ผู้เขียน หัวข้อ: 2003 กล่าวถึงวัยแตกหนุ่มโหย่วเผิง  (อ่าน 8662 ครั้ง)

Chomnath

  • Global Moderator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 1307
    • ดูรายละเอียด
2003 กล่าวถึงวัยแตกหนุ่มโหย่วเผิง
« เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2010, 06:04:42 PM »

กล่าวถึงวัยแตกหนุ่มโหย่วเผิง

วันเวลาสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เริ่มแรกที่ได้ฟังเพลง( I Only Want You To Love Me) โหย่วเผิงนั้นยังเป็นเด็กหนุ่มที่ไม่ทิ้งความเป็นเด็กเลย แต่เวลาผ่านไปชั่วพริบตาเดียว ไกวๆหู่ในอดีตนั้นได้กลายเป็นวัยรุ่นแล้ว เริ่มจากวัยรุ่นต่อสู้ไปจนถึงวัยเป็นผู้ใหญ่ พวกเราล้วนเห็นถึงในระยะเวลาสิบห้าปีที่ผ่านมาเขาได้เปลี่ยนแปลงตัวเองตลอด

ไกวๆหู่ที่ไม่ไกว(ไกวคือเด็กเชื่อฟังหมายถึงเด็กดีที่ไม่เชื่อฟัง)

แม้ว่าช่วงเวลาที่อยู่ในวงเสี่ยวหู่ตุ้ยนั้นจะได้รับฉายาว่าไกวๆหู่ แต่โหย่วเผิงก็ยังกล่าวว่าแท้จริงเขาเป็นเด็กที่ซนคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นเด็กที่ซุกซนมากแต่การเรียนของเขาก็อยู่ในเกฑณ์ที่ดีมาก ด้วยเหตุนี้ โหย่วเผิงก็ได้กล่าวอย่างไม่อายว่า “ผมเป็นพวกหนอนหนังสือ ในชีวิตนั้นนอกจากอ่านหนังสือแล้วก็คืออ่านหนังสืออีก” ฉะนั้นโหย่วเผิงก็เก่งในหลายๆวิชา จากคิดเลข ไวยกรณ์ รวมทั้งคีบอร์ดอีกด้วย จนได้กลายเป็น เด็กหนุ่มที่มากด้วยความสามารถ

หลังจากจบประถมศึกษาแล้ว โหย่วเผิงเกือบจะได้เป็นผู้ให้คะแนนการสอบคีบอร์ดของโรงเรียนเลยทีเดียว จะเห็นได้ว่าฝีมือของเขานั้นสูงส่งขนาดไหน แม้ว่าในช่วงมัธยมจะขาดจากการเล่นคีบอร์ดไป แต่ก็เห็นว่าเมล็ดแห่งคีบอร์ดนั้นได้ถูกหว่านเข้าไปในชีวิตของเขาไปแล้ว


ความใฝ่ฝันเป็นดาราในวัย 17

อายุ 17 โหย่วเผิงได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการบันเทิง เขาในตอนนั้นก็ยังเป็นแค่นักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่ง “แต่เด็กผมเองก็เรียนดนตรีแล้ว และชอบร้องเพลงด้วย ตอนเรียนมัธยมเหตุที่ชื่นชอบศิลปิน คือมาดอนน่า จงเซิงหมิง เส่าเหนียนตุ้ยเป็นต้น ฉะนั้นก็เริ่มฝันอยากเป็นดารา เมื่อเห็นรายการ(ชิงชุนต้าตุ้ยคั่น)ได้เชิญชวนสมัครเป็นผู้ช่วย ผมก็ไปสมัครด้วยตัวเอง แต่ตอนนั้นไม่เคยคิดว่าจะได้มีการออกอัลบั้ม เพียงแค่ทำงานเป็นอาชีพเท่านั้น” โหย่วเผิงได้กล่าวถึงความฝันอยากเป็นดาราในวัยเด็กของเขา

“ผมในตอนนั้นเดียงสามาก ก็เหมือนเป็นหนอนหนังสอนในสายตาคนอื่น ที่ฝังใจมากๆก็คือช่วงนั้นมีรายการ(จืออิงสือเจียน)ของไทเป ทุกสัปดาห์มีการจัดอันดับ ผมเป็นแฟนคลับพันธ์แท้ของพวกเขาเลย ตอนนั้นเพลงแรกของเสี่ยวหู่ตุ้ยคือ(ชิงผิงก่อเล่อเหยียน:Green Apple Paradise ) หลังจากที่ได้เปิดแล้วอันดับก็ขึ้นอย่างรวดเร็ว สัปดาห์ที่เพลงของเราได้ติดอับดับหนึ่งนั้นผมเองก็ร้องตะโกนดังมากบอกแม่ว่า  “แม่ พวกเราได้อันดับหนึ่งแล้ว ได้อันดับหนึ่งแล้ว” จนคิดไม่ถึงว่าตัวเองได้กลายเป็นขวัญใจไปแล้ว” โหย่วเผิงกล่าว


ชื่อเสียงไม่ยั่งยืน

แล้วตอนนั้นเสี่ยวหู่ตุ้ยดังแค่ไหนกัน? คนที่เกิดในช่วงปี 70 ก็จะเข้าใจดี แต่ว่ารายได้ของเสือน้อยสามตัวนี้นั้นหากจะพูดไปแล้วก็ไม่ดีนัก โหย่วเผิงกล่าวอย่างห่อเหี่ยวใจว่า “ค่าตอบแทนดาราใหม่นั้นไม่สูง และทางบริษัทก็หักค่าอะไรเยอะด้วย แล้วเงินที่ได้จากการขายเทปก็ยังต้องหารสามด้วย”

เงินนั้นได้มาไม่มาก แต่ความเครียดนั้นได้มาเป็นกอง ความดังของเสี่ยวหู่ตุ้ยมากเท่าใด ความเครียดของโหย่วเผิงก็มากขึ้นเท่านั้น จนเคยคิดที่ยากจะตายด้วยซ้ำไป ในช่วงนั้นของโหย่วเผิง เขาก็ได้คิดอยู่ตลอดเวลาว่า การสอบนั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา หากว่าสอบได้ไม่ดี ก็จะมีคนมาว่าเขาถ่มน้ำลายใส่เขา เหมือนกับว่าผมกำลังหลอกลวงชาวโลก ไหนบอกว่าร้องเพลงก็เก่งเรียนก็เก่งไง ตอนนี้เมื่อผมหวนคิดไปแล้ว ชีวิตที่ผมผ่านมานั้น ความกดดันที่ได้รับนั้นมันหนักกว่าคนในวัยนั้นที่จะรับได้ แม้ว่าในตอนนั้นผมเองก็ไม่เข้าใจว่าแท้จริงมันเป็นอย่างไร รู้เพียงว่าผมต้องปากกัดตีนถีบเพื่อจะผ่านมันไปให้ได้”

โหย่วเผิงสอบเข้ามหาลัยดังได้ตามคาด แต่ว่าที่น่าปวดใจคือ วิชาช่างวิชาศิลปะเป็นวิชาที่เขาอ่อนมากๆ แม้ว่าจะสอบมหาลัยได้ แต่ว่าเขานั้นไม่สนุกกับการเรียนวิชาช่างยนต์เลย อีกใจหนึ่งของเขาคิดอยากจะเปลี่ยนคณะไปเรียนบริหาร เหตุที่ทั้งงานที่ทำอยู่ ทำให้เขายุ่งและไม่มีเวลา แม้ว่าจะมีการสอบเก็บคะแนน หรือสอบปลายภาคจะถึงแล้ว ทางบริษัทก็ไม่ยอมให้เขาลาอ่านหนังสือ เวลาอ่านหนังสือของเขาไม่มี แน่นอนเรื่องการบ้านไม่ต้องพูดถึง แต่สังคมก็ยังคิดว่าการเรียนของเขานั้นดีมาก ทำให้โหย่วเผิงนั้นลำบากใจเป็นอย่างมาก ทำให้เขาเริ่มคิดว่าเรียนไปเพื่ออะไร? เขากล่าวว่า “แม้หากผมจบได้ ผมก็ถือใบปริญญาใบหนึ่งมาอวด ว่าดูซิ ผมเป็นไกวๆหู่ที่พวกคุณชมนักชมหนา ผมจะแสดงบทไกวๆหู่ไปอีกนานแค่ไหนกัน?”

โหย่วเผิงที่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่นสุดท้ายก็ลาออกจากการเรียน แม้จะลาออกแล้ว ความกดดันของเขาก็ยังมีมาก หากกล่าวถึงการลาออกจากการเรียนของเขา โหย่วเผิงได้พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า การตัดสินใจลาออกจากการเรียนครั้งนั้นเป็นการตัดสินใจที่ยากจะลืมในชีวิต “หลังจากที่ตัดสินใจลาออก ก็เหมือนกับว่าฟ้ากำลังถล่มลงมา ทำให้ผมเคยคิดจะฆ่าตัวตาย เพราะว่าการจะลาออกนั้นไม่ได้ง่ายอย่างคิดผมคิดไว้ ตอนนั้นผมยังเป็นคนที่แคร์ในสายตาความรู้สึกของคนอื่นเป็นอย่างมาก ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะปล่อยวางการเรียนของผม เพราะแต่แรกทางบ้านก็ไม่เห็นด้วยกับการที่ผมจะเข้าสู่วงการแล้ว กลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อการเรียนของผม บวกกับตัวเองซึ่งก็เป็นเหมือนหนอนหนังสือตัวหนึ่ง สิ่งเดียวที่จะทำได้ดีคือการเรียน อนาคตจะเป็นหมอหรือทนายความ สำหรับผู้ชายนั้น การศึกษาถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ” โหย่วเผิงบอกว่าชีวิตในช่วงนั้นของเขานั้นถดถอยมาก ไม่เพียงแค่รับศึกจากในบ้าน เรื่องหัวใจก็ไม่รู้จะลงเอยอย่างไร ขนาดขับรถก็ยังเกิดอุบัติเหตุ ความซวยทุกอย่างมันมาประจบกันในเวลานั้น ทุกเรื่องเลวร้ายไปหมด “แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วมองย้อนหลังไปดู แท้จริงแล้วนั่นก็เป็นช่วงสั้นๆช่วงหนึ่งของชีวิตคนเราเอง สิ่งที่สำคัญคือหนทางข้างหน้าจะเดินต่อไปอย่างไร?” โหย่วเผิงเน้นว่าเขาในตอนนี้กับอดีตนั้นสิ่งที่แตกต่างกันคือ เขาในวันนี้นั้นจะไม่มีชีวิตอยู่หรือแคร์ต่อความรู้สึกของคนอื่น แต่จะเป็นตัวของตัวเอง

หลังจากที่ลาออกจากการเรียนแล้วโหย่วเผิงก็ได้ไปพักผ่อนที่อังกฤษช่วงเวลาหนึ่ง เริ่มคิดวางแผนหนทางข้างหน้าของตัวเอง สิ่งที่ผะอึดผะอมคือ แม้ว่าช่วงนั้นจะเข้าสู่วงการบันเทิงได้หกเจ็ดปีแล้ว แต่เหตุที่เข้าสู่วงการเร็วเกินไป แม้ว่าตอนนั้นเขาเองอยากจะหันไปเอาดีทางการแสดง แต่ด้วยอายุแค่ยี่สิบต้นๆของเขานั้นก็เป็นได้เพียงตัวประกอบ ยังดีที่เรื่ององค์หญิงกำมะลอได้ช่วยเขาไว้ มิฉะนั้นฝีมือการแสดงก็ไม่ดี ทำให้ผมที่เกิดมาเดียงสาอย่างนี้ต้องหมดอนาคตไป ทุกวันผมก็ได้จดบันทึกประจำวัน บอกกับตัวเองว่า "ทุกอย่างนั้นล้วนเริ่มจากศูนย์” โหย่วเผิงกล่าว

จริงๆในช่วงนั้น โหย่วเผิงเข้าสู่การแสดงโดยที่ไม่ดังเลย ในสายตาของคนอื่นแล้วเขาก็เป็นเพียงนักแสดงธรรมดาคนหนึ่ง จากจุดนี้ โหย่วเผิงอธิบายว่า “ ผมยังจำได้ว่าหลังจากที่ถ่ายละครจบแล้ว ผมได้กลับไต้หวันด้วยความภูมิใจ ตอนนั้นผู้จัดการส่วนตัวได้นำผม ไปหาค่ายละครและแนะนำให้ผมรู้จักกับผู้ใหญ่ เพื่อที่จะได้เล่นละครต่างๆ" จากนักร้องที่ตกเวทีต้องไปหาคาราวะค่ายละครต่างๆ ความปวดเจ็บของใจก็มีเพียงโหย่วเผิงเท่านั้นที่เข้าใจ

ไม่มีใครคาดคิด องค์หญิงกำมะลอพลิกชีวิตโหย่วเผิง ดังระเบิดเทิดเทิงทั่วไต้หวัน, ฮ่องกง เหมือนที่โหย่วเผิงกล่าว “ ในช่วงมือเงียบของชีวิตนั้น ไม่รู้หรอกว่าสวรรค์จะจัดสิ่งดีอะไรไว้และประทานมาให้คุณ เรื่องหลายเรื่องนั้นจะได้รับความกระจ่างก็ต่อเมื่อเราหมดสิ้นทุกอย่าง” แม้ว่าการแสดงจะให้อะไรมากมายกับโหย่วเผิง แต่สิ่งที่เขารักที่สุดนั้นไม่ใช่ละคร การเล่นละครก็มีความทุกข์ที่คิดไม่ถึง ละครหนึ่งเรื่องถ้าจะถ่ายให้เสร็จก็ต้องสี่ห้าเดือน ไม่เพียงแต่ทั้งปีไม่ได้พัก ทั้งนอนไม่อิ่มแทบทุกวัน บวกกับไม่ได้รับข่าวสารภายนอกเลย วันเวลามันทุกข์ระทมมาก แต่ว่าเมื่อคิดถึงชีวิตในการทำงานช่วงนั้นของเขา ทำให้เขายิ่งที่จะฉวยวันนี้ที่ยังมีอยู่
 
หลายครั้งโหย่วเผิงได้บอกว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่รักเดียวมาตลอด แล้วผู้หญิงตามสเปกของเขานั้นจะเป็นอย่างไร? “ไม่ชอบคนโกหก ต้องจริงใจ เข้ากันได้ นี่เป็นสิ่งพื้นฐานที่จะต้องมี” โหย่วเผิงกล่าวว่า “ยังต้องน่ารักหน่อย”

เมื่อถามถึงมุมมองในเรื่องการแต่งงาน เขาได้ตอบอย่างไม่รีรอ “ผมจะไม่รู้สึกว่าไม่แต่งงานไม่ได้ อยู่ด้วยกันก็โอเคแล้ว” โหย่วเผิงยิ้มแล้วบอกว่าตัวเองเป็นคนหัวสมัยใหม่ “ผมคิดว่ากระดาษเซ็นสัญญาสมรสใบหนึ่งก็งั้นๆ บวกกับผมเองก็เป็นคนที่ไม่ค่อยรักเด็ก ฉะนั้นผมเพียงรู้สึกว่าขอให้เราสองคนอยู่ด้วยกันด้วยความรัก มีเวลาไปท่องเที่ยวด้วยกันก็โอเคแล้ว


ไม่ว่าจะเป็นไกวๆหู่ในวัย 17  หรือว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วในวัย 30 ได้มีโอกาสร่วมงานกับเขามาตลอดเวลานั้นก็เห็นว่าเขาเป็นคนหนึ่งที่คงเส้นคงวาตลอด ผมคิดว่า ความเป็นกันเอง จริงจังกับการงาน นี่ก็เป็นเสน่ห์ของเขาที่ไม่เปลี่ยนแปลงมาจนถึงทุกวันนี้