้ดี หรือไม่สามารถร้องเพลงใส่อารมณ์เข้าไปในเนื้อร้อง ผมต้องระมัดระวังบอกกล่าวกับผจก.นักแสดงทั้งหลายว่า การคุยเรื่องความรักใคร่ จริงๆแล้ว คือ นักแสดงต้องทำการบ้านและฝึกฝน ยิ่งสำคัญกว่าเขาไปเรียนร้องเพลงและการแสดง
ตั้งแต่ตั้ง วงเสี่ยวหู่ตุ้ย 3 คนในปี 1988 เวลาช่างรวดเร็วเหลือเกินผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว การทุ่มเทธุรกิจและการงานได้ยึดเวลาส่วนใหญ่ระดับหนึ่งของพวกเขา ก็เพื่อสนับสนุนพวกเขาคุยเรื่องรักใคร่ พวกเขาสามารถเรียนรู้อารมณ์รักใคร่ก็ไม่มาก อู๋ฉีหลงคือ หนึ่งในวงการนักแสดง ซึ่งเคยผ่านการคุยรักๆใคร่ๆ คนหนึ่ง เขามีภาพลักษณ์หน้าตารูปร่างภายนอกงามสง่าเหมือนเจ้าชาย มีเสน่ห์ดึงดูดต่อเพศตรงข้าม ขณะเข้าวงการ เขากับคุณอิวอิวเคยผ่านการคบหากันเป็นคนรักกัน ขณะเข้ามหาวิทยาลัยก็เคยมีคนรัก ล้วนเป็นนักเรียนของโรงเรียน ประมาณปี 2000 เขากับดาราฮ่องกง ไฉ้เส้าเฟิง เคยคบหากันเป็นคนรักกัน ในที่สุดเขาก็แต่งงานกับ หม่าย่าซู ซึ่งเป็นคนในวงการบันเทิง ถึงแม้ว่าพวกเขาต่างแยกทางกัน แต่ว่า อู๋ฉีหลง ทำธุรกิจได้ประสบความสำเร็จ ก็นับว่าเป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่คนหนึ่ง ชีวิตคนเรามีไม่กี่ 10 ปี เขาได้ย่างสู่วัย 40 ปีแล้ว ผมยังคงสนับสนุนเขาในเรื่องความรักต่อไป อย่างนี้จึงจะมีเพื่อนคู่กายได้ กลับบ้านสามารถมีคู่ปรับทุกข์ในใจได้
ปัจจุบันนี้ เฉินจื้อเผิง อายุ 37 ปีแล้ว จากวัยรุ่นถึงเดี๋ยวนี้เคยผ่านการจีบคุยความรักกี่ครั้ง เขาเป็นคนไม่ชอบถูกการผูกมัด เด็กสาวทั่วไปไม่มีปัญญาผูกมัดใจเขา เหนือแห่งความรักใคร่ยังไม่สามารถอบรมถึงเป้าได้ จนถึงเดี๋ยวนี้ยังหาคนรักอยู่
ซูโหย่วเผิง จารึกอยู่ในความทรงจำของการจีบคุยรักใคร่หนึ่งครั้งคือ แรงกดดันการเรียนและการทำงานของเขาขณะนั้นหนักมากที่สุด เขาอยู่ ม. 6 ในปีนั้น ซูโหย่วเผิง ได้ชอบเด็กสาวแซ่โจวคนหนึ่ง ที่เขาทั้ง 2 เรียนกวดวิชา พวกเขาเคยคบหากัน แต่เนื่องจาก ซูโหย่วเผิง สอบเอ็นทร้านเข้ามหาวิทยาลัยแล้วยังต้องทำงานต่อ ซึ่งอยู่ในวงเสี่ยวหู่ตุ้ยเพื่อดำรงธุรกิจของเขาต่อไป รวมทั้งปีนั้นการแจ้งข่าว และงานต่างๆ ของ วงเสี่ยวหู่ตุ้ยมากเป็นพิเศษ งาน ซูโหย่วเผิง ยุ่งมาก สื่อมวลชนกล่าวว่า พวกเขาห่างเหินมากกว่าการใกล้ชิดกัน ด้วยเหตุนี้เขาทั้ง 2 ค่อยๆ ลดความใกล้ชิดกันน้อยลงไปทุกที สุดท้าย น.ส.โจว ได้เลือกเพื่อนร่วมชั้นเป็นคู่รักกัน เขาก็คือ เพื่อนที่ดีคนหนึ่งของ ซูโหย่วเผิง เรื่องนี้จึงทำให้ ซูโหย่วเผิงเสียใจมาก จนถึงบัดนี้ ซูโหย่วเผิง ยังหาคู่ใจไม่ได้ ผมรู้สึกว่านี่คือ บุพเพสันนิวาส
เป็นนักแสดง จริงๆแล้วเพราะตัวเองเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นไปได้ไหม จึงทำให้คนนอกวงการรู้สึกว่าความรักของพวกเขาซับซ้อนมาก สับสนมาก แท้จริงแล้วนักแสดงและคนธรรมดาก็เหมือนกัน ต่างต้องการมีความรักที่มั่นคงส่วนหนึ่ง แล้วหวังว่าให้ฝ่ายตรงข้ามได้เข้าใจและให้อภัย ด้านความรัก ซูโหย่วเผิงและเฉินจื้อเผิง ใจไม่กล้าเหมือน อู๋ฉีหลง เพียงแต่ผมยังจริงใจอวยพรพวกเขา หวังว่า เฉินจื้อเผิงและซูโหย่วเผิง ในเรื่องความรักให้บรรลุเป้าหมายเร็วขึ้น ให้หาคู่ใจของตัวเองรวดเร็วขึ้น แท้จริงอายุก็ไม่น้อยแล้ว ต้องกล้าไปขอความรัก บนถนนเส้นทางแห่งความรักทั้งเห็นใจและค้ำจุนซึ่งกันและกัน เพื่อตัวเองยิ่งต้องรับผิดชอบต่อคู่รัก
หนังสือ Yongyuan De Xiao Hu Dui(The Little Tigers's Forever) แปลจบบริบูรณ์แล้วคะ |
ข้อความนี้เป็นอีกเรื่องราวของ เสี่ยวหู่ตุ้ย ในปี 2010
14 - 03 - 2010 : หลังจากคืนราตรีของฤดูใบไม้ผลิ วงเสี่ยวหู่ตุ้ย ค่าตัวแสดงของแต่ละคนล้วนพุ่งสูงขึ้น การโฆษณาต้องจ่อคิว
ผู้แทนโฆษณารู้สึกว่า อู๋ฉีหลง มีรูปร่างลักษณะดี มีข่าวอื้อฉาวแยกทางกัน แต่ว่ารูปร่างลักษณะยังรักษาดีอยู่ เพียงแต่พึงพอใจและเหมาะแก่ด้านการโฆษณา ถ่ายหนัง สัญญาคิวหนังก็มาก การถูกเลือกมากขึ้น
21 ปีให้หลัง วงเสี่ยวหู่ตุ้ย ได้มารวมตัวอีกครั้ง ซึ่งเคยยืนหยัดอยู่บนกลางเวที “เสือสายฟ้าแลบ” อู๋ฉีหลง ยังเหมือนเดิมยืนอยู่บนกลางเวที ณ. จุดนั้น เวลาเหมือนไม่ได้ทิ้งร่องรอยเหลืออยู่บนร่างกายของตัวเขา ยังเหมือนเดิมมีใบหน้าสดใส ยังเหมือนเดิมมีร่างกายผอมเปรียวแข็งแรง ยังเหมือนเดิมมีลีลาการเต้นรำคล่องแคล่วว่องไว ระยะใกล้นี้ อู๋ฉีหลง ถูกนักข่าวหนังสือพิมพ์สัมภาษณ์ยาวเหยีอด พูดเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองและพี่น้อง 2 คน กล่าวบอก วงเสี่ยวหู่ตุ้ย ว่า การพัฒนาหลังเทศกาลตรุษจีน(ราตรีฤดูใบไม้ผลิ) และเหตุการณ์ก่อนมารวมตัวกันอีก
: ค่าตอบแทนหนังและผู้แทนโฆษณาได้ขึ้นมาหนึ่งเท่าตัว
มากล่าวถึงเกี่ยวกับ อู๋ฉีหลง ตัวเขาเอง เทศกาลตรุษจีน(ราตรีฤดูใบไม้ผลิ)เนื่องการพัฒนาธุรกิจกระทบใหญ่มาก พนักงานฝ่ายโฆษณาบอกกับนักข่าวว่า ค่าใช้จ่ายผู้แทนโฆษณาฝ่าย อู๋ฉีหลง และค่าตอบแทนถ่ายหนังอย่างน้อยได้ขึ้นหนึ่งเท่าตัว หลังราตรีฤดูใบไม้ผลิผู้แทนด้านโฆษณาส่วนมากได้ติดต่อกับ อู๋ฉีหลง ทันที หนึ่งในนั้นผู้แทนโฆษณาอิสระขอติดต่อเจรจาด้วย ผู้แทนโฆษณาส่วนมากรู้สึกว่าลักษณะรูปร่างและสรีระของ อู๋ฉีหลง ดี
ข่าวอื้อฉาวการแยกทางกับภรรยายังคงรักษารูปร่างลักษณะสง่างามดีมาก เหมาะสมทำโฆษณ์ด้านเสื้อผ้า แล้วด้านการถ่ายหนัง การสัญญาถ่ายหนังก็มากขึ้น ถูกเลือกถ่ายหนังมากขึ้น
อู๋ฉีหลง ได้แสดงว่า เดิมตัวเองเป็นนักกีฬา คาราเต้และยูโดล้วนฝึกถึงขั้นสูง ดังนั้นตัวเองด้านการแสดงหนัง บทบาทบู้ชอบมากๆ ขณะเวลาถ่ายหนังการแสดงบทบาทบู้ มีบ้างการแสดงหนังบทบาทบู้ยากที่แสดงออก เพียงแต่ว่าคุณสามารถสยบบทบาทบู้ให้อยู่ แสดงมันได้ จริงๆแล้วนี่คืองานของตัวเองเพื่อค้นหาด้านแสดงโดยใช้อารมณ์หนัง เล่นจนบรรลุผลสำเร็จ เพราะคุณสามารถรู้ได้อย่างชัดเจน โอหนอ นี่คือบุคคลอื่นที่ทำไม่ได้ แต่ผมสามารถทำได้ ผมเองก็รู้สึกว่าได้รับจากผู้ชมปลอบขวัญให้กำลังใจมาก
: หวังว่าการพัฒนาทิศทางของดาราที่มีผลงานได้เดินหน้าต่อไป
เคยถ่ายหนังละครมามากมาย อู๋ฉีหลง รู้สึกว่าการแสดงบทบู้มีความท้าทายมากกว่าเล่นหนังละครบทภาษา คุณต้องจดจำการเล่นแสดงบทบาทอันมากมาย คุณต้องเก่ง ส่วนด้านหนึ่งต้องอดกลั้นความเจ็บปวดและระวังอันตรายอย่างนั้น อีกด้านหนึ่งต้องเล่นหนังจนจบ บทบาทนี้ยากจะผ่านไปได้ ผมก็ไม่เห็นด้วยบทบาทดีกว่าแสดงบทความ ผมก็เคารพดาราบู้เป็นพิเศษ นักแสดงอยู่บนเวที ผมรู้สึกว่ามันไม่ง่ายจริงๆ
ถึงเดี๋ยวนี้บนพื้นฐาน อู๋ฉีหลง ขั้นตอนการถ่ายหนังเคยถูกทดสอบอาวุธทุกชนิด การแสดงบทบู๊ หมัดมวย18 ชนิดทุกอย่างเป็นหมด เวลาเขาถ่ายหนังอย่าเอาอุปกรณ์ใกล้อาจารย์ ให้นำมีดหอกพ้นไกลตัว ตัวเองเป็นคนคุ้นเคยอาวุธเหล่านี้ ยิ่งกว่านั้นต้องอบรมอารมณ์บทบู้ เพื่อให้บทบู้กลายเป็นอาชีพส่วนหนึ่ง ตอนนี้เขาได้แสดงตัวเองออกมาให้เห็น ถึงแม้ว่าโดนครูฝึกศิลปะกังฟูวิจารณ์ก็ตาม หม่าหวี่เฉินเป็นนักแสดงที่ใช้อาวุธตีรำอย่างสวยงามและน่าดูทีเดียว เพียงแต่ว่าตัวเองยังไม่เชี่ยวชาญศิลปมวยกังฟู เขาหวังว่ามีเวลาที่เอื้ออำนวยให้ใช้เพียรพยายามมุ่งพัฒนาทิศทางที่เป็นดารามวยกังฟู
: ซูโหย่วเผิง “ คิวแฟ้มเอกสารงานแสดงเต็มเพียบ ”
ราตรีฤดูใบไม้ผลิในปีเสือทำให้ธุรกิจของ ซูโหย่วเผิง พุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่สัญญาคิวหนังไม่ขาดสาย ผู้แทนฝ่ายโฆษณามีคนหลายประเภท ฝ่ายเจรจาของบริษท์ต่างๆได้มาที่บ้านไม่ขาดสาย นี่เรียกว่าได้ทั้งผลประโยชน์และชื่อเสียง
ขณะสัมภาษณ์ ซูโหย่วเผิง ราตรีฤดูใบไม้ผลิ ปีเสือ กำลังผ่านไปเกือบหนึ่งเดือนแล้ว แต่ว่าจากคำพูดของ ซูโหย่วเผิง นักข่าวยังคงได้รับความตื่นเต้นจากเขา “ ปีนี้ผมรู้สึกได้รับสิ่งดีๆจากราตรีฤดูใบไม้ผลิจริงๆ ” ขณะเดียวกัน จากคำพูดของ ซูโหย่วเผิง นักข่าวยังคงรู้สึกคำพูดรับแบบจืดชืด “ ผมเป็นบุคคลที่มีบุพเพคนหนึ่ง ไม่ใช่เป็นช่วงขณะเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงทำให้ใจสับสน แน่นอน ยังมีชายคนหนึ่งซึ่งคุ้นเคยที่ไม่ควรน้อยหน้า ก็คือเวลาที่โดนดุจาก โจวเจี๋ย เรื่องก็ผ่านไปแล้ว อย่าเอ่ยถึงมันอีกเลย อธิบายมากๆ ก็ไร้ประโยชน์ จริงๆแล้ว ผมกับ โจวเจี๋ย ยังชื่นชอบกันอยู่ ”
: ถ่ายหนังเรื่องใหม่ ผู้แทนโฆษณา(พรีเซนเตอร์) ได้รับประโยชน์
ซูโหย่วเผิง กล่าวว่า ราตรีฤดูใบไม้ผลิทำให้ผมรู้สึกมีเรื่องดีๆ ผมรู้สึกขอบคุณ เพราะสิ่งที่ยืนยันให้กับตัวผมรู้สึกมีค่ามาก แน่นอน ซูโหย่วเผิง เหตุผลควรขอบคุณ เพราะว่าราตรีฤดูใบไม้ผลิหลังจากผ่านพ้นไปแล้ว เขาเป็นบุคคลไม่เพียงแต่โชควาสนาสูงขึ้น สัญญาคิวหนังชุดหนึ่งก็อีกชุดหนึ่งตามมาติดๆ
“ ต่อมาไม่กี่เดือน หลักใหญ่คิวหนังก็เต็มหมดแล้ว เดือนนี้มีโปรโมทหนังฉาย 2 เรื่อง เรื่องหนึ่งเป็นหนังละครรักใคร่แนวร่าเริงสบายใจ "4 กามเทพ: ซื่อเก้อชิวปี่เท่อ" กล่าวคือ เป็นเรื่องนิยายที่แม่แสนดื้อรั้นกับลูกสาว 4 คน ผมก็คือ หนึ่งในนักแสดงนั้นซึ่งมีประสบการณ์กับหญิงสาวหลายคน เป็นคนที่กลัวการแต่งงานทำให้กลุ่มผู้คนหลงใหลมากมาย หนังเรื่องที่ 2 คือ "ตามหาหลิวซานเจี่ย:สวินเจ่าหลิวซันเจี๋ย" หนังใช้ดนตรีเป็นหลัก ก็นับเป็นหนังเรื่องความรัก มีการแนะนำทิวทัศน์ของเขตปกครองตนเองชนชาติจ้วงฯกว่างซี ผมถ่ายหนังเรื่องนี้ยังต้องฝึกร้องเพลงพื้นเมือง ”
นอกจากวางแผนถ่ายหนังโฆษณาแล้ว เดือนพฤษภาคม ซูโหย่วเผิง ยังต้องไปถ่ายหนังเรื่องใหม่ “เดือนพฤษภาคมจะเข้าร่วมหนังแสดงรื่องลึกลับสงสัยเรื่องหนึ่ง มีจุดหนึ่งคล้าย เรื่อง The Message(ฟงเซิน) ขึ้นอยู่กับความสงสัยและพิลึก ให้คุณจับตาดูหนังจนจบ สุดท้ายผลลัพธ์ออกมาจะทำให้คุณตกใจ บุคคลที่ผมแสดงครั้งนี้ คือ ไป๋เสี่ยวเหนียง แสดงแตกต่างกัน เรื่องใหม่นี้แสดงเป็นตัวเอก โอๆ”
ระหว่างการสัมภาษณ์ ซูโหย่วเผิง เอ่ยปากคำว่าขอบคุณ ไม่ใช่ครั้งเดียว พร้อมแสดงออกมาว่า ผลงานมีในวันนี้ จริงๆเขาดูอย่างมีคุณค่ามาก ยิ่งคิดแล้วยิ่งจะทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ต่อสาธารณะ อาศัย ซูโหย่วเผิง แนะนำ มี 3 รายการสาธารณะประโยชน์ เร็วๆนี้ จะออกโชว์ตัวแสดง
“ อันที่หนึ่งคือ “กิจกรรมห่อหุ้มด้วยหัวใจแห่งความรัก” ผมในฐานะตัวแทนโฆษณาจะปรากฏโชว์ตัว เพื่อสหายน้อยในเขตภยันตรายส่งหัวใจแห่งความรักมาให้
อันที่ 2 กิจกรรมคือครูผู้ฝึก COACH อยู่ในประเทศจีนและดาราฮอลลีวูดที่เลือกแล้ว 50 คน แต่ละคนออกแบบกระเป๋าผ้า(ถุงผ้า)รักษาสิ่งแวดล้อมคนละหนึ่งแบบ กระเป๋าผ้า(ถุงผ้า)รักษาสิ่งแวดล้อม 50 ใบนี้อยู่ที่ประเทศจีนทำโชว์การแสดงลาดตระเวนไปก่อน หลังจากนั้นจึงออกจำหน่าย รายได้ทั้งหมดบริจาคให้แก่มูลนิธิ เฉินหลง หนึ่งในนั้น ผมออกแบบกระเป๋าผ้า(ถุงผ้า)รักษาสิ่งแวดล้อม ในที่สุดแผนกผู้อำนวยการของอเมริกาได้คัดเลือกถูกส่งเข้าโรงงานผลิต รายได้ทั้งหมดก็บริจาคให้แก่ มูลนิธิ “ อ้ายซิง ”หมายถึง “ หัวใจแห่งความรัก ”
กิจกรรมที่ 3 คือ “หมู่ชิงสุ่ยเจี้ยว” หมายถึง สายธารอุโมงค์ใต้น้ำแห่งมารดา ซูโหย่วเผิง คือ บุคคลผู้แทนโฆษณา(พรีเซนเตอร์) ”
: รอคอยประวัติศาสตร์ภาพยนตร์หนังที่เหลือชื่อไว้อาลัย ค่อยถอนตัวออกจากวงการบันเทิง
สามารถกล่าวได้ว่า ราตรีฤดูใบไม้ผลิ ปีเสือ ทำให้อาชีพในวงการบันเทิงของ ซูโหย่วเผิง พุ่งสู่ท้องฟ้า ไม่เพียงแต่ภาพยนตร์ที่มีมาให้ลงนามสัญญาไม่ขาดสาย ผู้แทนโฆษณาแต่ละราย ฝ่ายเจรจาของบริษท์ต่างๆมาถึงบ้านอย่างไม่ขาดสาย เรียกได้ว่ามีทั้งประโยชน์และชื่อเสียง นั่นก็คือเหตุการณ์เวลาล่วงหน้าที่ดีอย่างนี้
ซูโหย่วเผิง มีการตัดสินใจให้เวลากับตัวเองโดยการถอนตัวออกจากวงการ “บัดนี้ คือสิ่งที่ใจปรารถนามากที่สุด หากว่ามีโอกาสที่ดี สามารถอยู่ในภาพยนตร์ที่สร้างชื่อที่หนึ่งหรือที่ 3 ดีกว่าบทบาทอันมนต์ขลัง สามารถอยู่ในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ที่อยู่ในใจทุกคนได้ ผมรู้สึกว่าพื้นฐานธุรกิจละครโทรทัศน์ของผมก็เรียบร้อยดี หากคำพูดโชคดีเพียงพอ เหมือน เสี่ยวหู่ตุ้ย แบบนั้นมีรุ่งเรืองอย่างนั้นชั่วขณะ (MOMENT) ชั่วขณะหนึ่ง ผมสามารถเลือกสรรหาบทภาพยนตร์ที่เหมาะสม เอาด้านหนึ่งที่ดีที่สุดเก็บเหลือไว้ในใจทุกคน”
“ตัวผมเองก็ไม่มีอุปนิสัยที่มั่นคงอย่างหนึ่ง จริงๆแล้วผมต้องการเปลี่ยนบุคลิกไปเรื่อยๆ อีกทั้งผมชอบปฏิวัติตัวเอง เพียงแต่ว่าที่ผ่านมา เป็นไปไม่ได้จะโชคดีและมีพลังแบบนี้ไร้โอกาส เพราะทุกคนจะเหนี่ยวรั้งให้ผมคงดำรงตำแหน่งสิ่งนั้นๆไว้ เหมือนเสือที่แสนเชื่อง ทุกคนคุ้นเคยเห็นผมบ่อยๆ ก็คือ เสือที่แสนเชื่อง-ไกวไกวหู่ ดังนั้นผมรู้สึกถึงภาพยนตร์เรื่อง “ฟงเซิง” ทุกคนจึงได้เห็น ที่แท้อายุผมได้เติบใหญ่ขึ้น มีบุคลิกของตัวเอง ปกติขณะที่ผมดูหนังอยู่ จะเห็นตัวเอกปั้นเป็นบทบาทคนป่วยชนิดแตกต่างกันบ้าง บ่อยๆก็รู้สึกว่าแสดงดีมาก คนพวกนั้นหล่อมาก เหมือนกับผมรู้สึกอายุอย่างนี้เป็นไปได้ รู้สึกว่าหากมีบทบาทแบบนี้(ในเรื่อง-เฟิงเซิง)บ้าง สามารถทำให้ผมแสดงดีมากทีเดียว"
: หวังว่าโลกส่วนตัวยิ่งใหญ่มาก
มีคนมากล้วนกล่าวว่า หลังจาก ซูโหย่วเผิง เซ็นสัญญาบริษัทในจีนดูเงียบสงบมาก ถึงเดี๋ยวนี้ไม่มีโอกาสได้แสดงตัวเองมากนัก ไม่เพียงแต่ว่าด้าน ซูโหย่วเผิง ตัวเขาเองไม่ใช่ดูในลักษณะนี้ “เมื่อก่อนผมถ่ายหนังละครมากกว่า แสดงบทบาทก็มากกว่า ผมหวังตลอดสามารถแสดงบทบาทที่ไม่เหมือนเมื่อก่อนบ้าง เพราะฉะนั้นในช่วง 3 ปีนี้ ผมไม่ได้รับบทบาทชนิดนี้อีกเลย ผมได้เพียงแต่คิดตัดสินใจไม่กลับมาแบบเดิมอีก”
ในการดำรงชีวิต ซูโหย่วเผิง ก็มีการกำหนดทิศทางของตัวเองแน่นอน ตลอดดำรงชีพ - แบบอย่างผู้ชายของผม ต้องสมดุลกัน ไม่เพียงแต่มีการงาน ในช่วงเวลาดำรงชีพของผม บัดนี้ยิ่งมายิ่งเล็กอย่างแปลกประหลาด ผมก็หวังว่าช่วงมีเวลาว่าง การใช้ชีวิตส่วนตัวสามารถให้พื้นที่ยิ่งใหญ่บ้าง เนื่องจากมาเป็นนักแสดงคนหนึ่ง มีหลายสิ่งต้องเสียสละ เช่นพ้นข้ามปีในเทศกาลปีใหมี ช่วงเวลาเพื่อนในวัยเด็กนอกวงการของผม ทุกคนต่างกล่าวว่าจะไปชายหาดตากแดดพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว ผลลัพธ์คือ สบายใจ ผมต้องการความสบายใจอย่างนี้อีก ผมไม่สามารถจะมีเพื่อนอีก จริงๆแล้วเพียงแต่เพื่อน ในสายตาของผมเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อนแบบนี้มีคุณค่ามาก ผมหวังว่าวันข้างหน้าชีวิตแบบนี้คบเพื่อนที่ดีมากขึ้น”
: เฉินจื้อเผิง
ภาคฤดูร้อนต้องผลักดันแผ่นเสียงใหม่ ๆ
เฉินจื้อเผิง มุ่งการพัฒนาแผนโครงการตลอดทั้งปี แล้วคำนวณอย่างละเอียด ละครเวทีเต้นรำ ดนตรีต้องดูแล เอาใจใส่ธุรกิจบนด้านหนังโทรทัศน์ หนังจอเป็นเรื่องหนักแล้วหนักอีก
เดี๋ยวนี้ เฉินจื้อเผิง ชอบหัวเราะเยาะตัวเอง เพราะว่าเส้นทางนักแสดงเส้นทางนี้ล้มลุกคุกคลาน โดยเฉพาะหลังรับงานแสดงเดี่ยวได้มีประสบการณ์ทุกอย่าง ถ่ายหนังมาหลายเรื่อง ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถโด่งดังได้ ทุ่มเทการแสดงกับพี่ จางกั๋วหยง(เลสลี่จาง) ได้เจอผู้ชมหลงใหล จางกั๋วหยง เลยประชดเยาะเย้ยกับตัวเองอย่างดุเดือด.
.....ตัวเขาหัวเราะเยาะบอกกับนักข่าวเรื่องราวเก่าๆ เรื่องหนึ่ง เวลาพ้นทหารเกณฑ์กลับมาสู่วงการอีก มีผู้อาวุโสในวงการท่านหนึ่งก็พาเขาไปดูหมอดู ดูชีวิตการแสดง หมอดูเมื่อได้ดูเขาแล้ว ก็กล่าวทันทีว่า “เขาไม่เหมาะสมเดินสายอาชีพนี้ ขอให้เขารีบเปลี่ยนอาชีพใหม่ “ แล้ววันนั้น ผู้ที่ติดตามไปด้วยได้เอาไปบอกกับนักข่าว วงการบันเทิงผู้ผลิตนายทุนใหญ่ “ผมพร้อมที่จะรับการถูกโจมตี” “ คุณรู้ว่าผมอยู่ต่อหน้าคนเหล่านี้คงเงยหัวขึ้นมาได้ไหม ? นี่เป็นสื่อมวลชนทำกับผม ไม่ว่าเรื่องอะไร วิธีคิด วิธีดู วิธีการกระทำคือ ผมต้องสู้มากกว่านี้ และดีกว่าผู้อื่นอย่างแน่นอน”
เสือก็มีเรื่องน่าเกรงขาม ปีเสือต้องโชคดีแน่ หรือไม่ชีวิตของ เฉินจื้อเผิง มีประสบการณ์มากกว่า เปลี่ยนแปลงมากกว่า เฉินจื้อเผิง กับผจก.ส่วนตัวของเขา เกี่ยวกับพัฒนาแผนโครงการตลอดทั้งปี ได้คำนวณอย่างรอบคอบ ละครเวทีและดนตรีต้องดูแล เพียรพยายามเจียดเวลาออกมา เอาใจใส่ดูแลธุรกิจ บนจอหนัง และหนังละคร คือเรื่องหนักแล้วหนักอีก โดยเฉพาะ เสี่ยวหู่ตุ้ยได้รวมตัวกันอีกครั้งเหมือนปรากฏการณ์ลมพายุหมุน ณ ปัจจุบันได้มีบริษัทแผ่นเสียงเคาะประตูขอเจรจาเรื่องการร่วมมือ ด้านวงดนตรี “เสือที่มีสง่างาม(เสือหล่อ)” เพราะไม่ปล่อยโอกาสผ่านหลุดไปอย่างแน่นอน ดนตรีก็คือของเขา สำคัญมาก บริษัทต้นสังกัดได้คำนวณในภาคฤดูร้อนผลักดันแผ่นเสียงใหม่ของ เฉินจื้อเผิง ออกสู่ท้องตลาด
ผจก.ส่วนตัวชื่อ วิลเลียม บอกกับนักข่าวหนังสือพิมพ์นี้ว่า จากบทบาทและทางหนังด้านละครหนังโทรทัศน์ให้ทำลายสถิติ “คัดเลือกบทบาทที่มีอารมณ์ปะทะรุนแรงบ้าง” “หวังว่าได้ร่วมมือกับผู้กำกับดีกว่านี้” เดี๋ยวนี้ ในมือของพวกเขามีบทละครโทรทัศน์ 2 เรื่องที่กำลังติดต่ออยู่ เป็นหนังยุคใหม่เรื่องหนึ่ง หนังย้อนยุคเรื่องหนึ่ง เกี่ยวเนื่องการวางแผนหนังหนักมาก คุณวิลเลียมไม่ยอมปริปากสักนิดเดียว “การวางแผนโครงการหนังจอใหญ่ ที่จริงมาคุยด้านตรงข้าม จำเป็นต้องพูดบ้างบางเวลามีความเคร่งเครียดนิดหน่อย เพราะเมื่อก่อนพวกเราได้รับหนังจอหนังใหญ่รับน้อยมาก ผมมีจุดหมาย เพียงแต่สามารถบอกกับคุณอย่างนี้ อย่างอื่นไม่สามารถพูดได้อีก” |
บทความนี้จาก วารสารรายสัปดาห์บุคคลภาคใต้
: วารสารรายสัปดาห์บุคคลภาคใต้ :
05 – 03 – 2010 : วงเสี่ยวหู่ตุ้ย ชายอายุ 40
ขอบคุณภาพ : Baidu - Su youpeng
แผนกบรรณาธิการวารสารฉบับนี้
บทบรรณาธิการ
ถ้าหากปีนี้มิใช่ปีเสือ เสี่ยวหู่ตุ้ยยังมีการปรากฏตัวครั้งยิ่งใหญ่เป็นไปได้อยู่บนเวทีในราตรีฤดูใบไม้ผลิ ? เดี๋ยวนี้พวกเขามีอายุแตกต่างกันคือ อายุ 40 , 39 , 37 ผู้คนต่างอุทานออกมา นี่คือ เสืออายุมากแล้ว อย่างชัดเจน
สาเหตุเรื่องราวที่เกิดขึ้นคือทางอินเตอร์เนตแห่งหนึ่ง ครั้งหนึ่งได้จัดตั้งเกี่ยวกับคืนราตรีฤดูใบไม้ผลิสอบถามประชามติ สามารถหวนระลึกถึงในรูปถ่าย แฟนทางอินเตอร์เนตผู้ชายคนหนึ่งอายุ 30 ต้นๆค่อนข้างตื่นเต้นกล่าวว่า “พวกคุณควรสังเกตระวังความต้องการหลังยุค 80 เดี๋ยวนี้หลัง ยุค80 ของพวกเราเริ่มหวนนึกถึงในอดีต พวกเราอยากดูเสี่ยวหู่ตุ้ย “อยู่ตามซอยเมื่อมีโอกาสเหมาะพร้อมจะตรวจสอบ มีอายุระหว่าง 25 - 40 ปีในการถูกสัมภาษณ์ล้วนครวญทำนองเพลงของเสี่ยวหู่ตุ้ยอย่างสมบูรณ์มากกว่า แล้วอายุขนาดนี้ไม่น่าเชื่อว่ายังอยู่ในวงการบันเทิงมาตลอด และยังคงความมีชื่อเสียงที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง
ทางอินเตอร์เนต จากคำถาม “บนเวทีราตรีฤดูใบไม้ผลิ-(เทศกาลตรุษจีน)รายการที่คุณรอคอยใครมากที่สุด” ตรวจสอบคะแนนเสียงแฟนอินเตอร์เนตผลแสดงออกมาว่า พลังดึงดูดของเสี่ยวหู่ตุ้ย เหนือกว่า จ้าวเปิ่นซัน เสี่ยวเสิ่งหยาง รวมทั้ง หวังเฟยที่เพิ่งหวนมาในวงการอีกครั้ง อัตราสนับสนุนได้รับ ร้อยละ 38.6 ยืนเป็นอันดับ 1 อย่างมั่นคง คุณอาต้าซันได้รับคะแนนเสียงร้อยละ 29.9 คะแนนเสียง หวังเฟย ร้อยละ 16.3 แฟนอินเตอร์เนต เหวยป๋อ วิจารณ์แบบตื่นเต้นว่า หัวข้อ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” โหวตได้เจ็ดพันกว่าคน
พวกเขาเป็นชาวจีนกลุ่มหนึ่งจากทั่วโลก โดยนักเรียนจัดตั้งขึ้น เป็นทีมต้นแบบกลุ่มวัยรุ่นชาย “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ได้รับบันทึกเป็นความทรงจำวัยหนุ่มสาวจากรุ่นสู่รุ่น
พวกเขาเคยทำลายสถิติสมาคมทั่วโลกของจีนหลายเรื่อง “ที่สุดทั่วโลก” “ที่สุดประเทศจีน” ขณะนั้นกลายเป็น 1 ในสัญลักษณ์วัฒนธรรมชาวจีนแพร่หลายสำคัญที่สุดคือ เอเชีย ต้นแบบและแบบฉบับการเต้นครั้งแรก “อัลบั้ม เซียวเอี๋ยวอิ๋ว” ต้นแบบและแบบฉบับเพลงเพื่อสาธารณะประโยชน์อัลบั้มที่ 5 “อัลบั้มอ้าย” หมายถึง ความรัก ยอดขาย 15 ล้านตลับ(แผ่น) จนถึงขณะนี้ไม่ว่านักร้องเอเชียคนไหน อัลบั้มไหนยังไม่สามารถทำลายสถิตินี้ได้
หลังการแยกย้าย“เสี่ยวหู่ตุ้ย” มา 10 กว่าปี ข่าวได้ก่อตั้งคณะใหม่เดี๋ยวผุดเดี๋ยวโผล่ แต่ว่าไม่รุนแรงนัก จริงๆ มีแนวคิดจะเอาบริษัทในวงการแสดงของทั้ง 3 คน 3 ที่ มาร่วมมือกันช่วงหนึ่งให้มาแสดงด้วยกัน มีแต่ราตรีฤดูใบไม้ผลิ-เทศกาลตรุษจีน ที่ผู้ผลิตสามารถทำการรวบรวมพลังอันนี้ได้
ราตรีฤดูใบไม้ผลิ(เทศกาลตรุษจีน) ที่ห้องฝึกซ้อม 3 ตัวเสือน้อยได้มาเจอกันอีกครั้ง ล้วนเหมือนคนแปลกหน้าสักนิด ต่างแยกจากกันมา 10 กว่าปี พวกเขา 3 คนได้มาพบพร้อมกันในห้องฝึกซ้อมกว่า 10 ครั้ง พบเจออีกนั้น ทั้ง 3 คนต่างลดความอ้วนและโกนหนวดออก ในที่สุดมีคนหนึ่งทราบข่าวราตรีฤดูใบไม้ผลิ เฉินจื้อเผิง คนแรกมาถึงปักกิ่ง ใน 5 วันผอมลง 6 กิโล
ทำนองเพลงมนต์ขลัง 3 เพลงคือเพลง “ ช่วงเซา “ และท่าเต้น การใช้มือทำท่าทำทาง การเรียบเรียงก็ตาม 20 ปีก่อน นั่นก็คือใช้ท่าแบบเดิมๆ ความรู้สึกแห่งการรอคอยของทุกคน ผลของการลงคะแนน “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ได้รับรางวัลที่ 1 ในรายการแสดงการร้องเพลง ราชินี หวังเฟย ต่างเทียบกันไม่ติด อู๋ฉีหลง ร้องไปซักพักก็ร้องหลงทางโดยไม่ทันระวัง ทุกคนต่างก็ให้อภัย ก็เหมือนให้อภัยตัวเองช่วงวัยหนุ่มที่ผิดพลาด พวกเราเพียงแต่จดจำไว้ พวกเค้าทั้ง 3 เป็นแรงบันดาลใจที่สูงสุดรุนแรง กระตุ้นเวลาเดือนปีในวัยหนุ่มสาวของพวกเรา
“เสี่ยวหู่ตุ้ย” 20 ปี มีทั้งเศร้าและร่าเริง
นักข่าววารสารฉบับนี้ คุณไคว่เล่อเฮ้า มาจากเซี่ยงไฮ้
ครั้งนี้โชคดี พวกเขากลับมา ยังนับว่าไม่สาย เทียบความทรงจำทางสายตาค่อนข้างแปลกๆ แต่พวกเขายังมีชื่อเสียงรุ่งเรืองอยู่ตลอดมา ยังมีสุขภาพที่มีผิวสีเหลืองอ่อนและหน้าตาสดใส ยังสามารถพลิกตัวรวมทั้งกระโดดโลดเต้น พวกเขากลับมาแล้ว ขอบคุณฟ้าดิน พวกเขายังไม่แก่ พวกเราก็ใช่ ยังไม่แก่
ขณะอยู่บนเวทีราตรีฤดูใบไม้ผลิปีเสือนั้น ชายที่สวมเสื้อขาว 3 คนอายุต่างไม่น้อย อายุได้เพิ่มมากขึ้น มือหนึ่งทำท่าเต้น ส่วนอีกมือด้านหนึ่งใช้มือส่งจูบ ร้องเพลง “ เอาใจของคุณมาร้อยใจผมรวมกัน ร้อยต้นไม้ที่นำโชคร้อยใจเป็นหนึ่งเดียวกัน......”
การสะท้อนกลับของคุณ-ความรู้สึกที่คุณมีต่อรายการนี้ คือ
1) ใจคุณคล้ายเสียงคลื่นที่ซัดกระหน่ำอย่างรุนแรง น้ำตานองหน้า ร้องฮือๆ ไม่หยุด
2) ร้องเพลงฮึมๆ ตั้งแต่เริ่มร้องจนจบเพลง เนื้อเพลงร้องได้ไม่ผิดเลยสักคำ
3) ช่วงที่มีรายการเต้น ร้องเพลงไปเข้าห้องน้ำ หรือไม่ ก็ใช้รีโหมดเปลี่ยนช่องสถานี
4) เออ ? ชายวัยกลางคน 3 คนนี้คือใคร ?
ถ้าไม่ใช่มี “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ราตรีฤดูใบไม้ผลิปีเสืออาจจะตกอยู่ในยามคับขัน เพลง คือ เพลงเก่า 3 เพลง นี่คือคนในอดีต 3 คน รูปลักษณ์รูปร่างตอนวัยรุ่นนั้น ได้เห็นอีกคราวนี้คือเรื่องน่าวิตก ในระดับน่าเป็นห่วง “ เมื่อเทียบกับสูงวัยได้มาพบเพื่อนรักในอดีตกันอีก บางครั้งเพื่อให้รูปร่างสมบูรณ์ ยอมกัดฟันทน เสแสร้งจำไม่ได้ (ฉิงเหยิน) หมายถึงคนรัก ชื่อ ตูร่า เทียบหน้าตาได้ในวัยหนุ่มของคุณ ผมยิ่งรักเธอมาก บัดนี้ใบหน้าค่อนข้างเหี่ยวลง” ท้ายสุดหน้าตาท่าทางสูงโปร่งผิวขาว ดินแดนแห่งนี้ไม่ใช่ผู้คนที่จะเป็นได้
คนส่วนมากไม่เต็มใจปรารถให้คู่รักมีใบหน้าเหี่ยวย่น ลักษณะหน้าตาเหี่ยวๆ วัยแก่ๆ ยิ่งไม่มีทางให้อภัยซึ่งเคยหลงใหลรูปลักษณ์รูปร่างความงาม หากศีรษะโล้น หย่อนยาน บนจอโทรทัศน์ดูรูปลักษณ์รูปร่างกลายเป็นธรรมดาและน่าเกลียด ทำให้คนผู้ชมรับยากเสมอๆ เกือบจะทำให้โกรธทีเดียว นั่นเพราะตัวเองได้เตือนสติว่าแก่ชราเช่นเดียวกัน แล้วไม่ยอมต้องมั่นทุ่มเท เหมือนน้ำเย็นราดบนศีรษะ นักร้องไมเคิล แจ็คสัน จมูกของเขาแบนๆ ยุบลง ทำให้ใบหน้าตัวเองยิ่งเห็นยิ่งน่าขำ ทำให้คนไม่นิยม พวกเราต่อต้านเขาตลอดมา จนเขาเสียชีวิตจึงค่อยลดหย่อนโทษให้แก่เขา ซึ่งจุดบกพร่องของเขา ทุกคนค่อยมาเสียดายเขา..........พวกเรารักชอบรูปลักษณ์รูปร่างวัยหนุ่ม นอกจากผู้ชมที่มีความชื่นชอบอย่างแท้จริง ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ในที่สุดทุกคนล้วนดูเป็นแขกผู้มาเยือนอย่างไม่แน่ใจ
ครั้งนี้โชคดี พวกเขาหวนกลับมายังไม่นับว่าสายเกินไป เทียบหน้าตาและความจำค่อนข้างแก่ลง แต่ว่าพวกเขายังมีเส้นทางชื่อเสียงรุ่งโรจน์ ยังมีผิวเหลืองอร่าม ด้านสุขภาพและใบหน้าสดใส ยังสามารถตีลังกาและกระโดดโลดเต้นได้ อาศัยคำพูด พีลีหู่-เสือคำราม(อู่ฉีหลง) ยังมีกล้ามท้อง 8 ชิ้น แม้กระทั่งเสี่ยวสร้อยหู่-เสือหล่อเท่(เฉินจื้อเผิง)เกิดการอ้วนง่าย ยังคงเห็นเอวรูปทรงออกมา พวกเขากลับมาแล้ว ขอบคุณฟ้าดิน พวกเขายังไม่แก่ พวกเราก็เช่นกัน
วาดแมวให้เป็นเสือ เลือกคนใหม่
มากล่าวถึงผู้ชื่นชมหลงใหลเพลงด้านแผ่นดินใหญ่ ยุครุ่นปี 1980 ต่อมา ที่จะกล่าวถึงคือวงการดนตรีนิยมแพร่หลาย ที่จริงก็คือวงดนตรีฮ่องกงไต้หวัน เพราะเกี่ยวข้องคำพูดและวัฒนะธรรม ระยะทางพวกเราห่างจากไต้หวันเกือบใกล้ที่สุด
ความทรงจำที่สียงยุคนั้น........เติ้งลี่จวิน
จางหมิงเหมี่ยน ได้กลายเป็นอดีต หลัวต้าอิ้ว(ถงเหนียน) หมายถึง วัยเด็ก เป็นตัวแทนเสียงร้องข่าวลือชาวบ้านของโรงเรียนเสียงยังก้องอยู่ในหู หวังเจี๋ย ถงอันเก๋อ นักร้องเพลงเศร้า ต่อมาคือ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”
ภาคปิดเทอมปี 1988 อู๋ฉีหลง อยู่ที่ไทเป ฝั่งเขตตะวันออกขายเสื้อผ้าแบกะดิน ในบ้านการเงินเศรษฐกิจฝืด “มีปัญหา” ต้องแบกรับหนี้สิน เขาอายุ 18 ปีจำเป็นทั้งเรียนทั้งทำงาน หาเงินจุนเจือใช้จ่ายในบ้าน เขาเรียนโรงเรียนวิชากีฬาพละศึกษา หลักใหญ่ที่เรียนคือมวยคาราเต้และยูโด เวลานั้นกล้ามเนื้อท้องน้อย 8 ชิ้น คือ เหตุผลแรกที่เด่นชัด
แมวมองในวงการบันเทิงได้พบวัยรุ่นคนนี้ใบหน้าหล่อเหลา สรีระงดงาม จึงเข้าไปทำความรู้จักกับเขา เขารู้แต่ว่ากับคนอื่นอือๆ ออๆ เพราะ ณ เวลานั้นความจริง อู๋ฉีหลง ไม่มีเวลาดูโทรทัศน์ ร้องเพลงไม่เป็น และเต้นรำก็ไม่เป็น เขาไม่มีวันหยุดอาทิตย์ ตั้งแต่ขึ้นมัธยม 1 (ม.1) เขาผ่านพ้นมีวันหยุดโดยทำงานเสริม (งานจ๊อบ) ช่วยคนล้างรถ เก็บกวาดขยะอาคารตึก ขัดและลงมันเครื่องลิฟท์ เป็นพนักงานช่วยคนว่ายน้ำ ทำงานในโรงงานอีเล็กตรอนติดตั้งอะไหล่ ไปโรงน้ำแช็งห่อแพ็ค.......การดำรงชีพแบบนี้ทำในช่วงตลอดวัยหนุ่ม จากอายุ 13 ถึง 18 ปี
เวลาที่ อู๋ฉีหลงขายเสื้อผ้าอยู่ฝั่งเขตทิศตะวันออก อีกด้านมุมหนึ่งในไทเป ซูโหย่วเผิงในหัวสมองคิดอยากจะสอบเข้าโรงเรียนเจี้ยงกั๋วมัธยมศึกษาปี 1 ถึง 3 โรงเรียนเจี้ยงจงเป็นโรงเรียนมัธยมปลายดีที่สุดของไทเป สอบเข้าโรงเรียนเจี้ยงจง เทียบเท่ากับว่าเท้าข้างหนึ่งได้เหยียบย่างเข้าประตูมหาวิทยาลัยแล้ว เขาคือ ลูกคนโตในบ้าน แต่ไหนแต่ไรมาสุภาพเชื่อฟังสอนง่าย การเรียนดีเด่น ช่วงอายุ 15 ปีก็สายตาสั้นถึงขั้นระดับ 1000 เพราะเขาและคุณแม่ต่างเกิดในวันเดียวกันตรงกับวันไหว้พระจันทร์วันที่ 15 เดือน 8 ในบ้านมี “พระจันทร์ 2 ดวง” ดังนั้นจึงได้ตั้งชื่อว่า “โหย่วเผิง”
มาเทียบเด็กน้อยไร้เดียงสา 2 คนนี้ เฉินจื้อเผิงซึ่งมีบ้านอยู่ใน ไถจง จึงมีความมุ่งมั่นตั้งแต่เริ่มแรกคือ เป็นทหารและนักแสดง เขาเกิดในตระกูลพอมีกินแล้วเป็นคนหัวโบราณ ตามที่พ่อเขากล่าวว่า เขาเหมือน จางกั๋วหยง ยิ่งกว่าแกะพิมพ์ออกมา แม่เขาเปิดร้านแต่งหน้าทำผม เด็กอ้วนน้อยๆ คนนี้ตั้งแต่ลืมตาดูโลกก็อยู่กับกระจกส่องหน้า รวมทั้งส่องกระจกต่อหน้าผู้คนแต่งหน้าทั้งที่มีความขยันดี
“เทียบอายุรุ่นคราวเดียวกัน ซึ่ง“ชินหูชินตา” ผมค้นพบตัวเองโดยทัศนคติค้นพบความงาม รวมทั้งสวมเสื้อผ้าแต่งตัวเป็นดารามีความพร้อมด้านเครื่องแต่งกายมาก โดยลงมือเองหาชิ้นส่วนประกอบและเครื่องประดับมาทำคู่ประกอบเสื้อผ้า DIY เย็บปักเสื้อผ้าตัวเอง ทุกคืนได้กวาดเส้นผมของลูกค้าในร้านแต่งหน้าทำผมของคุณแม่ วัยเด็ก ผมรู้จักใช้ของที่ไม่เอาแล้ว นำเอาเส้นผมที่เก็บทิ้งไว้ร่วมกับพี่สาวทำผมปลอม หลังเลิกเรียน ผมจะอยู่บ้านตัวเองจัดการทรงผมรูปทรงเล็กๆ กลายเป็นทรงผมสวยงาม พี่สาวช่วยผมเย็บเสื้อ พี่ชายหยิบกล้องถ่ายรูปมาถ่ายรูปตัวผมเก็บไว้ ขณะนั้นผมเองเห็นว่าผมหล่อเชียว มีเทคนิคในการถ่ายรูป”
ร่วมกันเลือกรูปถ่ายเพื่อสมัคร “เสี่ยวหู่ตุ้ย” แล้วได้รูปถ่ายจากมือพี่ชายตัวเอง
หวนระลึก เฉินจื้อเผิง ในร้านแต่งหน้าทำผมของคุณแม่ เอาหนังสือวารสารให้ลูกค้าอ่าน ช่วงเวลาใจมุ่งมั่นอยู่นั้น จุดเริ่มต้นคือ การตามข่าวดารานักแสดงครั้งแรกสุดของเขา แต่ว่าเรื่องนี้ข่าวที่เขาได้รู้คือ ค่าตัวดาราฮ่องกงดูไม่น่าสนใจ เขาเอาเศษเงินที่มีอยู่ประหยัดเก็บไว้ชื้อการ์ด โดยเฉพาะซื้อของต่างประเทศเพื่อหนังสือนิตยสารและหนังสือพิมพ์ต่างประเทศดาราญี่ปุ่น รายการทำอาหาร จงเซิน และนางแบบวัยรุ่นญี่ปุ่นร่วมจัดตั้ง “วงบอยแบรน-เกริด์แบรน” ขึ้น คือ ดาราที่เขาหลงใหลชื่นชม
นิยมแพร่หลายคือเส้นทางแห่งความก้าวหน้าแล้วก้าวหน้าอีก ซึ่งเป็นทางหนึ่งค่อยๆเดินเข้าสู่เส้นทาง ขณะนั้นวัฒนธรรมลูกโซ่ได้แพร่หลายสู่วงการนักแสดงเป็นอย่างนี้คือ ญี่ปุ่นเลียนแบบยุโรปอเมริกา ไต้หวันเลียนแบบญี่ปุ่น จีนแผ่นดินใหญ่เลียนแบบไต้หวัน ลักษณะรูปแบบของนายแบบวัยหนุ่มก่อตั้งขึ้นเหมือนลมบ้าหมุนนับแต่ความมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ นับแต่ “เสี่ยวหู่ตุ้ย”ได้เริ่มต้นก่อตั้งขึ้น ทำให้เกิดรูปการที่กลับกันกลายเป็นว่า “วงบอยแบรน-เกริด์แบรน”ของญี่ปุ่นมาเลียนแบบไต้หวัน
ปี 1988 เดือนกรกฎาคม บริษัทแผ่นเสียง ไคลี่ ที่ไต้หวันผลิตรายการ “ชิงชุนต้าตุ้ยค่าง “ หมายถึง ความร่าเริงของวัยหนุ่มสาว กลุ่มผู้ชมที่เป็นกลุ่มเป้าหมายคือ วัยรุ่น เนื้อหาค่อนข้างใหม่เอี่ยม ในรายการมีการตั้งกลุ่มวัยรุ่นหญิงชื่อว่า “เสี่ยวเมาตุ้ย-คณะแมวน้อย “ รับหน้าที่ผู้ช่วยพิธีกร รายการนี้ได้รับการต้อนรับมาก มีคนเสนอควรเพิ่มชายอีก 3 คนเป็นผู้ช่วยพิธีกร จะทำให้บรรยากาศในการดำเนินงานสมดุลเท่าเทียมกัน บริษัท ไคลี่ จึงได้ประกาศผ่านสื่อต่างๆ เปิดรับสมัครชาย 3 คน เพราะมี “คณะแมวน้อย” อยู่ก่อนแล้ว ส่วนใกล้เคียงแมว คือ “เสือ” กลุ่มวัยรุ่นผู้ชายที่ก่อตั้งขึ้นนี้ ควรเรียกว่า “เสี่ยวหู่ตุ้ย-กลุ่มคณะเสือน้อย”
คณะอีกกลุ่มหนึ่งไม่ใช่ เสือ
ในเวลานี้ อู๋ฉีหลง ก็ได้รับโทรศัพท์จากบริษัท “ รายการของเราจะเลือกผู้ช่วยพิธีกร คุณจะมาหรือไม่ ?” เขาไม่เข้าใจฝ่ายตรงข้ามกำลังพูดถึงอะไรอยู่ ก็ไม่ทราบว่าผู้ช่วยรายการโทรทัศน์ เป็นเรื่องอะไร ได้แต่อือๆออๆตอบไป คนในบริษัทคงไม่เลิกล้ม ไม่ละทิ้ง หาคุณแม่ อู๋ ชวนคุยเล่น คุยวันละ 2-3 ชั่วโมง เริ่มเลือกในวันนั้น คุณแม่ อู๋ กล่าวว่า ชาวบ้านโทรศัพท์มาทั้งหนึ่งสัปดาห์ ก็ลำบากมาก ให้ลูกไปดูๆ หน่อยก็แล้วกัน เพื่อเพิ่มประสบการณ์ทางสังคมบ้าง
เวลานั้นลานสนามฝึกซ้อมของ “ดาวรุ่งหญิง “ และ “ดาวรุ่งชาย “ ถ้าไม่คัดเลือกดีเด่นก็ไม่มีในวันนี้ กลุ่มเด็กผู้ชายกลุ่มใหญ่เกาะกลุ่มกันที่ลานฝึกซ้อมเล็กๆ คุณดูผม ผมดูคุณ อู๋ฉีหลงดูดีแล้ว ยังมีบางคนดูเหมือนมืออาชีพ “สวมหมวก สวมเสื้อ แบกเป้กระเป๋าใบใหญ่มา เข้ามาที่ลานสนามแล้วไม่คุยอะไร จึงเริ่มเปลี่ยนร้องเท้าสำหรับเต้น
สวมร้องเท้าสำหรับเต้นคู่นี้ “ เป็นมืออาชีพ “ ก็คือ เฉินจื้อเผิง อายุ 17 ปี ขณะนั้น เขาได้เรียนเต้นรำบัลเล่ต์มาหลายปี “ยังดีได้แรงสนับสนุนจากพี่สาว แล้วยืนยันกับพ่อแม่โดยตบหน้าอกตัวเองว่านี่ไม่ใช่ไปเรียนเถลไถล ผมจึงได้เรียนสมความปรารถนา มีแต่พี่ชายพี่สาวคือ ชมดูผมยังไม่เก่งพอ ผมจึงหวังว่ายิ่งมีผู้คนส่วนมาก มายกย่องชมผม แล้วสายตามากมายได้จ้องมองดูผมอยู่ “ในสนามซ้อมเฉินจื้อเผิง ได้ถูกเลือกเป็นคนดีเด่น ถึงแม้ว่าเขายังเป็นนักเรียน ม.ปลายอยู่ แล้วมีสายตาผู้คนไม่น้อยจ้องดูการแสดงที่มีประสบการณ์อยู่ “เรียกมิตรสหายเด็กน้อยข้างบ้านมารวมกลุ่ม แล้วไปที่สวนหย่อนชมดูการแสดงของผม”
ซูโหย่วเผิงและเพื่อนนักเรียนสวมใส่ชุดฟอร์มนักเรียน ม. ต้น มาด้วยกัน มองดูแล้วก็รู้ว่าเป็นเด็กดี ,อู๋ฉีหลง พอได้ยินว่า “อยากเป็นนักแสดงต้องมีความสามารถ” หัวของเขาก็ชาแล้ว “แต่ว่าตัวเองอยู่ด้านในสุด จากหน้าประตูออกไปลานสนามฝึกซ้อมต้องสวมใส่ชุดฝึกไว้ให้เรียบร้อย อยู่ ณ ที่นั้นมีแต่ดูพวกเขาแสดงอะไร” ถึงคิวซ้อมของเขา อู๋ฉีหลง ถามคนอยู่ด้านหน้าว่า ขอยืมเทปเสียงดนตรี หยิบไขว้สลับใช้ “ท่าทางความแข็งแรงของร่างกาย” ที่เพิ่งเรียนมา แต่ก็รู้สึกว่าโดดเด่นอะไร ในที่สุดจึงใช้ร่างกายแสดงท่าทางที่ดีเด่นออกมา โดยมีท่าตีลังการที่สวยงาม
พวกเขาถูกพาไปพบคณะกรรมการ คือผู้บริหาร เหมียวซิ่วลี่ ของบริษัท ไคลี่ และผู้บริหารรายใหญ่ในวงการบันเทิงไต้หวัน พิธีกร จางเสี่ยวเอี้ยง ต้องผ่านการทดสอบหลายครั้งเป็นชั้นๆ เลือกแล้วเลือกอีก ในที่สุดได้กลุ่มเด็กหนุ่มมาเป็น “เสี่ยวหู่ตุ้ย”
แรกสุดพวกเขาก่อนเริ่มต้นบันทึกรายการ ได้เอาอุปกรณ์เครื่องใช้แจกจ่ายให้ผู้ชม บอกกล่าวกระบวนการรายการแสดงแก่ทุกคน “รอสักครู่ พอพิธีกรร้องตะโกนส่งสัญญาณ ก็ให้ทุกคนสั่นกระดิ่งตาม “ระหว่างรายการแสดง ทุกคนแสดงจบแล้ว 3 คนก็ขึ้นบนเวทีเป็นดารารับเชิญ ถึงเวลาช่วงโฆษณา ก็ขึ้นเวทีตะโกนร้องคำขวัญประจำอีก พูดว่า “ถึงเวลาโฆษณา ให้รีบกลับมาทันที” คิดไม่ถึงเมื่อพวกเขาอยู่หน้ากล้องแล้ว การแสดงออกต่างๆ ทั้งบริสุทธิ์และมีชีวิตชีวา สดใส เริงร่า ทำให้ได้รับการต้อนรับจากวัยรุ่นวัยหนุ่มสาว ยิ่งกว่านั้นพวกเด็กๆ และสูงวัยล้วนต่างชื่นชมยินดี
รายการ “ชิงชุนต้าตุ้ยค่าง” “เสี่ยวหู่ตุ้ย “ต้องประสาน “เสี่ยวเมาตุ้ย” ทุกๆสัปดาห์ ฝ่ายผลิตรายการแสดงได้มีการสร้างช่วงหนึ่งให้พวกเขาเป็นตัวเอกโดยเฉพาะทุกครั้ง หลังจากนั้นต้องฝึกซ้อมเพลงหนึ่งเพลง ประกอบการแสดงในรายการแต่ละครั้ง ยิ่งทำให้รายได้รายการโทรทัศน์นี้พุ่งพาดขึ้น ทุกสัปดาห์พวกเขาอัดเพลงเร็วมาก บ่อยมากขึ้นมากขึ้น ทุกคนล้วนต่างร้องเพลงได้
ยังจำได้ครั้งแรก อู๋ฉีหลง บันทึกรายการเพลง “ไปโรงเรียนวิชาชีพอาคารใหญ่โตมโหฬารเล่น “ อัดรายการจนจบแล้วมีค่ารถ 1,350 หยวน (เงินไต้หวัน) เป็นค่าตอบแทน เงินจำนวนก้อนนี้เป็นค่าครองชีพเกือบถึงหนึ่งสัปดาห์ของเขา นี่เหมือนกับทำงานอดิเรกที่ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่าอัดรายการทีวีดีกว่าขายเสื้อผ้า ห่อชิ้นเล็กห่อชิ้นน้อย งานไม่หนัก แล้วก็มีความสุขมากเหลือเกิน
พวกเขาทำงานเป็นผู้ช่วยพิธีกรมา 8 เดือน ผลตอบรับในด้านการตลาดรายการนี้ ได้รับความนิยมสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน บริษัทเริ่มจุดเปลี่ยนแผนการทันที ผู้ช่วยพิธีกร 3 คนพลิกตัวเปลี่ยนร่าง กลายเป็นนักเรียนไต้หวันกลุ่มหนึ่งก่อตั้งวงดนตรีขึ้น เพียงไม่กี่เดือน ช่วงสั้นๆ กลายเป็นต้นแบบของวัยรุ่น ได้ร้อง 2 เพลง คือ “ไฉ่เซ่อเทียนคงไฉ่เซ่อม่ง” หมายถึง ท้องฟ้าสีรุ้งความฝันสีรุ้ง และ “ชิงผิงกั่วเล่อเหวียน” หมายถึง สวนหย่อมแอปเปิ้ลสีเขียว จำนวนที่ออกจำหน่ายได้ ทุบสถิติทั่วทั้งวงการดนตรีเอเชีย พวกเขากลายเป็นความองอาจในเอเชีย ช่วงเดี๋ยวเดียวโด่งดังทะลุเหนือกว่า ไมเคิ้ล แจ็คสัน และ MIDDOT แจ็คสันและปีเตอร์
“บริษัทมุ่งมาทางพวกเราทั้ง 3 คน ซึ่งมีพวกเราบุคลิกและเอกลักษณ์ให้ฉายาแตกต่างกันไป อู๋ฉีหลง ถนัดด้านกีฬาซึ่งมีสรีระอันงดงาม เอกลักษณ์หล่อเหลา “ เขาคือเสือสายฟ้าแลบ-พีลี่หู่ “ อีกทั้งเป็นผู้นำของพวกเรา เป็นพี่ใหญ่ของพวกเรา ตลอดทาง ซูโหย่วเผิง จากโรงเรียนเจี้ยงจงจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไต้หวัน เขาเป็นนักเรียนสุภาพและดีเด่น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลักษณะหน้าตาจึงทำให้เสือน้อย โดยตรงถูกประเมินคุณค่าคะแนนนิยมไม่น้อยทีเดียว อายุก็น้อยที่สุด ที่มาที่ไป “ เสือที่เชื่อฟัง-ไกวไกวหู่ “ ส่วนผมนั้น ไม่ว่าเพลงหรือเต้นรำเฉลี่ยแล้ว 80 คะแนน ขึ้นไป แน่นอนบู๊ หมัดมวยไม่เท่ากับ อู๋ฉีหลง ส่วนบุ๋น ด้านความรู้ คือซูโหย่วเผิง ไม่มีคนไหนที่มีจุดเด่นส่วนตัวพิเศษเหนือกว่าทั้ง 2 ท่าน ........นอกจากหน้าเหมือน จางกั๋วหยง โดยที่มีหัวข้อนอกเรื่องจึงกลายเป็นผมได้เข้าสู่วงการ บริษัทให้ฉายาผมว่า “เสือน้อยหล่อเหลา-เสี่ยวสร้อยหู่ “
เฉินจื้อเผิงกล่าวว่า จริงๆแล้ว อู๋ฉีหลง เกิดปีสุนัข เฉินจื้อเผิง เกิดปีกุน ซูโหย่วเผิง เกิดปีวัว เสือน้อย 3 คนมิใช่เกิดปีเสือ
การปะทะสลับซับซ้อนคารมกันระหว่าง 3 พี่น้อง
อู๋ฉีหลง ถึงแม้ว่าบ้านอยู่ไทเป แต่ขณะนั้นพอดีเรียนอยู่ที่ ไถจง ทุกๆ วันศุกร์ก็มาที่ประตูโรงเรียนเฉินจื้อเผิง ต้องรอเขาเลิกเรียน หลังจากนั้นคนทั้ง 2 ได้นั่งรถจาก ต้าปา ไป ไทเป ใช้เวลานั่งรถเกือบ 3 ชั่วโมง นั่งรถมอเตอร์ไซค์ของ อู๋ฉีหลง ไปบริษัทฝึกเรียนเต้นรำ การฝึกอบรม ฝึกซ้อมถึงรุ่งเช้า 1-2 ชั่วโมง วันรุ่งขึ้นต้องแสดงและอัดรายการ
อู๋ฉีหลง คือ 1 ในบุคคลผู้นำของพวกเรา 3 คน นอกจากเขาอายุโตที่สุดแล้ว ตรงกันข้าม เขาคือบุคคลหนึ่งที่มีสง่าผ่าเผย ทั้งเป็นพี่ใหญ่ที่เข้าใจดูแล ทุกครั้ง ขณะเขามาประตูโรงเรียนรอเวลาผมเลิกเรียน มือของเขาไม่เคยลืมสิ่งของ ต้องมีของติดไม้ติดมือมาให้ผมอย่างแน่นอน ความอบอุ่นและซาบซึ้งใจส่วนนั้นถึงเดี๋ยวนี้ผมยังคงประทับใจเหมือนอยู่ในเหตุการณ์ใหม่ๆ เฉินจื้อเผิงบอกว่า “เขากับคุณฉี สาเหตุที่ “ปรับตัวทางมิตรภาพได้ดี” รถร่วมคันเดียวกันส่วนนี้ ใน 3 คนนี้ที่เดินทางใกล้กว่า “การเรียนของ ซูโหย่วเผิง เรียนดีมาก หรือไม่ก็เพราะสาเหตุสิ่งแวดล้อมในบ้าน เขายังไม่รู้จะอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้อย่างไร บวกกับอายุของเขายังน้อยที่สุด รู้สึกว่าพวกเพื่อนร่วมงานของบริษัทดูแลเขาอย่างเป็นพิเศษ ภายใต้ข้อเปรียบเทียบ ผมและ ซูโหย่วเผิง ความสัมพันธ์ค่อนข้างแย่"
ซูโหย่วเผิง บ้านอยู่ที่ ไทเป นับด้านพื้นที่เหมาะกับการมาอัดรายการ ไม่ต้องรีบไปรีบมาอย่างลำบาก และทุกคนต่างเรียกเขาว่าเป็น นักเรียนเรียนดี เด็กดี นอกจากฝึกซ้อมลานสนามก็กลับบ้านตั้งหน้าตั้งตาทำการบ้าน เฉินจื้อเผิงกับอู๋ฉีหลง อดกลั้นไม่อยู่ชอบล้อเรียนเขาบ่อยๆ
อู๋และเฉิง ทั้ง 2 คนไปเดินเที่ยวเตร่ด้วยกัน หากชอบเสื้อผ้าตัวเดียวกัน จะต้องซื้อกลับไปก็ไปอวดโชว์ ซูโหย่วเผิง “นี่ คุณไม่ยอมเชื่อฟังผม คุณก็เลยไม่มีเสื้อตัวนี้ “ เสือเชื่อฟังจึงปั้นสีหน้าดื้อดึง ใจไม่สบายจึงแกล้งไม่รู้ร้อน
การเดินทางไปที่ต่างๆ เพื่อโปรโมทอัลบั้ม พวกเขายังเป็นเด็กอยู่ ไม่มีคนนับหน้าถือตาเหมือนดารารุ่นใหญ่เลยทีเดียว ทั้ง 3 คนมีแต่นอนร่วมห้องเดียวกัน ในห้องพักโรงแรมมีแต่เตียงเพียง 2 เตียง จึงนำเอาผ้าปูที่นอนลากลงบนพื้นทำเป็นที่นอน นอนร่วมห้องเดียวกัน ซูโหย่วเผิง สายตาสั้นบวกกับสายตาเอียงเป็น 1000 อู๋ฉีหลงและเฉินจื้อเผิง ชอบล้อเล่นกับเขา ปิดไฟทั้งหมด ปล่อยให้ เขางมอยู่ในความมืด
“ผมและอู๋ฉีหลง อายุห่างกันแค่ 10 เดือน ซูโหย่วเผิงอายุน้อยกว่า มากล่าวกับพวกเรา ในขณะนั้นเขายังเด็กอยู่ เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ไม่ค่อยเชื่อฟัง คุณกล่าวกับเขาอย่างไร เขาฟังไม่เข้าใจ แล้วไม่สนคุณด้วย บางครั้งตัวเขาเองมีจิตสำนึกอยู่ในขีดอันตราย จะรู้สึกว่าพวกเราทั้ง 2 ไม่สนใจเขา ต่อมามีผู้อาวุโสหลายคนในบริษัทแอบสอนเขาเป็นการส่วนตัว เขาก็ฉลาดมากขึ้น ไม่นานปรากฏว่าในคืนหนึ่ง เขาโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ด้านจัดงานคอยดูแลคน มีความก้าวหน้าขึ้น
ระหว่างพวกเขาก็เคยมีสงครามเย็น สาเหตุ อู๋ฉีหลง ขณะนั้นมีความรักกับสาวๆ อยู่ ฝ่ายหญิงก็คือ รุ่นพี่ในบริษัท วิธีที่คนพูดกล่าวข่าวลือแพร่กระจายนอกสถานที่ คือ “ คณะร่าเริงและเศร้าโศก “ ของ “ เศร้าๆ ” วิธีที่คนพูดอีกแบบหนึ่งคือ สวียั่วซวน ใน “ คณะแมวน้อย “ ในใจต่างทราบอย่างชัดเจนทั่วทั้งบริษัท เพียงแต่ว่าไม่ยอมเปิดเผยกันออกมา ข่าวอื้อฉาวของนักแสดงต่อสังคมในสมัยนั้นยังไม่ได้เป็นข่าวอย่างเป็นทางการ แต่เป็นในลักษณะมีกระดาษซึ่งมีข้อความอื้อฉาวติดอยู่ด้านหน้ารถยนตร์เป็นหลายๆคัน ไม่ว่านักแสดงชายหรือนักแสดงหญิง หลังข่าวอื้อฉาวได้แพร่ออกไป ยอดขายแผ่นเสียงก็ล่วงลงสู่ก้นเหว สาหัสมาก เป็นไปได้ยอดขายถึงขั้นเสียงเงียบเข้ากลีบเมฆ
ขณะนั้นหนังสือพิมพ์ ไห่เป้า เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจของพวกเขาจึงได้แจกเสียงเทปของเสี่ยวหู่ตุ้ย ฟรีๆ ที่เสือน้อย 3 คนมีการผ่านประสบการณ์หอมแก้มจากการร้องแสดงมาก่อนหรือไม่ เฉินจื้อเผิงเขียนไว้ว่า ยังไม่มี อู๋ฉีหลง พูดว่า เคยถูกหอมแก้มมาแล้ว ส่วนซูโหย่วเผิงตอบแบบผู้ชายแสนซื่อว่า ผมคิดยังไม่กล้าคิดเลย
ในด้านนี้มีความจริงหลายส่วน หลายส่วนเป็นองค์ประกอบใหม่ การเปิดใจความบริสุทธิ์ใจและเสนอจินตนาการสิ่งนี้ประกอบเปรียบเทียบกัน เกือบจะเรียกได้ว่าเป็นการประจบของ้อจากพวกนักเรียนสาว
เฉินจื้อเผิงเห็นว่า อู๋ฉีหลงมีเรื่องความรักมากจะเป็นการทำร้ายเอกลักษณ์เสี่ยวหู่ตุ้ย ก็ดึงตัวไกวไกวหู่ต่อต้าน อู๋ฉีหลง พร้อมกัน กระทั่งต่อหน้าเสือสายฟ้าแลบ เลยเกิดมีปากเสียงกัน แล้วคำพูดจึงผ่านไป
ตอนนั้นอายุยังน้อย ชอบเล่น การเล่นแบบเด็กๆบ่อยๆ เดี๋ยวนี้นึกขึ้นมาก็น่าขำ ผู้คนกำลังมีความรัก ผมใช้สิทธิ์อะไรจึงต่อต้านเขา
ต้นแบบจำเป็นต้องเรียนดี
พวกเขาก็คือ คนแบบง่ายๆและเป็นเด็กไร้เดียงสา กับ “คณะอิวฮวง” ร่วมกันบันทึกเพลงจนจบ เวลาครั้งแรกไปหอรำลึกซุนยัดเซนเข้าร่วม “ การเซ็นสัญญากับบริษัท-มาราธอน(หมื่นคน)” พวกเขาตกใจมากจนงงเซ่อ จริงไหม? ที่นับไม่ชัดเจนได้ถึงหนึ่งหมื่นคน-10,000 คน แต่ว่ากวาดสายตาออกไปดูผู้คนล้นหลามเต็มไปหมด ตรงสนามด้านหน้าเกือบจะควบคุมไม่ได้
พวกเขาทั้งหมดมาเพื่อพวกเรา ปัญหาเหล่านี้พวกเราทั้ง 3 คนไม่ทราบมาก่อน ได้ถามทีมงานกี่ครั้งแล้ว ได้คำตอบวันนั้นว่า จริงๆ แล้วพวกเราโด่งดังแล้ว แต่ว่า ก่อนหน้าจะถึงวันนี้ พวกเราไม่ทราบเรื่องราวสักนิด
ด้านหนึ่งการงานยุ่งมาก อีกด้านหนึ่งยุ่งกับการเรียนทำการบ้าน คลับคล้ายกับไส้เปลวเทียนไหม้ทั้ง 2 ด้าน น้อยมากที่พวกเขาจะมีการติดต่อกับคนภายนอก ทางบริษัทกลัวอายุน้อยๆ ของเด็กทั้ง 3 คนจะหนุนยืนหยัดไม่ไหวกลายเป็นคนลำพองตัว(หลงตัวเอง หรือ หยิ่ง) ทุกสัปดาห์จากสถานีโทรทัศน์มีจดหมายแฟนเพลงส่งมาหลายกระสอบจึงเก็บซ่อนไว้ ตัวหนังสือในจดหมายไม่เคยเอ่ยปากขอดู
เสือเชื่อฟัง- ซูโหย่วเผิง การเรียนดีมาก แต่ว่าเรียนเต้นรำแล้วรู้สึกเชื่องช้ามาก เทียบไม่ได้กับเสือน้อยหล่อเหลาผู้มีพรสวรรค์ในการเต้นรำ ก็ยังไม่มีเทียบเสือสายฟ้าแลบการร่ายรำท่าทางดีเด่น นี่ทำให้ซูโหย่วเผิง ขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง อารมณ์หดหู่ บริษัทจึงแหกกฎ มีครั้งเดียวเท่านั้นปล่อยให้เขาดูจดหมายแฟนเพลง
เฉินจื้อเผิงและอู๋ฉีหลง ยังไม่เคยดูจดหมายแฟนเพลงซึ่งเขียนให้พวกเขาเลย โดนทับหญ้ากดไว้แล้วไม่เข้าใจว่าตัวเองได้รับค่านิยมต้อนรับที่สุด ณ เวลานี้พวกเขากำลังมีเพลง “ชิงผิงกั่วเล่อเหยียน” หมายถึง สวนหย่อนแอปเปิ้ลสีเขียว อีกเพลงคือ”ซิงเหนียนไขว้เล่อ” หมายถึง สุขสันต์วันปีใหม่ เพลงเรียบเรียงเฉพาะเพลงในอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรก ชื่อ “เซียวเอี๋ยวอิ๋ว” หมายถึง เดินเที่ยวเตร่ไปมา เพลงออกจำหน่ายก็กลายเป็นเข้าแถวยาวเหยียดเหมือนชนะสวมมงกุฏ
จากปี 1989 เดือนพฤษภาคม ถึงปี 1990 เดือนกันยายน ในช่วงสั้นๆ 1 ปี 4 เดือน “เสี่ยวหู่ตุ้ย”ออกอัลบั้ม 4 อัลบั้ม เฉลี่ยแล้วทุก 4 เดือนต่อ 1 อัลบั้ม แต่ละอัลบั้มล้วนสร้างยอดขายอัศจรรย์ โดย “เสี่ยวหู่ตุ้ย-ทัวร์คอนเสริต์ เพลงเซียวเอี๋ยว” คือหัวข้อหลักของการแสดง 20 แห่งทั่วทั้งประเทศ เป็นขบวนรถตู้รถบรรทุกลาดตระเวนในการแสดง สร้างสถิติสูงสุดทุกๆ รายการ สนามการแสดงใหญ่โตที่สุด การคมนาคมวุ่นวายที่สุด พนักงานมากที่สุด เวลาก็ยาวนานที่สุด เสียงกรี๊ดเสียงเรียกอื้ออึงสูงสุด......
ขณะเดียวกัน “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ทำลายสถิติโลกของประเทศจีนหลายรายการของสมาคม “ที่สุดประเทศจีน “ “ที่สุดทั่วโลก” ขณะนั้นได้กลายเป็นสัญลักษณ์วัฒนธรรมชาวจีนอย่างหนึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของเอเชีย อัลบั้มแรกเรียบเรียงเฉพาะเพลงนิยมแพร่หลาย “เพลงเซียวเอี๋ยวอิ๋ว” คือ เพลงเดินเที่ยวเดร่ไปมา และอัลบั้มที่ 5 เรียบเรียงเฉพาะเพลงสาธารณะประโยชน์ “อ้าย” คือ เพลงรัก ยอดจำนวนขายเกือบ 15 ล้านตลับ ถึงเดี๋ยวนี้ไม่มีนักร้องเอเชียคนใด หรือกลุ่มนักร้องกลุ่มไหนสามารถทำลายสถิตินี้ได้
สถานีโทรทัศน์ NHK จากประเทศญี่ปุ่นมาสัมภาษณ์พวกเขาเป็นพิเศษ อยู่ที่ญี่ปุ่น วงวัยรุ่น และหนุ่มสาวทุกคนล้วนเกือบจะหยุดเรียน เพราะเจาะจงตั้งใจเข้าสู่วงการนักแสดง พวกเขาตื่นตระหนกตกใจสุดๆ เหตุเพราะ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” เด็ก 3 คนนี้แท้จริงแล้วยังคงเล่าเรียนหนังสืออยู่ แล้วคะแนนการเรียนก็ไม่เลว เสือสายฟ้าแลบ นั้นได้ยูโดสายดำขั้นที่ 2 คาราเต้สายดำขั้นที่ 5 เคยได้โล่ทองคำของสมาคมกีฬารุ่นใหญ่มาไม่น้อย หลังจบโรงเรียนวิชาชีพพละศึกษา ได้สอบเข้าคณะกีฬาพละศึกษาของมหาวิทยาลัยฟู่เหยิน ยังเคยถูกคัดเลือกเข้าสมาคมกีฬาเอเชี่ยนโดยถูกเลือกเป็นนักกีฬาเข้าแข่งขันเขตไต้หวัน ต่อมาไกวไกวหู่-เสือเชือฟัง สอบเข้ามหาวิทยาลัยไต้หวัน ในคณะวิชาวิศวกรรมช่างกลอย่างราบลื่น ผลการสอบได้คะแนนในอันดับที่ 5 ของไต้หวัน
“เสี่ยวหู่ตุ้ย” เป็นตัวแทนรูปร่างลักษณะวัยรุ่นซึ่งมีสุขภาพแข็งแรง หน้าตาสดใส เพียรพยายามรักการก้าวหน้า เพราะฉะนั้นแม้กระทั่งอาจารย์ครูที่หัวโบราณ และผู้ปกครองล้วนไม่ต่อต้านเด็กๆ ที่มาหลงใหลชื่นชม“เสี่ยวหู่ตุ้ย” ยังเรียกร้องเด็กทั้งหลายมาดูต้นแบบให้พร้อมหน้า บริษัทเข้มงวดมากกับ“เสี่ยวหู่ตุ้ย” ยุคปี 1990 จากการที่เคยรับหน้าที่เป็นผู้จัดการของ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” คุณ ซ่งเหวินซ่าน กล่าวว่า อู๋ฉีหลงเพราะมีความรัก จึงมาสายบ่อย เคยถูกเขาตี
ซูโหย่วเผิง ก็เพราะมาสายจึงเคยโดนเขาตี เฉินจื้อเผิงก็ใช่เหตุเพราะชอบทานมากจึงโดนเขาด่า ขณะนั้นมีรายการมากมายเพียงสามารถดู อู๋ฉีหลงและเฉินจื้อเผิง เท่านั้น เพราะว่า ซูโหย่วเผิง เรียนที่โรงเรียนเจี้ยงจง การเรียนการบ้านหนักมาก บริษัทเริ่มคิดทบทวนใหม่จะเปลี่ยน ซูโหย่วเผิง ออก แม้กระทั่ง “เตรียมหาตัวแทน” ก็หาได้แล้ว
“ผมไม่ถอนตัว” ซูโหย่วเผิง อดกลั้นน้ำตาไว้ “การเรียนการบ้านของผม ตัวผมรับผิดชอบเอง ลำบากกว่านี้ผมคนเดียวแบกรับเอง”
เพื่อการเรียนของไกวไกวหู่-เสือเชื่อฟัง บริษัทได้ผ่านการเปิดประชุมอภิปราย ตัดสินใจนำ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” โดยวางแผนออกจำหน่ายแผ่นเสียงที่มีอยู่ชะลอเลื่อนเวลาออกไป จนกว่าไกวไกวหู่-เสือเชื่อฟัง สอบเข้ามหาวิทยาลัยจนเสร็จ
แยกย้าย ก่อตั้งใหม่ แยกย้ายใหม่อีกครั้ง
ปี 1991 “เสี่ยวหู่ตุ้ย” มาในเมืองเปิดงานการแสดงร้องเพลงตระเวนหลายรอบ การไปมาหาสู่สองฝั่งน่านน้ำในขณะนั้นไม่เคยพลุกพล่านเหมือนเดี๋ยวนี้ นักแสดงไต้หวันมาแผ่นดินใหญ่น้อยมาก “ นั่นคือ ครั้งแรกของพวกเรา พวกเรามีความรู้สึกภูมิใจกับการตอบรับ ความตื่นเต้นของผู้ชมในเมือง แฟนเพลงเพียงแต่ต้องการแตะเนื้อต้องตัวแล้วไม่ปล่อยมือคุณ ตาปริบๆ กับเสื้อผ้าย่อยยับยู่ยี่หลังถูกดึงขาด มีแฟนเพลงได้เห็นพวกเราแล้วก็ร้องไห้โฮ.......”
ก่อนหน้านั้น 10 กว่าปี จากเมืองเซี่ยงไฮ้บินสู่เมืองอู่ฮั่นมีเที่ยวบินน้อยมาก หลังจากจบการแสดงที่เมืองเซี่ยงไฮ้นั่งเที่ยวบินไม่มีลำไหนเหมาะสมเลย ในสายตามองงานการแสดงที่เมืองอู่ฮั่นแล้วกลัวจะตกเที่ยวบิน ปรึกษาหารือกับหน่วยการแสดงแล้วหาเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพทหารแผ่นดินใหญ่เพื่อให้ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ขึ้นเครื่องบิน แต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาไม่เคยเห็นเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพของจริงเลย ได้มานั่งบนตัวเครื่อง ได้เห็นกระทั่งมีสีหลุดออกเป็นด่างๆ และรูกระสุน “ คณะทีมงานในการเดินทางมีพวกเรา 20 กว่าคน หมอนและเสื้อผ้ากระเป๋าเดินทางหนึ่งกองได้ยัดเข้าไปในตัวเครื่องบินพร้อมกัน ด้านข้างยังมีเป็ดไก่อย่างละกรง......การบินด้วยเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพครั้งนี้ ได้เขย่าขวัญอย่างรุนแรงแทบช็อค ในแต่ละครั้งล้วนทำให้หัวใจหยุดเต้น นักบินยังจะหันหัวไปมาคุยเล่นกับพวกเรา......”
ระหว่างเวลาการแสดงที่กรุงปักกิ่ง พวกเขาตอบรับในการให้สัมภาษณ์ของช่องสถานีโทรทัศน์จงยาง พูดคุยถึงความประทับใจครั้งแรกที่มาแผ่นดินใหญ่ ซูโหย่วเผิง เรียนเสียงสำเนียงกล่าวว่า “การพูดจาฝั่งนี้เสียงไพเราะมาก “ อู๋ฉีหลงกล่าวว่า “ ความรู้สึกของฝั่งนี้รู้สึกดีมากๆ สะอาดมาก สบายมาก เฉินจื้อเผิง กล่าวว่า “ผมรู้สึกว่ามีจักรยานเยอะ แล้วก็มีของกินอร่อยมาก” เขารู้สึกว่าของที่อร่อยที่สุด คือ เป็ดย่างปักกิ่ง (เป็ดปักกิ่ง)
[หมายเหตุ : ฝั่งนี้ = จีนแผ่นดินใหญ่ ]
แต่ว่าวันดีๆ ก็ต้องหยุดชะงักลง ปี 1991 เดือนธันวาคม หลังออกอัลบั้มเฉพาะกิจ เป็นอัลบั้มที่ 6 อัลบั้ม“ไจ้เจี้ยง” จีนแปลว่า “พบกันใหม่อีก” แต่สำนวณไทยหมายถึง “ลาก่อน” เฉินจื้อเผิง รับสมัครเกณฑ์ทหาร (เพราะว่าไม่กล้าไปคนเดียว พี่ชายแต่งตัวปลอมแปลงเป็นทหารไปเป็นเพื่อนเขา ) “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ประกาศแยกย้าย ในเนื้อเพลงเสียงเพลงของพวกเขาได้รับปากแฟนเพลงไว้ว่า “ เชื่อว่าพวกเราพรุ่งนี้จะพบกันใหม่อีกอย่างแน่นอน”
หลังจากนั้น ต่างคนต่างแสดง เสือสายฟ้าแลบ ได้เข้าบริษัทหนังเอเชียเป็นนักแสดงต่อไป ไกวไกวหู่-เสือเชื่อฟังไปเรียนต่อที่ยุโรป อยู่ค่ายทหารถูกคนล้อเลียนว่า “เสืออ้วนน้อย” ของเฉินจื้อเผิง ได้ไปร้องเพลงของกองทหาร วงดนตรีเหวินกง ของเล่นละครของคณะละครเฟยหม่าอี้ อีกทั้งยังไม่หมด ยังเข้าร่วมการแสดงปลอบขวัญรางวัลทหารทุกรายการ เทียบกับความกลัว คือ ยังคงฝึกเลียนแบบร้องเพลงของนักร้องคนอื่น วันนี้หากใครออกเพลงใหม่ พรุ่งนี้ต้องออกการแสดงเฉินจื้อเผิงก็ต้องร้องเพลงคนนั้นให้ได้ จริงๆ แล้วเลียนแบบแทบไม่ทัน วันหนึ่งแสดง 3 รอบ ใน 1 ปี 9 เดือนร้องหลายร้อยรอบทีเดียว
ปี 1993 เสือสายฟ้าแลบกลับมาในวงการดนตรีอีก เสือเชื่อฟังกลับจากการศึกษาเมืองนอก เสือหล่อเพิ่งพ้นจากทหารเกณฑ์ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ก่อตั้งใหม่อีก ออกอัลบั้ม เพลง “ซิงกวงอีจิ้วช่างลั่น” หมายถึงแสงดาวส่องฉายแวว วาวเหมือนเดิม แต่ว่าในปีนั้นความนิยมค่อยๆ ลดลง หลังจากนั้นความสง่า “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ไม่มีทางจะปรากฏในความโด่งดังอีก อีก 2 ปีต่อมา ได้มีการประกาศอำลา “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ทั้ง 3 คน ต่างนำเสนอแนวทางของตนเองร่วมกันอีกครั้ง ในคอนเสริต์ “หู่เส้าหลงเถิง “ หมายถึง “มังกรเหินฟ้าพยัคฆ์คำราม” บนเวทีเดียวกันเป็นครั้งสุดท้าย
จากคลื่นลมยอดเขาร่วงหล่นในหุบเขา-สายลมจากยอดเขาร่วงหล่นสู่หุบเขา: พวกเขาทั้ง 3 คนล้วนยากผ่านพ้นในวันเวลานั้น
ความเจ็บปวดของ อู๋ฉีหลง
อู๋ฉีหลง เมื่อออกอัลบั้มเดี่ยวกับดูเรียบ และธรรมดา เขาร้องเพลงเหมือนทั่วไป ฝีมือการแสดงก็ไม่ใช่เฉพาะทาง ความสามารถพิเศษ คือ พื้นฐานกีฬา มือเท้าว่องไว สามารถแสดงหนังหมัดมวย บางครั้งทำรายการเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ รวมถึงการถ่ายทอดศิลปะป้องกันตัวแก่ผู้หญิง ตั้งแต่เริ่มเข้า“เสี่ยวหู่ตุ้ย” จนกระทั่งถึงปี 2000 ในช่วง 10 กว่าปีมานี้ เขาได้ช่วยเหลือที่บ้านชดใช้หนี้มหาศาล เรื่องเงินเขาไม่ได้สนใจเท่าไรนัก เพราะว่า “ไม่เคยรู้ว่ามีเงินทองเท่าไร” ความประทับใจลึกๆ ที่สุดครั้งหนึ่ง คือ วันที่บริษัทแจ้งให้ทราบว่า ได้โอนเงินเข้าบัญชีของคุณแล้ว วันที่สองทางบัญชีได้บอกคุณว่า เงินก้อนนั้นได้ถูกโอนย้ายไปแล้ว
นอกเหนือจากกองถ่ายหนัง เวลาส่วนใหญ่ของเขาอยู่ที่จีนแผ่นดินใหญ่ ไม่ก็อยู่ในโรงถ่ายหนังเมือง อู๋สี นักแสดงไต้หวันคนไหน แสดงเป็นอย่างไร
ทุกคนล้วนรู้แล้ว ดูจากนักแสดงไต้หวัน นักแสดงจีนแผ่นดินใหญ่ยิ่งมีเพาเวอร์ถ่ายหนังฟอร์มยักษ์ “แสดงจักรพรรดิฮ่องเต้ คนคุกเข่าต้องอยู่ข้างล่างเป็นนักแสดงที่ต้องมาคุกเข่ามากกว่า” รอบๆ โรงถ่ายมีผู้คนอยู่อาศัยมากมาย ดังนั้นจึงสามารถเป็นนักแสดงประกอบได้ทั้งบ้าน ต้องการคนแก่ก็มีคนแก่ ต้องการอายุน้อยก็มีอายุน้อย มีกลุ่มนักแสดงเหล่านี้ชอบ “ วิ่งทับสายการเล่นหนัง “ “ขออภัย ผมถึงเวลาแล้ว ผมจะไปกองถ่ายที่อยู่ข้างๆ” มีนักแสดงบางคนไม่เคารพอาชีพการแสดงของนักแสดงแผ่นดินใหญ่ แม้กระทั่งบทละครก็ไม่ยอมดู มาถึงสถานที่โรงถ่ายหนังจึงจะแอบกระซิบถามคนอื่นว่า “ที่นี่ ถ่ายละครเรื่องไหน ? วันนี้ถ่ายหนังเรื่องไหน ?
โรงถ่ายหนังนอกจากเก็บค่าเช่าแล้ว ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวชม พอดีตรงกับเวลาซึ่งไม่มีหนังถ่าย เขานั่งอยู่ข้างๆ เก้าอี้นอนหลับไปสักพัก ตื่นขึ้นมาจึงรู้ว่าด้านหลังตัวเขา ได้มีคนกำลังชูมือรูป V กำลังโพสต์ท่าถ่ายรูป คุณจะหลับอีกหรือ ขณะกำลังเข้าห้องน้ำอยู่ ได้มีคนมาเจอ คุณกำลัง “สองมือไม้ยุ่งสั่นไปหมดเลย“ ก็มีคนยื่นสมุดส่งมาให้คุณ “เซ็นชื่อหน่อยครับ (คะ )”
อายุค่อยๆ มากขึ้น เขายังถ่ายหนังกำลังภายใน ที่ต้องต่อสู้ในที่สูงๆไปมาบ้างนั้น ทำให้กระดูกฝ่ามือและกระดูกฝ่าเท้าแตกมาแล้ว ครั้งหนึ่งในฤดูร้อนเกิดอุบัติเหตุหล่นจากที่สูง กระดูกสันหลัง 2 ข้อดันกดจนแบนยาวหนึ่งข้อเลยทีเดียว แพทย์บอกว่าต้องนอนพักฟื้นอย่างน้อย 4 เดือน แต่ว่าได้ถ่ายหนังไปครึ่งเรื่องแล้ว จึงหยุดไม่ได้ ผ่านไปได้ 2 สัปดาห์เขาจึงเซ็นหนังสือยินยอมออกจากโรงพยาบาลกลับมาทำงานถ่ายหนังต่อ เพราะค่อนข้างชินกับการบาดเจ็บตามตัวและกระดูก ในการถ่ายละครแต่ละครั้งล้วนเกิดอุบัติเหตุทุกครั้ง ร่างกายเกือบครึ่งตัวเต็มไปด้วยบาดแผล
ขณะนั้นเขากับหม่าย่าซู ยังถือเป็นคู่รักตัวอย่าง หม่าย่าซู ได้เปิดเผยกับสื่อว่า ถ้าหากเกิดอะไรกับอู๋ฉีหลงจริงๆ เธอจะดูแลเขาตลอดชีวิต ก่อนแต่งงานทั้ง 2 คนได้รักมา 5 ปีแล้ว ทั้ง 2 ยุ่งมาก เวลาอยู่ด้วยกันจริงๆ ประมาณ 2 ปี เพื่อหม่าย่าซูแล้ว การรับงานและวิถีชีวิตของ อู๋ฉีหลง เปลี่ยนแปลงไป หลายเรื่องไม่สามารถทำได้ เช่น เขาชอบดำน้ำ ชอบหนังต่อสู้มากๆ เพราะว่า 2 สิ่งนี้ล้วนมีอันตรายทั้งสิ้น
ต่อมาเขากล่าวว่า ชอบอยู่นอกบ้าน ชอบไปนี่ไปโน่นทุกแห่ง ส่วนมากไม่ค่อยอยู่บ้าน หวังอย่างง่ายๆ ว่าความรู้สึกจะมีต่อสถานที่แห่งหนึ่งในบ้านของตัวเอง กับพ่อแม่ก็ไม่กล้าพูดถึง.......หรือไม่ก็เพราะตลอดเวลารู้สึกไม่กล้าพูดหรือไม่พูดเลย ล้วนคือตัวเขาเองที่ต้องรับผิดชอบ ต้องตัดสินใจทั้งสิ้น
ตอนนี้ ความรักได้กลายเป็นอดีตในความทรงจำ สื่อมวลชนมุงโจมตีที่ หม่าย่าซู เรื่องการ “เรียกเงิน “ ซึ่งข่าวแบ่งสมบัติก้อนโตในการขอหย่ากับอู๋ฉีหลง จริงๆ แล้วมีคนกลางที่ดี ยังยากจะทำให้ 2 สามีภรรยาปรองดองกันคืนดีได้ แต่ว่า อู๋ฉีหลง เมื่อขึ้นโรงขึ้นศาลถูกภรรยาฟ้องหย่ารอบนี้แสดงความจริงองอาจ เป็นผู้ใหญ่ขึ้นและอ่อนข้อ เขาเกือบจะทำให้อีกฝ่ายใจอ่อน
ซูโหย่วเผิงหยุดเรียน
เริ่มแรก ซูโหย่วเผิงสมัครสอบเข้ามหาวิทยาลัยไต้หวันคณะวิชาวิศวกรรมจักรกล ก็เพื่อยืนยันตัวเองว่า “ชอบรักวงการเพลง ก็เรียนหนังสือได้ “ หาเรื่องเลือกสอบที่ยากที่สุด ต่อมาเมื่อได้เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ค้นพบตัวเองว่าไม่ได้ชอบคณะนี้เลย ได้แอบไปเรียนคณะวิชาบริหารธุรกิจ เขาคิดอยากเปลี่ยนคณะที่เรียน
ข่าวนี้ถูกทางบริษัทแพร่กระจายข่าวออกมา เลยกลายเป็นข่าวขึ้นมา แม้กระทั่งอาจารย์ในคณะวิชาบริหารธุรกิจได้นำไปเป็นหัวข้อถามนักศึกษาว่า “พวกคุณเห็นด้วยไหมว่า ซูโหย่วเผิง จะขอเปลี่ยนย้ายมาคณะวิชาเรียนของพวกเรา ? “ ในที่สุดก็ไม่ได้ย้าย ก่อนหน้าเป็นข่าวนั้น “กายอยู่ที่ค่ายกองทหารเฉา แต่ใจอยู่ที่แดนฮั่น” ไม่ได้ลงวิชาคณะวิศวะหลายวิชา ดังนั้นจึงต้องลงเรียนใหม่ ทำให้ต้องเรียนอีก 3 ปีจึงจะสามารถรับปริญญาได้ ตัวเองชาตินี้ไม่สามารถไปทำงานด้านช่างวิศวกรรมจักรกลได้ จะเรียนไปทำไม
ขณะนั้นในบ้านได้เกิดเรื่องขึ้น คุณแม่ย้ายออกจากบ้าน มาอยู่ข้างนอก น้องชายต้องย้ายมาอยู่ใกล้ๆโรงเรียนที่เรียนอยู่ มีแต่คุณพ่อคนเดียวที่อยู่บ้านเดิม ในบ้าน 4 คน ต่างคนต่างอยู่คนละทิศละทาง แต่เดิมก่อน ซูโหย่วเผิง เกิดนั้น คุณแม่เป็นครูสอนหนังสือ หลังจากเขาเกิด คุณแม่ก็ลาออกจากงาน ตั้งใจดูแลเลี้ยงลูก เป็นแม่ศรีเรือนมากว่า 20 ปีแล้ว ขณะนี้ก็ต้องไปเป็นครูในโรงเรียน เริ่มจากครูแทนอัตราจ้าง ต้องไปอยู่โรงเรียนห่างไกลชุมชน ขณะนั้นคุณแม่ขับขี่รถมอเตอร์ไซด์ไปทำงาน ซูโหย่วเผิง รู้สึกห่วงคุณแม่มาก จึงกัดฟันทนซื้อรถให้ รายได้ของเขาลดน้อยลง ยังต้องผ่อนชำระหนี้บ้าน แล้วผ่อนชำระหนี้รถของคุณแม่อีกด้วย ช่วยน้องชายจ่ายค่าเช่าบ้าน เดือนหนึ่งค่าใช้จ่ายต้องจ่าย 2 แสนหยวน(เงินไต้หวัน) แล้วในบัญชียังเหลืออยู่ 7 หมื่นหยวน ดังนั้น เกินกว่าผู้คนคาดหมายไว้
การหนีของ เฉินจื้อเผิง
ในเสือ 3 คน ถือได้ว่า เฉินจื้อเผิง เงียบนานที่สุด ตอนเกณฑ์ทหารอยู่ในค่ายทหารถูกล้อเลียนเสมอ ต่อมาได้แสดงเดี่ยว แผ่นเสียงหลายแผ่น ร้องดีแต่ไม่เป็นที่นิยม เขาเกิดความหดหู่ท้อแท้ เลยเกิดความสงสัยต่อตัวเองอย่างลึกๆ
“ผมคิดว่า ผมต้องไม่แสดงความเย็นชาอวดทะนงเดียวดายออกมา เพียงแต่ปกปิดความเชื่อมั่นทรนงของผม หลายปีต่อมา จึงกลายเป็นลดตัวต่ำลงเพื่อปกป้องหน้ากากตัวเอง “การเรียกร้องความสมบูรณ์แบบนี้เอง ประกอบกับการปกป้องตัวเองของเด็กผู้ชาย กลับทำให้อารมณ์ของผมปล่อยให้ไหลลงต่ำไม่มีทางดึงกลับคืนมา เขาต้องใช้เหล้ามอมเมาตัวเอง หลังเมา 2 ครั้งยังได้ทำร้ายตัวเองอีกด้วย บาดแผลนั้นยังคงมีให้เห็นอยู่จนทุกวันนี้ ไม่มีทางให้มันหายไปได้
ตัวเขาเองได้ลางานพักยาว ไปเรียนต่อที่ประเทศแคนนาดา คืนแรกได้คุยกับนายจ้าง วันรุ่งขึ้นจึงขึ้นเครื่องบิน หวังว่าไปสถานที่ที่ไม่มีใครจำได้รู้จัก เพื่อเริ่มต้นกันใหม่ ไต้หวันได้ออกข่าวตีพิมพ์หน้าหนึ่ง เปิดเผยข่าวสารนี้ อาจารย์ที่โรงเรียนรู้สึกไม่ชอบมาพากล ทำไมคนข้างนอกมีแต่มาดูคุณ ? เมื่อก่อนคุณทำงานอะไร ? เขาคือนักเขียน “WRITER “ ครูบอกว่า คุณคือนักประพันธ์ ? เขาบอกว่าไม่ใช่ ครูบอกว่า คุณคือนักแต่งเพลง? เขาบอกว่า ก็งั้นๆ “maybe” หลังจากนั้นจึงเริ่มหนีเรียน ไปชายทะเลบ่อยๆ นั่งบนต้นไม้เหี่ยวแห้งมองดูทะเล มองแลัวมองอีกทั้งวัน กลางคืนรู้สึกเหงาจึงเอาเทปหนังเมื่อก่อนมาดู ดูๆ การแสดงหนังทั้ง 3 คน แล้วน้ำตาจึงไหลออกมาอย่างไม่สบายใจ รู้สึกว่าตอนนั้นคนทั้ง 3 ทำไมจึงดีอย่างนี้ ลำพังเพียงคนเดียวช่างลำบากเหลือเกิน
ไม่นานทางบริษัทได้โกหกแล้วหลอกให้เขากลับมา ต่อมาได้ย้ายไปแสดงที่แผ่นดินใหญ่ถ่ายหนังละคร ก็ยังไม่โด่งดังอีก
จนกระทั่งปี 2001 เฉินจื้อเผิง ออกการแสดงละครเวที “คั่นเจี้ยงไท่หยาง” หมายถึง มองเห็นพระอาทิตย์ ใจของเขาได้ปรากฏพระอาทิตย์ส่องแสง ต่อมาก็บินไปที่นิวยอร์ค ขึ้นเวทีของกลุ่มสูงวัย ปีที่ 2 กับ ไช่ฉิง ร่วมมือการแสดงละครบนเวที “ฉิงจิ้นเอี้ย ซ่างไห่” หมายถึงคืนราตรีเซี่ยงไฮ้ความรักอวสาน ปี 2004 ได้เสี่ยงที่สุดเมื่อออกการแสดงละครเวที (จางกั๋วหยง.........ฟูจวี้หลีเจียชู่ ) หมายถึง เล่นคู่กับ จางกั๋วหยง(เลสลี่จาง) เรื่อง “ปราชัยช่วงระยะห่างต่อการสัมผัส”
ขณะนั้นจากสื่อมีรายงานว่า เพราะอยากให้ผลงานออกมาดีที่สุด ทำให้ เฉินจื้อเผิงกลุ้มใจ ซึ่งเขาออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เพียงแต่ช่วงเกือบ 24 ชั่วโมงที่เขาพยายามศึกษาเกี่ยวกับ จางกั๋วหยง การฝึกซ้อม เวลาตื่น เวลานอน บริเวณรอบข้างล้วนเปิดเพลงร้องของ จางกั๋วหยง อีกทั้งยังมีรูปถ่าย ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเปิดของเขาฟังเลย มีครั้งหนึ่งได้ฝันเห็น จางกั๋วหยง หัวเราะให้กับเขา แล้วเดินหันหนี จากการรอคอยเพื่อนำวิญญาณของ จางกั๋วหยง มาปรากฏบนเวทีอีกครั้งนั้น ได้ยินคำชมจากศิลปินอาวุโส ได้สร้างสิ่งที่เรียกว่า “อะไรๆ ก็ไม่กลัวอีกแล้ว”
พวกคุณต่างคนต่างให้กี่คะแนนกัน ?
ตั้งแต่กำเนิด “เสี่ยวหู่ตุ้ย” บริษัทแผ่นเสียง แฟนเพลง สื่อ รวมทั้งพวกเขาเอง ล้วนมีเรื่องของการ “เปรียบเทียบ “ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเรื่อง ทั้ง 3 เสือใครหล่อกว่า ใครมีชีวิตชีวามากกว่า ใครโด่งดังกว่า ใครได้รับนิยมจากสื่อ ใครออกมาจากเวทีได้รับเสียงกรี๊ดแหลมๆ จากสาวๆ แม้กระทั่งที่แจ้งและลับหลังทุกคนล้วนมีคำถามเปรียบเทียบ
จนถึงบัดนี้ เฉินจื้อเผิง ถูกนักข่าวตามถามตลอด “เสี่ยวหู่ตุ้ย เสือทั้ง 3 คน คุณคือ คนที่ไม่ดังสุด ขอถามหน่อยเทียบกับเสืออีก 2 คนแล้ว คุณให้คะแนนตัวเองกี่คะแนน ?
“เริ่มตั้งแต่มี เสี่ยวหู่ตุ้ย ผมกับคุณฉี โดนเปรียบเทียบเรื่อยมา รวมทั้งโดนเปรียบเทียบกับเสือเชื่อฟัง(เสี่ยวไกว) ความทรมานใจของผม ก็คือ ความโหดร้ายอย่างไม่ปราณีของการเปรียบเทียบ” “ผมได้รับบาดเจ็บในช่วงเวลาส่วนใหญ่ แฟนเพลงทั้งหลายมีการสะท้อนใจโดยตรง ผมถูกเปรียบเทียบตลอดเวลา ผมไม่ได้รับความเท่าเทียมกันในบริษัท ทุกคนเปรียบเทียบกับการดูแลไกวไกวหู่-เสือเชื่อฟังมาตลอด ผมและซูโหย่วเผิงถูกเปรียบเทียบกันมาก ไม่ได้รับการมองที่มีคุณค่าเท่าไรนัก ผมจะไม่สบายใจเมื่อออกรายการต่างๆ ผมกับคุณฉี จะป่าวประกาศต้องมาก่อนล่วงหน้า 1 ชั่วโมงมาตลอด ไกวไกวหู่-เสือแสนเชื่อง เปรียบเทียบเรื่องอยากจะนอน ตัวเขาบอกออกมาเอง ความตั้งใจมุ่งมั่นของซูโหย่วเผิง ได้แสดงออกมา” ในเรื่องการเปรียบเทียบ เสือ 3 คนเก็บไว้ในใจอย่างเงียบๆ เปรียบเหมือนหยดน้ำสามารถหยดทะลุหินได้ ซึ่งไม่ใช่อยู่บนเวที แอบไหลอย่างเงียบๆ จากเวลานั้นระหว่างพวกเราทั้ง 3 คนกลืนกินไร้เงา”
ร่วมแสดงกับ ซูโหย่วเผิง ในละคร “องค์หญิงกำมะลอ” ในบท “องค์ชายห้า” ของซูโหย่วเผิง “ฝูเอ่อไท่” บทของ เฉินจื้อเผิง สะท้อนแบบเรียบๆ แต่ว่าขณะนั้น ซูโหย่วเผิง อยู่ที่กองถ่ายถูกนักแสดงชายแผ่นดินใหญ่รังแก กลับไปฟ้องเฉินจื้อเผิง เฉินจื้อเผิงก็แบบเดิม ฟังแล้วรีบวิ่งออกไปช่วยน้อง 3 ออกหน้าแทน นักแสดงชายซึ่งเรียก “ลัทธิรูจมูก” คนนี้ด่ายกใหญ่
หลายปีต่อมา สื่อฯ ยังคงทำข่าวไร้สาระของ เสือน้อย 3 คน คำพูดหัวข้อยังสัมพันธ์กันดีหรือไม่? คนสร้างหัวข้อคำพูดเหล่านี้ต้องเป็นคนไร้เดียงสาหรือไม่? กลุ่มชายล้วนนี้ล้วนไร้ประสบการณ์การรวมงานกันเป็นทีม? และการแสดงแล้วต่างไม่ถูกกัน ต่างคนต่างไม่ยอมกัน? ที่มาก็ไม่ใช่พี่น้องกัน? ....พวกเขาคือคน พวกเขาก็มีเลือดเนื้อและเจ็บปวดเป็น
เหมียวซิ่วลี่ผู้บริหารของบริษัทในเวลานั้นกล่าวว่า “ เสี่ยวหู่ตุ้ย ถ้าไม่มี อู๋ฉีหลง แล้ว ก็ไม่สามารถยืดหยัดมาได้หลายปี”
เฉินจื้อเผิง ก็ยอมรับ “ พี่ใหญ่คนนี้ผมยอมเคารพมาก ไม่มีคำพูดจริงๆ องอาจมาก ดูแลคน คุยคุณธรรม เรื่องไม่ใช่ก็ไม่ยอมรับ หลายปีมาส่วนใหญ่เขาเป็นคนจัดการเองที่จะติดต่อกับผม ถ้าหากไม่ใช่เขาที่ยังเป็นคนจัดการติดต่อมาด้วยตัวเองยื่นมือมาช่วยเหลือ ผมก็ไม่สามารถคิดไปติดต่อกับเขา ผมรู้ว่าผมมักน้อยใจและรู้สึกตัวเองเท่านี้เอง เช่น ไกวไกวหู่-เสือเชื่อฟัง เขาพัฒนาดีมาก ผมจึงไม่คิดไปเอื้อมมือติอต่อกับพวกเขาก่อน”
เพราะถ่ายหนังหมัดมวยบ่อยๆ อู๋ฉีหลง กับ กลุ่มครูฝึกมวยต่างดีต่อกัน แต่ละครั้งเขาได้รู้คนที่รู้จักคุ้นเคยในทีมละครทีมเดียวกับกองถ่ายหนังของ เฉินจื้อเผิง ล้วนเป็นเรื่องส่วนตัวติดต่อกับทีมงานนั้น สั่งงาน ฝากงานให้พวกเขาดูแล จื้อเผิง มากๆ หน่อย รวมทั้งสั่งแล้วสั่งอีก จะให้ทีมงานนั้นอย่าเอ่ยปากบอกกับเฉินจื้อเผิงให้รู้ เขาก็ทราบ จื้อเผิง มีความรู้สึกไว ในใจคิดมาก “วงการนี้ไม่มีความลับ ถึงแม้ว่าเขาระมัดระวังตัวมาก แต่จริงๆ แล้ว ผมล้วนทราบหมด” หลายปีก่อน เฉินจื้อเผิง เริ่มทำการค้าเพชรพลอยไข่มุก อู๋ฉีหลง ได้ทำการค้าอยู่ก่อนล่วงหน้าหนึ่งก้าว พอรู้เข้าได้ไต่ถามเขาทันที “คิดอยากมาปักกิ่งเปิดสาขาหรือไม่ ? ผมแน่ใจว่าจะเก็บสินค้าไว้ให้คุณโดยเฉพาะหนึ่งตู้”
เหตุตั้งแต่เล็กจนโต ตามที่คุณพูดยังอยู่ในยุคเสือน้อย ข้างกาย อู๋ฉีหลงก็มีกลุ่มร่วมงานที่สู้มาด้วยกัน อัธยาศัยดี คุยคุณธรรม เขาคุยโอ้อวดบ่อย อนาคตจะทำธุรกิจอย่างไร การลงทุนธุรกิจของตัวเองอย่างไร บนความเป็นจริงแล้ว เขาก็คือ 1 ใน 3 คนที่มีฝีมือมากที่สุด พร้อมตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว เขาเป็นบุคคลที่มีธุรกิจสำรองอยู่แล้ว เขาเป็นครูฝึกดำน้ำที่มีหนังสือใบสุทธิสากลอยู่แล้ว ก่อนหน้าหลังยังเป็นเจ้าของภัตตาคารแบบขายแบรด์ทั่วโลก (แบบคนไทย) บริษัทนักสร้างละคร เรือท่องเที่ยวลำเล็กปล่อยเช่า อาชีพการค้าเกี่ยวกับความงาม ดูรูปลักษณะแล้ว เสือเชื่อฟัง ซูโหย่วเผิง ก็ไม่มีหัวทำการค้าอาชีพนี้เลย เขาไม่เข้าใจจะเจรจาตกลงคุยราคากับผู้อื่นได้อย่างไร กับเพื่อนๆ ที่ร่วมเปิดขายเครื่องดื่มชา ไม่นานก็ปิดกิจการ
(จางกั๋วหยง........ฟู่จวี้หลีเจียชู่) เรื่อง “ปราชัยช่วงระยะห่างการสัมผัส” เมื่อแสดงอยู่ที่ไทเป อู๋ฉีหลงตั้งใจเป็นพิเศษลาพักกับทีมละคร ไกลแสนไกลวิ่งกลับไปที่ไต้หวันเพื่อไปดู และไม่มีการบอกล่วงหน้า จนกระทั่งน้องรองแสดงละครจนจบ จึงไปด้านหลังเวทีทักทาย ชาย 2 คนเมื่อได้พบหน้ากันจึงเข้าสวมกอดกัน เฉินจื้อเผิง เพิ่งถอดชุดในการแสดงออก น้ำตาก็กลั้นไม่อยู่ร้องโฮออกมา อู๋ฉีหลง ก็น้ำตาร่วงออกมาด้วย เกี่ยวเนื่องกับผู้ชมเพียงแต่คือละครเวทีเรื่องหนึ่งเท่านั้น คุณฉี ก็เข้าใจความหมายของผม เขาเข้าใจผมดื้อรั้นทรนง ความเหนื่อยยากหลายปีมานี้ของผม เขาล้วนทราบดี ไม่มีใครอีกแล้ว 2 พี่น้องอยู่หลังเวที ต่างก็ไม่พูดอะไรสักคำ เพียงแต่สวมกอดร้องไห้ไม่หยุด
สุภาษิตวัยหนุ่ม
“ผมมีน้องชาย 2 คน คนหนึ่งไม่ชอบแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมา อีกคนหนึ่งไม่ชอบการเปิดเผยความรู้สึกผูกพัน หลายปีมานี้พวกเราล้วนอวยพรรักและถนอมซึ่งกันและกัน งานของพวกเราเป็นงานนำพาให้บุคคลอื่นมีความสุขและสนับสนุนส่งเสริม แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยให้ร้ายผู้ใด เพียงแต่ไม่สามารถหลีกเลี่ยง เหตุเพราะงานส่วนนี้พวกเราได้ถูกให้ร้ายเสมอ “ หลังราตรีฤดูใบไม้ผลิได้สิ้นสุดลง แต่ละวันได้เผชิญกับข่าวและคาดเดาของ “การไม่ปรองดองของเสี่ยวหู่ตุ้ย” ซึ่งผุดโผล่ออกมาอย่างไม่ขาดสาย อู๋ฉีหลงอยู่ในวรรณกรรมการเขียนอย่างนี้ด้วย
น้องเล็ก 1 ใน 3 เสือนั้น หลังการแสดงการรวมตัวอีกครั้งของเสี่ยวหู่ตุ้ย ไม่มีใครสามารถเหนือกว่า “เสี่ยวหู่ตุ้ย“ ในช่วงเวลาเหตุการณ์ความรุ่งเรือง ซูโหย่วเผิงกำลังโด่งดังขึ้นอีก ก่อนหน้าและหลังฤดูใบไม้ผลิต้องระวังคำพูดเป็นพิเศษ สืบเนื่องในอินเตอร์เนต เพื่อการบันทึกรายการสัมภาษณ์ทางสถานีของการฝึกซ้อมราตรีฤดูใบไม้ผลิ-เทศกาลตรุษจีน ขณะที่ทั้ง 3 คนให้สัมภาษณ์อยู่ได้เสนอความคิดเห็นเรื่องการเต้นและเสื้อผ้า ถ้าหาก ซูโหย่วเผิง ไม่แสดงความคิดเห็น ก็จะถูกตีความหมายถึง “มีความเย็นชาแบบสะท้อนกลับ” ถ้าหาก ซูโหย่วเผิง แสดงความคิดเห็น ก็จะถูกตีความหมายถึง “ทำตัวเป็นดาราใหญ่” ความคิดเห็นแตกแยกก็จะกลายว่ามีมาก เขามองเห็นจุดนี้ จึงร้องขออภัยที่จะบอกกับนักข่าวตรงๆ “ผมอายุน้อยที่สุด ไม่ต้องมีอะไรเพื่อจะมีชื่อเสียง เดี๋ยวนี้สื่อฯชอบนำเรื่องของผมมาคุยมากกว่า ผมยิ่งไม่กล้าอยากเป็นข่าวอีก พวกคุณ(สื่อฯ)พูดแล้วก็แล้วกันไป ผมขอดูความเหมาะสมก็แล้วกัน”
หลังงานราตรีฤดูใบไม้ผลิ “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ก็ไม่ได้อาศัยโอกาสนี้ร่วมงานกันต่อไป เสือทั้ง 3 คนล้วนเน้นย้ำ เพราะการอยู่ต่างบริษัทกัน เมื่อต่างคนต่างมีกำหนดการทำงานของตน ผู้คนมากมายยังคงกล่าวโทษมาที่ ซูโหย่วเผิง เพราะคุณโด่งดังมากใช่หรือไม่ ตรงข้ามการกล่าวถึงความอ่อนแอของ เฉินจื้อเผิง คุณไม่มีเขาได้ แต่เขาต้องการมีโอกาสครั้งนี้มิใช่หรือ ?”
“เรื่องอย่างนี้ไม่หลงเหลืออีกแล้ว ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น สิ่งนี้ได้กลายเป็นความคลาสสิคไปแล้ว รวมทั้งผมก็ไม่ได้โด่งดังตามที่พวกคุณพูดอย่างนั้น เราทั้ง 3 คน ล้วนต่างคนต่างมีความสามารถพิเศษเฉพาะตัว การเต้นรำรวมทั้งการอยู่บนเวทีของ จื้อเผิง มีพลังและความสามารถเก่งมาก ละครเวทีเต้นรำของเขาเป็นที่ประจักษ์พยานที่ดีที่สุด จริงๆแล้วเขาสามารถฉายแววสื่อแสงได้ อู๋ฉีหลงก็ด้วย ฝีมือฝีเท้าก็ดีมาก และก็ไม่แพ้ให้ (การค้นหา )มวยกังฟู ผมเชื่อว่าเขาสามารถสร้างภาพยนตร์มวยกังฟูที่ (รุ่งเรือง)เรื่องหนึ่งออกมาได้” ซูโหย่วเผิง กล่าว
ความโด่งดังในงานราตรีฤดูใบไม้ผลิ-เทศกาลตรุษจีน จะมีการปรับปรุงการวางแผนทำงานของปีหน้าได้อย่างไร อู๋ฉีหลงปรึกษาหารือกับผู้จัดการและบรัษัท ผลลัพธ์ก็คือ ความจริงๆ เป็นยังไงก็อย่างงั้น
ทางเลือก การไม่ใช้โอกาสร้อนๆ ที่โด่งดังนี้ ไม่เปิดทัวร์คอนเสริต์ คือ ทางเลือกฉลาดยิ่งอย่างหนึ่ง เด็กผู้ชาย 3 คนกำลังโตขึ้น เรื่องครั้งนั้น นั่นก็ไม่ใช่บริษัทอยู่ด้านหลังคอยมาคุมแล้วกำหนด การขึ้นการลงของชื่อเสียงและโอกาส ยากที่จะทำให้พวกเขาเลอะเลือนได้ง่ายๆ “ โด่งดังแล้วคือ รสชาติอะไร เมื่อผมตอนเด็กๆ ก็ได้ลองชิมมาแล้ว สามารถพูดได้ว่า ช่วงตลอดวัยหนุ่มของผม ล้วนโด่งดังก้องมาแล้ว เพียงแต่ว่าไม่มีสิ่งใดจีรังยั่นยืนได้ ก็นับว่าวันนี้ผมกลับไปเหมือนเมื่อก่อนโด่งดังอีกครั้ง นั่นก็ไม่สามารถตัดหินลับมีดมาแทนรากฐานได้”
หวนรำลึกแบบผักอร่อยรสชาติหนึ่ง เพียงแต่ไม่อาจทานได้ทุกวัน อู๋ฉีหลง อายุ 40 ปีแล้ว มีแฟนเพลงที่มีอายุเท่ากันก็มี ชั่วเดี๋ยวเดียวนึกถึงรสชาติเก่าๆ ช่างอร่อย ให้บนเวทีเต็ม 30 กว่าคน ไปเชียร์ให้กำลังใจ หยิบหนังสือพิมพ์ ไห่เป้าของพวกเขาติดเต็มบ้าน คุณสามารถยืนหยัดนานแค่ไหนละ?
คำนวณอย่างละเอียด จริงๆ แล้ว “เสี่ยวหู่ตุ้ย” ช่วงเวลาโด่งดังแท้จริงนั้นสั้นๆ เพียง 3 ปี จากปี 1988 โด่งดังอย่างรวดเร็ว จนถึงปี 1991 เป็นครั้งแรกบอกกล่าว “อำลา” เหมือนกับความฝันไม่เขียวสด เวลาดำเนินต่อไปเพิ่งถึงจุดที่จะคุยเรื่อง “รัก” ต่อมาก็ไม่สามารถกลับไปเหมือนอดีต เมื่อเยาว์วัยดู“เสี่ยวหู่ตุ้ย” เหมือนนิทานเด็ก พอค่อยๆ โตขึ้นถึงจะรู้ พวกเขาคือคำพูดสุภาษิต ความหมายของวัยรุ่น 3 คน บนเกาะอากาศร้อน รวมทั้ง “แมลงปอสีแดง” เหล่านั้น “ลูกแอปเปิ้ลเขียวสด” “ การนัดหมายของดวงดาว “ “ผีเสื้อบิน” ก่อร่างขึ้นมาช่วงสั้นๆ ความฝันที่แสนหวาน พวกเขานำพาอุณหภูมิฤดูร้อนมา แบบเดียวกับความสุขช่วงฤดูร้อนก็ผ่านไปโดยง่าย เช่นเดียวกับกระจกโปร่งแสงอ่อนกรอบง่าย เหมือนกับวัยหนุ่มมีธาตุแท้เช่นเดียวกัน
ปี 2002 ซูโหย่วเผิงเปิดการแสดงคอนเสริต์เดี่ยวของตัวเอง อู๋ฉีหลงและเฉินจื้อเผิงต่างล้วนไปช่วยเหลือ ณ เวลานี้ทั้ง 3 คนต่างคนต่างมีประสบการณ์ด้านบรรลุเป้าหมายและล้มเหลว
ต่อมา ซูโหย่วเผิง ได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ เวลาได้เริ่มเปิดสำหรับ เสี่ยวหู่ตุ้ย แล้ว ทุกคนล้วนต่างบริสุทธิ์ใจและไร้เดียงสา แต่ละวันไม่ต้องทุกข์กังวล แล้วมีใครรู้บ้างว่าอนาคตเส้นทางชีวิตจะเป็นอย่างไร? เมื่อพวกเราอยู่บนเวทีรวมกลุ่มพร้อมหน้ากัน ผมรู้สึกชีวิตคนเรามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นมากมาย มีทั้งดีใจและเสียใจทำให้คุณคาดคะเนไม่ได้ ดู ( งานการแสดงบนเวที ) เด็กเล็กแต่ละคนมีใบหน้าช่างไร้เดียงสา คุณจะทราบได้อย่างไรรอจนกว่าเขาจะโตขึ้น โชคชะตาของอนาคตจะเป็นหน้าตาอย่างไร? แต่ว่าพวกเราทั้ง 3 คนก็เดินผ่านมาเหมือนกัน จนกระทั่งอยากเอาประสบการณ์ของตัวเองมาบอกกล่าวทุกคน เพราะคนเราได้ฝันจินตนาการจึงจะยิ่งใหญ่ได้ ทุกคนอย่าล้มเลิกละทิ้ง มีหลายครั้งผมรู้สึกว่าได้เดินถึงทางตัน ชะตาผมจะแย่ลงแล้ว ต้องยืนหยัด ยืนหยัดสู้ต่อไป ให้เดินทางผ่านไปๆ ผมรู้สึกสิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนหวานชื่น ผมหวังว่าให้เก็บสิ่งเหล่านั้นไว้ “
ผมยังจำได้ว่าเริ่มแรกเรื่องการคัดเลือกของคุณได้ไหม ? หากคุณเลือกได้คือ
1......ขอแสดงความยินดีกับคุณ ได้กลายเป็นยุคเดียวกับเสี่ยวหู่ตุ้ย คุณมีความรู้สึกดีใจ การมีพลังความสามารถวัยหนุ่มสาวซึ่งมีรักหลายอย่างอยู่ที่ประสบการณ์ ยังดำรงรักษาหลังกาลเวลาได้ดีทีเดียว
2.......คุณคือดิ่งลึกอยู่กับเรื่องเก่าๆ ด้วยความเย็นชา วันเวลาที่ผ่านไปอยู่ในใจคุณเหลือไว้กับความประทับความทรงจำอยู่ตลอดกาล
3...... อายุของคุณควรอยู่ในวัยอายุ 45 ปีขึ้นไป หรือไม่ก็ต่ำกว่า 25 ปี ไม่อย่างนั้นคุณก็คือหุ่นกระบอกไม้เหมือนร่างที่เป็นสื่อชนวน คือ อยากมีชีวิต แม้กระทั่งคุณเองก็ไม่ทราบว่าตัวเองเคยผิดพลาดเรื่องอะไร
4......จริงๆแล้วสมคำเล่าลือว่าคุณไม่มีใจ ไม่มีปอด รู้อย่างไม่มีขอบเขตหลังอายุ 90 ผมยอมรับว่า ผมอิจฉาวัยหนุ่มของคุณ แต่ว่าจะให้ทำอย่างไรได้ ? ในวัยหนุ่มของพวกคุณไม่มีเสี่ยวหู่ตุ้ย
|
|